MENU

Where the world comes to study the Bible

บทเรียนต่อเนื่องในพระกิตติคุณมัทธิว

7. “มารผจญพระเยซูครั้งที่สาม” (มัทธิว 4:8-10)

Related Media

I. คำนำ1

A. เบื้องหลัง เราเรียนมาถึงมารมาล่อลวงพระเยซูครั้งที่สามในถิ่นทุรกันดาร เบื้องหลังการทดลองของมารในพระคัมภีร์เดิมคืออิสราเอลในถิ่นทุรกันดาร มีชนชาติใหม่เกิดขึ้น พระเจ้าเรียกว่าเป็น “บุตร” ของพระองค์ (อพยพ 4:22)2 หลังจากช่วยให้หลุดออกจากการเป็นทาสในอียิปต์อย่างอัศจรรย์ พระเจ้าจึงทดสอบประชากรของพระองค์ในถิ่นทุรกันดารเพื่อพิสูจน์จิตใจ (เฉลยธรรมบัญญัติ 8:2) และบ่อยครั้งพวกเขาก็สอบไม่ผ่าน บ่นต่อว่าและไม่ยอมรับตามน้ำพระทัยในบททดสอบ (ดูอพยพ 16:2, 17:3 กันดารวิถี 14:2, 16:11, 41) พวกเขาทดสอบพระเจ้าด้วยการเรียกร้องขอน้ำและอาหาร (อพยพ 15:22 – 17:7) แล้วยังกราบนมัสการวัวทองคำขณะที่โมเสสขึ้นไปรับพระบัญญัติบนภูเขา (อพยพ 32:1-35) ในที่สุดพวกเขาก็ปฏิเสธไม่ยอมเข้าแผ่นดินคานาอันที่พระเจ้าสัญญา เพราะเกรงกลัวคนที่ครอบครองอยู่ พวกเขาดูหมิ่นพระเจ้า พระองค์จึงทำให้ต้องเร่ร่อนในทะเลทรายถึง 40 ปี จนผู้ใหญ่ที่อพยพออกมาจากอียิปต์ตายหมด (กันดารวิถี 13:1-14:45) ในหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ โมเสสบันทึกประสบการณ์ในทะเลทรายให้กับคนรุ่นต่อไปได้รับรู้ก่อนที่พวกเขาจะเข้าสู่แผ่นดินพันธสัญญา จากในหนังสือ - เฉลยธรรมบัญญัติ – มีคำตอบต่อทุกคำถามที่มารมาทดลองพระเยซู3

ในพิธีบัพติศมา พระเยซูได้รับการรับรองว่าเป็นบุตรของพระเจ้า (มัทธิว 3:17) ด้วยวิธีที่พิเศษ – ในฐานะกษัตริย์แห่งอิสราเอล พระเมสซิยาห์ตามพระสัญญาในพระคัมภีร์เดิม พระวิญญาณมาประทับเหนือพระเยซูด้วยสัญลักษณ์ของนกพิราบ (มัทธิว 3:16) เช่นเดียวกับอิสราเอล พระวิญญาณทรงนำพระเยซูเข้าสู่ถิ่นทุรกันดารเพื่อเผชิญการทดลอง (มัทธิว 4:1, มาระโก 1:12) มารมาหาพระเยซูหลังจากพระองค์อดอาหารมา 40 วันและคืน ล่อลวงให้พระองค์ใช้ฤทธิอำนาจที่มีอย่างผิดๆ “ถ้าท่านเป็นบุตรของพระเจ้าจริง” มารท้า “ก็จงสั่งก้อนหินเหล่านี้ให้เป็นอาหาร” (มัทธิว 4:3) พูดอีกอย่างคือ “พระเยซู ถ้าท่านกำลังจะตาย รักษาชีวิตไว้ก่อนดีกว่า” แต่พระเยซูทรงตอบจากเฉลยธรรมบัญญัติ 8:3 "มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า 'มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวหามิได้ แต่บำรุงด้วยพระวจนะทุกคำ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า"(มัทธิว 4:4) พระองค์ทราบดีว่าชีวิตนั้นเป็นมากกว่าชีวิตฝ่ายกาย และทรงทราบว่า การอดอาหารเป็นส่วนหนึ่งในการทดสอบที่พระเจ้ากำหนด พระองค์จึงไม่ใช้ฤทธิอำนาจที่มีเอาตัวรอด แต่วางใจในพระเจ้าผู้ทรงจัดเตรียม

เมื่อมารเห็นว่าพระเยซูตอบโต้การทดลองแรกด้วยพระวจนะของพระเจ้า มันจึงตัดสินใจใช้พระวจนะด้วย หลังจากพาพระเยซูขึ้นไปที่ยอดหลังคาพระวิหารที่สูงที่สุดในเยรูซาเล็ม มันบอกว่า

"ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงโจนลงไปเถิด เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า พระเจ้าจะรับสั่งให้เหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์รักษาท่าน และเหล่าทูตสวรรค์จะเอามือประคองชูท่านไว้ มิให้เท้าของท่านกระทบหิน" (มัทธิว 4:6) มารนำพระวจนะจากสดุดี 91:11-12 มาใช้

แน่นอนที่มารอ้าง ในท่ามกลางมนุษย์ทั้งปวงพระองค์ต้องได้รับการปกป้อง แต่พระเยซูมองข้อเสนอของมารออก บีบบังคับให้พระเจ้าเข้ามาช่วยโดยทำตนเองให้เสี่ยงอันตราย ทำให้พระเจ้าต้องเชื่อฟัง มารกำลังพูดทำนองว่า "จะกระโจนลงไปแล้ว พระบิดาโปรดมาช่วยลูกด้วย” พระเยซูไม่ได้ทำตามนั้น แต่กลับไปนำพระวจนะจากเฉลยธรรมบัญญัติ แต่ครั้งนี้จากเฉลยธรรมบัญญัติ 6:16 "พระคัมภีร์มีเขียนไว้อีกว่า อย่าทดลองพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของท่าน" (มัทธิว 4:7) ทดสอบพระเจ้าเป็นความเชื่อที่จอมปลอม พระเจ้าทดสอบเราได้เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า พระองค์อาจต้องการให้เราวางใจและเชื่อฟังในความสัตย์ซื่อของพระองค์ ถ้าเราทดสอบพระเจ้าคือความสงสัย ไม่ใช่ความวางใจ คิดเอาเองไม่ใช่การเชื่อฟัง4

ในบันทึกของมัทธิว การทดลองสองครั้งแรกเป็นการจัดฉากรอสำหรับครั้งที่สาม เป็นความพยายามครั้งสุดท้ายและฉ้อฉลที่สุดเพื่อวางกับดักพระเยซูให้ไม่ภักดีต่อพระเจ้า ให้เราพยายามทำความเข้าใจกับการทดลองนี้ให้ดี และวิธีที่พระเยซูทรงรับมือได้อย่างมีชัย

B. เรื่องเล่า ในปี 1954 นวนิยายเรื่อง “ปีที่พวกแยงกี้เสียธง”5 ของดักกลาส วัลลอพ มีเรื่องเล่าขำๆ ชายวัยกลางคนๆหนึ่ง อ้วนจนรูปร่างดูไม่ได้ แกเป็นแฟนคลับตัวยงของเมเจอร์ลีกในทีมเบสบอล ทีมที่คนนี้เชียร์คือวอชิงตัน ซีเนเตอร์ ที่ไม่มีทางเอาชนะทีมนิวยอร์กแยงกี้ได้ เพื่อจะได้รับธงแห่งชัยชนะ ในฤดูร้อนครั้งหนึ่ง เมื่อทีมซีเนเตอร์พยายามทำแต้มไล่ทีมแยงกี้ มีคนแปลกหน้ามาเสนอข้อตกลงที่เหลือเชื่อกับชายคนนี้ : ให้เขากลายเป็นหนึ่งในนักกีฬาทีมเบสบอลซีเนเตอร์ และจะเป็นผู้ทำให้ทีมนี้มีชัยชนะเหนือทีมแยงกี้6

ใครคือคนแปลกหน้าคนนั้น? ไม่มีใครหรอกนอกจากมาร แล้วราคาคืออะไรที่จะทำให้แฟนคลับได้ในสิ่งที่อยากได้? คนแปลกหน้าใช้ทั้งเล่ห์เหลี่ยมและข้อเสนอที่แปลกๆ แต่ในที่สุดมันก็ชัดเจน : ต้องแลกด้วยวิญญาณ

แน่นอน เขาตอบตกลง เรื่องที่เหลือก็เป็นเรื่องขำๆที่ชายวัยกลางคนนี้หลังจากที่ได้แปลงกายเป็นโจ ฮาร์ดี้ นักเบสบอลมหัศจรรย์วัย 21 ภายในสองเดือนเขาทำโฮมรันได้ 48 ครั้ง ตีถูก 545 และกลายเป็นดาราผู้โด่งดังของชาติ หน้าข่าวกีฬาทุกหน้าในอเมริกาต้องลงเรื่องเขา ได้เซ็นสัญญาด้วยเงินมหาศาลจากทีมซีเนเตอร์ มีผู้หญิงมาไล่ตามมากมาย อย่างที่เราเดาได้ เผอิญเจอกับภรรยาบ้างแต่เธอจำเขาที่แปลงกายแล้วไม่ได้

โจจะหลุดออกจากข้อตกลงของมารได้หรือไม่? ขอไม่บอก – เพราะนี่เป็นส่วนที่ทำให้หนังสือเล่มนี้สนุก ไปหาอ่านกันเองนะครับ

มุมมองที่น่าขันของหนังสือเล่มนี้คือคุณพบคนจำนวนมากที่ทำข้อตกลงแบบนี้กับมาร ไม่ใช่เพื่อเอาชนะทีมแยงกี้ แต่ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ – ได้เป็นผู้หญิงสวย เป็นเศรษฐีหมื่นล้าน เป็นนักจิตวิทยา เป็นข้อตกลงที่มารทำได้ทุกเมื่อกับทุกคน “คุณจะได้ทำในสิ่งที่ต้องการ” มันจะบอกว่า “เป็นเรื่องที่ดีนะ เหมือนเอาชนะทีมแยงกี้ได้ แค่ขายวิญญาณให้เท่านั้นเอง”

II. การทดลองของมาร

มารยื่นข้อเสนอเดียวกันนี้ให้กับพระเยซูด้วย พระองค์เองได้แสดงให้เห็นว่าทรงยอมจำนน เป็นบุตรที่เชื่อฟังพระบิดา และทรงใช้พระวจนะตอบโต้มารในการทดลองทั้งสองครั้ง คราวนี้มารปรับกลยุทธใหม่ การทดลองครั้งที่สามไม่ได้เริ่มด้วยคำพูดเหมือนสองครั้งแรกว่า “ถ้าท่านเป็นบุตรของพระเจ้า...” เราจะเห็นต่อไปว่ามารเหมือนจะยอมอ่อนข้อให้สักพักเมื่อเห็นว่าพระเยซูเชื่อฟังพระบิดา ดังนั้นแรงผลักดันครั้งที่สามคือ : พระเยซูผู้เป็นพระบุตรจะยอมทำสิ่งใดเพื่อจัดตั้งอาณาจักรของพระเจ้าที่บนโลกนี้?7

แม้มัทธิวไม่ได้พูด ผมสงสัยว่าถ้าพระเยซูและมารต่างมีบทสดุดีที่ 2 อยู่ในใจ เป็นบทที่พูดถึงพระบุตร พระเมสซิยาห์ ที่จะมาปกครองบรรดาประชาติ8 ที่พูดว่า:

7 ข้าพเจ้าจะบอกถึงพระดำรัสของพระเจ้า พระองค์รับสั่งกับข้าพเจ้าว่า "เจ้าเป็นบุตรของเรา วันนี้เราได้ให้กำเนิดแก่เจ้าแล้ว 8 จงขอจากเราเถิด และเราจะมอบบรรดาประชาชาติให้เป็นมรดกของเจ้า ตลอดทั้งแผ่นดินโลกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้า 9 เจ้าจะตีเขาให้แตกด้วยกระบองเหล็ก และฟาดให้แหลกเป็นชิ้นๆ ดุจภาชนะของช่างปั้นหม้อ" (สดุดี 2:7-9)

คุณว่าพระเยซูหลังจากอดอาหารมา 40 วันและคืนในถิ่นทุรกันดารจะเหมือนกษัตริย์ที่ตรงไหน? พระองค์อยู่ตามลำพัง เหนื่อย มอมแมม หิว และกระหาย กว่าจะเป็นกษัตริย์แห่งแผ่นดินของพระเจ้าได้ หนทางน่าจะอีกยาวไกล มารจึงฉวยโอกาสนี้ พูดทำนองว่า “ขอแสดงให้ท่านเห็นหนทางที่จะได้ทำตามความตั้งใจ” มันพาพระเยซูขึ้นบนภูเขาสูง และให้ทอดพระเนตรอาณาจักรต่างๆของโลกและความยิ่งใหญ่ตระการตา9 น่าจะรวมถึงโรมด้วย ในตอนนั้นความยิ่งใหญ่อลังการและสภาพของพระเยซูน่าจะไปกันคนละทาง "ถ้าท่านจะกราบลงนมัสการเรา เราจะให้สิ่งทั้งปวงเหล่านี้แก่ท่าน"

มีข้อสังเกตุอยู่หลายประการ

A. แรงดึงดูดใจ ลองนำข้อเสนอตามมุมมองของมารมาดูความน่าสนใจ

สภาพของพระเยซู

ข้อเสนอของมาร

ขาดแคลน เหนื่อย หิวโหย

ยิ่งใหญ่อลังการ ไม่มีความทุกข์

อยู่ลำพังกับสัตว์ป่า10

มีความสำคัญ ไม่มีใครไม่รู้จัก

รอไปอย่างไม่มีจุดหมาย

เห็นผลทันที ไม่ล่าช้า

ยังไม่มีสิ่งใดสำเร็จลง

มีอำนาจทำในสิ่งที่ต้องการ

ในทุกสภาพของพระเยซู มารมีทางออกให้ และทางออกท้ายสุดคือกุญแจสำคัญของการทดลองครั้งนี้ คำตอบที่พระเยซูใช้ตอบโต้มารในสองครั้งแรก พระองค์รับมือกับสามข้อแรกด้านบนไปแล้ว ไม่ยอมสั่งหินให้เป็นอาหารเพื่อดับความหิว ไม่ยอมกระโจนจากยอดสูงสุดของหลังคาพระวิหารเพื่อจะได้ความสนใจในทันที ในทั้งสองการทดลองพระองค์ไม่ยอมตกอยู่ภายใต้การล่อลวงเพื่อจะได้เห็นผลในทันที มารจึงเพิ่มองค์ประกอบสำคัญเข้าไปเพื่อให้แพคเกจน่าสนใจยิ่งขึ้น: “ท่านจะได้ความยิ่งใหญ่อลังการ ความสำคัญ และเห็นผลในทันที และท่านยังได้รับใช้พระเจ้าขณะที่ทำด้วย นี่เป็นสิ่งที่ท่านอยากทำไม่ใช่หรือ? รับใช้พระเจ้า? ท่านได้ทำอะไรกับชีวิตไปบ้างแล้วล่ะพระเยซู? เป็นลูกช่างไม้เหรอ? ดูสิเราเสนออาณาจักรทั้งหลายของโลกนี้ให้ท่าน ท่านจะทำอย่างไรก็ได้ตามใจ ท่านเป็นกษัตริย์ไม่ใช่หรือ? เป็นผู้มาตั้งอาณาจักรของพระเจ้าที่บนโลกนี้ นั่นคือสิ่งที่ท่านอยากทำใช่หรือไม่ ปลดปล่อยอิสราเอลจากการปกครองของโรม จัดตั้งความยุติธรรมให้กับโลกนี้ ช่วยเหลือคนจน นำสันติภาพมาสู่โลก พระเจ้าน่าจะพอพระทัยมิใช่หรือ? ทำโดยไม่ต้องทนทุกข์ ทำได้สำเร็จ ทำเลย แล้วท่านจะได้ทุกสิ่ง”11

B. กำดัก แน่นอนข้อเสนอแบบนี้ย่อมต้องมีข้อแลกเปลียน แล้วอะไรคือข้อแลกเปลี่ยน? มารพูดว่า "ถ้าท่านจะกราบลงนมัสการเรา”

ท่าหมอบลงกราบนมัสการเป็นท่าทีที่แสดงออกถึงสัญลักษน์ ดูเหมือนมารพยายามทำให้เป็นเรื่องเล็กน้อยไม่สลักสำคัญ ไม่ได้บอกให้ไปทำในที่สาธารณะ ที่จริงแค่พระเยซูก้มลงนมัสการมันเป็นส่วนตัวที่บนภูเขามันก็พอใจแล้ว มีคนตั้งข้อสังเกตุว่ามารเสนอว่าทำเช่นนี้แค่ครั้งเดียวเอง12 แล้วมารก็ไม่ได้ขอให้มีพิธีรีตองอะไรด้วย รู้ว่าพระเยซูต้องการมาตั้งอาณาจักรให้กับพระเจ้า มันแทบจะไม่ได้ขออะไรมากเลย

มารอยากให้พระเยซูเชื่อว่าหลังจากนมัสการมันแล้ว ก็จบเรื่อง แต่ว่าการนมัสการมีความหมายหลายสิ่ง:

  • แสดงความจงรักภักดีต่อผู้ที่ถูกนมัสการ (หน้าที่ๆต้องแสดงถึงความซื่อสัตย์);
  • แสดงถึงความเหนือกว่าของผู้ที่ถูกนมัสการ (นมัสการจากผู้น้อยสู่ผู้ใหญ่);
  • ผู้นมัสการต้องขึ้นตรงกับผู้ถูกนมัสการ (ผู้นมัสการยอมรับว่าตนเองไม่มีค่าใดถ้าไม่มีผู้ถูกนมัสการ)

พระเยซูตระหนักว่าสัญลักษณ์ของการก้มลงกราบนมัสการจะมาพร้อมกับข้อผูกมัดต่อเนื่อง

C. มารให้ในสิ่งที่สัญญาไว้ได้จริงหรือ บางคนคิดว่ามารโกหกที่บอกว่าจะมอบราชอาณาจักรให้กับพระเยซู13 เพราะจะอย่างไรก็ตาม ที่สุดแล้วพระเจ้าเป็นผู้ครอบครองอยู่เหนือทุกสิ่ง และเรารู้ว่ามารเป็นจอมมุสา – พระเยซูเรียกมันว่าเป็นผู้ฆ่าคน และผู้มุสา (ยอห์น 8:44)

เพราะมารเป็นจอมมุสา ไม่ได้หมายความว่าพูดความจริงไม่เป็น จะบอกว่ามารต้องโกหกตลอดเวลาก็ตลกไปหน่อย เหมือนเป็นตัวการ์ตูน14 มันทำธุรกิจ คุณคงทำธุรกิจไม่ได้ถ้าต้องโกหกตลอดเวลา ขณะที่มารไม่จำเป็นต้องพูดความจริง แต่มันจะพูดความจริงถ้าทำให้ได้ตามที่ต้องการ ในกรณีนี้ ตามที่ลูกาบันทึก มารอ้างว่าพระเจ้าได้มอบอาณาจักรต่างๆให้มันแล้ว จึงสามารถนำไปมอบให้คนอื่นๆได้ (ลูกา 4:6) พระเยซูทรงรับฟัง ต่อมาในยอห์น 12:31 และใน ยอห์น 16:11 พระเยซูทรงเรียกมารว่า “เจ้าโลก” ผมจึงว่าตรงนี้มันพูดจริง เท่าที่เห็นก่อน ยังมีตามมาอีกซึ่งเราจะเรียนต่อไป

นอกเหนือจากนี้ ถ้าคำอ้างของมารไม่เป็นความจริง ทำไมพระเยซูไม่ตรัสบ้าง? ฟังดูเป็นคำตอบที่ง่ายๆ “ไม่เอาน่าซาตาน เจ้าก็รู้ว่าเจ้าไม่มีทางเอาราชอาณาจักรเหล่ามาให้เราได้” ที่สำคัญพระเยซูไม่ได้ตอบมารไปเช่นนั้น

III. การตอบสนองของพระเยซู

คำตอบของพระเยซูง่ายและตรงประเด็น เช่นเดียวกับที่ทรงตอบไปในการทดลองสองครั้งก่อนหน้า พระองค์ทรงอ้างจากหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ "อ้ายซาตาน จงไปเสียให้พ้น เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า จงกราบนมัสการพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของท่าน และปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว" (มัทธิว 4:10) (เป็นส่วนหนึ่งจากเฉลยธรรมบัญญัติ 6:13)

มันง่ายที่จะเข้าถึงรายละเอียดและนัยของการทดลองครั้งที่สาม แต่เราจะพลาดไปจากหัวใจสำคัญ พระเยซูไม่พลาดครับ พระเจ้าเพียงพระองค์เดียวเท่านั้นที่ควรคู่กับการนมัสการของเรา

อย่างที่คุยไปก่อนหน้า มารไม่ได้ขอให้พระเยซูมีพิธีรีตองอะไรในการก้มลงกราบนมัสการ นั่นคือความฉ้อฉลที่มันใช้กับอิสราเอลตามที่เราอ่านใน 2พงศ์กษัตริย์ 17:35-40ก):

เมื่อพระเจ้าทรงทำพันธสัญญากับอิสราเอล พระองค์บัญชาพวกเขาว่า "เจ้าอย่ายำเกรงพระอื่นๆ หรือกราบนมัสการพระนั้น หรือปรนนิบัติ หรือถวายสัตวบูชาแก่พระนั้น แต่เจ้าจงยำเกรงพระเจ้า ผู้ซึ่งนำเจ้าออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ด้วยกำลังอันยิ่งใหญ่ และด้วยพระหัตถ์ที่เหยียดออก เจ้าจงโน้มตัวลงต่อพระองค์...ถึงกระนั้นเขาทั้งหลายก็มิได้ฟัง”… ยังทำตามอำเภอใจเหมือนเดิม แม้กระทั่งพวกเขากำลังนมัสการพระเจ้า พวกเขาก็ปรนนิบัติรูปเคารพไปพร้อมๆกัน (ผมขอเน้นเพิ่ม)

ด้วยสาเหตุนี้ อาณาจักรทางเหนือจึงถูกอัสซีเรียทำลายลงและผู้คนต้องกระจัดกระจายไปท่ามกลางชนชาติอื่นๆ

เกิดอะไรขึ้นกับแนวคิดของเราเกี่ยวกับพระเจ้าเมื่อเรานมัสการพระองค์นอกเหนือจากที่บัญชา? เพิ่มพระอื่นเข้าไป หรือนมัสการพระเจ้าในแบบรูปเคารพ ทำให้พระเจ้าในความคิดของเราเป็นมากกว่าที่ทรงเป็น – ผู้ครอบครอง เป็นหนึ่งเดียว ยิ่งใหญ่สูงสุด - และถ้าเรายังนมัสการพระเจ้าต่อในขณะที่นมัสการสิ่งอื่นๆควบคู่ไปด้วย แปลว่าเราไม่ได้นมัสการพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ เราอาจยังเรียกพระองค์ว่าเป็นพระเจ้า แต่ในความคิด เราลดพระองค์ลงเหลือแค่รูปเคารพ – หรือสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาในมโนภาพ15

พระอื่นๆไม่จำเป็นต้องมาในภาพรูปเคารพ เงินทองก็เป็นสิ่งที่เรานมัสการได้ ครอบครัว การงาน และแม้แต่ประเทศของเรา แม้อิสราเอลในยุคพระเยซูจะเลิกกราบไหว้รูปเคารพที่เป็นภาพหรือรูปปั้น แต่ก็ไม่เคยหยุดนมัสการเงินทอง พระเยซูตรัสในมัทธิว 6:24 “ท่านจะปฏิบัติพระเจ้าและจะปฏิบัติเงินทองพร้อมกันไม่ได้”

อย่างที่พระเยซูตรัส พระองค์ตระหนักว่าการนมัสการมาพร้อมกับการปฏิบัติหรือปรนนิบัติ มารไม่ได้ใช้คำว่าปฏิบัติ แต่ที่สำคัญคือพระเยซูทรงใช้ เรายำเกรงสิ่งใด หรือเราเห็นว่าสิ่งนั้นมีอำนาจมากพอให้เราในสิ่งที่ต้องการได้ เราก็จะไปปรนนิบัติสิ่งนั้น เราอาจนมัสการพระเจ้าพร้อมไปกับสิ่งอื่นๆได้สักระยะ แต่ที่สุดแล้วจะขัดแย้งกันจนไปต่อไม่ได้ เราต้องเลือกครับ

IV. สังเกตุและนำมาประยุกต์ใช้

เราเรียนรู้สิ่งใดจากการทดลองครั้งที่สาม?

A. พระเยซูทรงเป็นพระบุตรที่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า ต่างจากอิสราเอลบุตรของพระเจ้า พระเยซูเป็นบุตรที่เชื่อฟัง พระองค์ไม่ได้ขุ่นเคืองเรื่องการทดลองและพยายามหาทางหลบเลี่ยง พระองค์ไม่ได้พยายามทดสอบความรักของพระบิดาโดยใช้วิธีบีบบังคับให้แสดงออก พระองค์ไม่ได้พึ่งพิงสิ่งอื่นใดนอกจากพระเจ้าเพื่อให้พระราชกิจที่พระเจ้ามอบหมายสำเร็จลง16

นอกจากนั้น ชัยชนะต่อการทดลองที่มีเหนือซาตานแสดงให้เห็นว่าพระเยซูทรงเพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติครบถ้วนเพื่อทำพระราชกิจตามที่ได้เลือกสรรไว้17 นี่คือคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของพระองค์

1. ทรงมีสิทธิสมบูรณ์ตามสายราชบัลลังก์ของดาวิด ต่างจากกษัตริย์องค์อื่นๆของอิสราเอล พระเยซูทรงมีคุณสมบัติตามที่กำหนดไว้ครบถ้วน เฉลยธรรม 17:14-20 ทรงยอมถวายพระองค์เองให้พระเจ้าและทำตามพระวจนะในการเข้าสู่ถิ่นทุรกันดาร พระองค์ทรงรู้กฏหมายของพระเจ้าเป็นอย่างดี สามารถนำมาใช้ให้มีชัยเหนือซาตาน และไม่ได้มองว่าพระองค์อยู่เหนือการทดลอง แต่ต้องทนทุกข์จนผ่านพ้น เช่นเดียวกับที่มนุษย์ต้องเผชิญ พระองค์จึงเป็นจอมกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งปวง (วิวรณ์ 17:14)

2. ทรงเป็นลูกแกะที่ปราศจากตำหนิของพระเจ้า การปราศจากตำหนิของพระเยซูสำแดงผ่านทางชัยชนะเหนือการทดลองโดยปราศจากมลทิน เหมาะสมทุกประการที่จะเป็นลูกแกะเพื่อถวายบูชาชดใช้บาป (อพยพ 12:5, อิสยาห์ 53:7, ยอห์น 1:29, 1โครินธ์ 5:7, 1เปโตร 1:18-19) ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดที่สมบูรณ์ครบถ้วนทุกประการ

3. ทรงเป็นมหาปุโรหิตที่เห็นใจเราทุกประการ ผู้เขียนพระธรรมฮีบรูกล่าวว่า:

15 เพราะว่า เรามิได้มีมหาปุโรหิตที่ไม่สามารถจะเห็นใจในความอ่อนแอของเรา แต่ได้ทรงถูกทดลองใจเหมือนอย่างเราทุกประการ ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังปราศจากบาป 16 ฉะนั้นขอให้เราทั้งหลาย จงมีใจกล้าเข้ามาถึงพระที่นั่งแห่งพระคุณ เพื่อเราจะได้รับพระเมตตา และจะได้รับพระคุณที่จะช่วยเราในขณะที่ต้องการ (ฮีบรู 4:15-16)

พระเยซูตรัสว่า “เพราะถ้าผู้ใดจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลกแต่ต้องเสียชีวิตของตน ผู้นั้นจะได้ประโยชน์อะไร?” (มัทธิว 16:26) มีผู้เสนอมอบโลกทั้งใบให้พระองค์ และทรงปฏิเสธได้ พวกเราคงไม่มีใครถูกล่อลวงด้วยข้อเสนอนี้ พระองค์จึงทรงเป็นมหาปุโรหิตที่เข้าใจ เห็นใจและสงสาร

B. ซาตานเป็นจอมมุสา แม้บางครั้งมันพูดความจริง จริงๆแล้วมันกลับต่อต้านความจริง ยอห์นเจาะจงนำคำว่า “ความจริง” มาใช้ ในยอห์น 14:6 พระเยซูตรัสว่า "เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต” ใน 2ยอห์น 4 “สัจจะ” ข่าวประเสริฐที่ได้มอบไว้ให้บรรดาอัครทูต มารจึงต่อต้านความจริงในเรื่องนี้ – พระเยซูและข่าวประเสริฐ – จึงทำให้มันเป็น “จอมมุสา” แม้ว่าบางครั้งก็เอาความจริงมาอ้าง แต่นำเสนอในแบบที่หลอกลวงเรา นำเราสู่ความผิดพลาด หลงไปจากความจริง

C. แรงยั่วยุในการทดลองครั้งที่สามคือพระราชกิจ การทดลองครั้งที่สามจะรวมถึงการบังคับตน ให้ตนเองมาก่อน ความหยิ่งลำพอง เกียรติยศและอำนาจ ฯลฯ แต่อาจห่อหุ้มมาในบริบทของการทำพันธกิจ อย่างที่มารทำกับพระเยซู ในบทความไม่นานมานี้จาก “ข่าวยามเช้าของดัลลัส” เจเจ แพคเกอร์เขียนว่า “ซาตานจะวางกับดักคนของพระเจ้าให้ทำชั่วโดยคิดว่าเป็นสิ่งที่ดี...” 18การทดลองครั้งที่สามคือ เมื่อคนแสดงความปรารถนาจะทำตามน้ำพระทัยอาจกำลังเปิดจุดอ่อนให้มารเห็น มันหาทางปรับโฉมการล่อลวงพระเยซูโดยแตะไปที่ความปรารถนาจะตั้งอาณาจักรของพระเจ้า มันอาจปรับโฉมการล่อลวงพันธกิจในฝันของเรา อาจเปิดโอกาสให้เราได้รับใช้ในสิงที่อยากทำมานาน หรือให้เห็นว่าของประทานฝ่ายวิญญาณที่เรามีจะเกิดผลอย่างเหลือเชื่อ มารจะบอกว่าที่เราต้องทำคือยอมผ่อนปรนนิดหน่อย เราต้องคอยเฝ้าระวังอยู่เสมอ อย่าเผลอไปก้มกราบนมัสการซาตานโดยคิดว่ากำลังทำงานรับใช้พระเจ้า เอริค เกรแฮม เน้นเรื่องนี้เอาไว้:

ความจงรักภักดีฝ่ายวิญญาณไม่สามารถแยกเป็นสองฝักสองฝ่ายได้ พระเยซูทรงสอนไว้ เราไม่อาจปรนนิบัติพระเจ้าและทรัพย์สินเงินทองได้ หรือพระเจ้าและซาตาน หรือพระเจ้ากับหลักการต่างๆที่ทำให้ไม่ขึ้นกับพระเจ้า นำไปจนขัดแย้งกับพระประสงค์ บ่อยครั้งผู้มีอำนาจทางศาสนาจะพลาดในเรื่องนี้ พยายามนำอำนาจชั่วคราวฝ่ายโลกที่มี หรือทรัพย์สมบัติ หรืออำนาจทางการเมืองเข้ามาใช้ร่วมกับการปรนนิบัติพระเจ้า นำวิธีการที่ขัดกับวัฒนธรรมที่ดีของคริสเตียน บังคับใช้ มีทักษะและมีชั้นเชิง ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเยซูทรงปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง พวกเขาคิดว่าอาวุธของซาตานสามารถนำมาใช้เพื่อพระเจ้าได้ จนบางทีแยกแยะไม่ออกว่าไหนคือทางของพระเจ้า ไหนคือทางของมาร ไม่ได้พอใจแค่ปรนนิบัติพระเจ้าองค์เดียว คิดว่าวิธีที่ใช้อยู่ช้าและไม่ได้ผล – บางครั้งก็พลาดไปคิดว่านี่แหละสอดคล้องกับน้ำพระทัย และในทุกสิ่งที่ทำหรือนำมาใช้ พวกเขาเชื่อจริงจังว่ากำลังปรนนิบัติพระเจ้า

ดังนั้นการทดลองครั้งที่สาม – ทดลองให้ละจากพระเจ้าบ้าง ตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อย ไม่ได้จงใจ แต่มีเหตุผลดี เมื่อเรากำลังวางแผนจัดตั้งอาณาจักรของพระเจ้า – การทดลองนี้อันตรายที่สุด เกิดขึ้นบ่อย และเป็นหนทางสู่หายนะที่ง่ายโดยฝีมือผู้ที่เรียกตนเองว่าทำเพื่อพระคริสต์ โดยเฉพาะคนที่มีตำแหน่ง มีอำนาจในคริสตจักร หรือคนที่แผ่อิทธิพลส่วนตัวเข้าไป เป็นเพราะสิ่งที่ล่อลวงมันดูดีเยี่ยม ทุกสิ่งเพื่อพระสิริของพระเจ้า และบ่อยครั้งเกิดขึ้นโดยไม่มีใครทันสังเกต เว้นแต่เราต้องเฝ้าระวัง อธิษฐาน อดอาหารเช่นเดียวกับที่พระเยซูทำในถิ่นทุรกันดาร และที่สำคัญไวต่อการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ 19

D. ระวังข้อเสนอที่สัญญาจะให้ในสิ่งที่พระเจ้าไม่เคยสัญญา

1. ผลเลิศ “ทำตามวิธีนี้” มีคนบอกกับผู้นำอนุชน “แล้วจำนวนสมาชิกในกลุ่มอนุชนจะเพิ่มขึ้นสามเท่า” “คุณต้องเลี้ยงลูกแบบนี้” มีคนบอกกับผู้เป็นพ่อแม่ “แล้วลูกๆของคุณจะเชื่อฟังและอยู่ในทางของพระเจ้า” “ใช้แผนหาทุนของเรา” มีคนบอกผู้นำคริสตจักร “แล้วคุณจะหาทุนสร้างอาคารได้มากจนเกินพอ”

2. ผลในทันที “พันธกิจของคุณไม่เห็นต้องใช้เวลาหลายปีเพื่อพัฒนา” นักศึกษาพระคริสตธรรมจบใหม่บอก “ทำให้มันสำเร็จเดี๋ยวนี้เลย จะรอไปทำไม”

3. เป็นที่รู้จักและมีความสำคัญ “เป็นคนที่สำคัญของพระเจ้า” มีคนบอก “เป็นผู้นำในคริสตจักร สร้างผลกระทบให้กับพระคริสต์ นี่เป็นสิ่งที่คริสเตียนที่ประสบความสำเร็จทำ”

4. ไม่ต้องทนทุกข์ “พระเจ้าต้องการอวยพระพรคุณ” มีคนบอกกับคริสเตียนมากมาย “รอคอยความสุขและความมั่งคั่ง” บางทีคำพูดที่ฮิทติดปากในแวดวงของพวกเราทุกวันนี้คือ “เติมเต็ม” “ลองเข้าในพันธกิจนี้ดู” มีคนพูด “แล้วคุณจะรู้สึกเต็มล้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน” เมื่อใดก็ตามที่มีคนนำเสนอพันธกิจที่เติมเต็มล้นในคริสตจักรของคุณหรือที่อื่นๆ ระวังให้ดี เขากำลังพยายามขายบางอย่างให้คุณ

สัปดาห์ที่แล้วเราอ่านจากหนังสือ 2ทิโมธี เป็นจดหมายฝากที่ อ.เปาโลเขียนจากเรือนจำในโรม ชีวิตท่านอาจกำลังจบลง ท่านอยู่โดดเดี่ยว มีแต่ลูกาเท่านั้น หลายคนไม่อยากเกี่ยวข้องเพราะอับอาย ท่านขอให้ทิโมธีนำเสื้อคลุมมาให้ คริสตจักรหลายแห่งที่ท่านก่อตั้งขึ้นกำลังดิ้นรน ผู้สอนเทียมเท็จมาจากทุกทิศทุกทาง โจมตีและปฏิเสธเนื้อหาของข่าวประเสริฐ

ทุกเดือนเราจะได้รับจดหมายจากมิชชันนารีของคริสตจักร Community Bible Chapel ที่เราให้การสนับสนุน ถ้าหนึ่งในจดหมายที่เราได้รับมาเหมือนกับ 2ทิโมธี ผมสงสัยว่าเราจะยังสนับสนุนมิชชันนารี่คนนั้นต่อหรือไม่

ในคำเทศนาบนภูเขา พระเยซูตรัสว่าผู้ที่ถูกข่มเหงเหตุเพราะพระองค์ย่อมเป็นสุข (มัทธิว 5:10-12) พระองค์บอกกับสาวกว่าในโลกนี้พวกเขาจะประสบความทุกข์ยาก (ยอห์น 16:33) เปาโลสอนทิโมธีให้ทนต่อความยากลำบากเหมือนทหารที่ดีของพระเยซูคริสต์ (2ทิโมธี 2:3) นี่คือสิ่งที่เราจำต้องรู้ไว้เมื่อลงมือทำงานของพระเจ้าอย่างจริงจัง ให้สำรวจโอกาสทำพันธกิจที่มาถึงแบบง่ายๆชนิดไม่มีความยากลำบากให้ดี เพราะคุณอาจตกเป็นเหยื่อการทดลองในแบบเดียวกับการทดลองครั้งที่สามของพระเยซู

E. เราไม่อาจปรนนิบัติเจ้านายพร้อมกันสองคนได้ อย่างที่พระเยซูตรัส เราจะชังคนหนึ่งและรักอีกคน (มัทธิว 6:24) คนหรือสิ่งของใดที่เป็นคู่แข่งในการนมัสการพระเจ้าของเราเรียกร้องการปรนนิบัติจากเราด้วย พระเยซูทราบว่าการคุกเข่าก้มหัวให้ซาตานและยอมรับของขวัญแห่งราชอาณาจักรของโลกหมายถึงอะไร พระเยซูไม่อาจปรนนิบัติพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียวถ้าพระองค์ยอมรับราชอาณาจักรนั้นมาจากซาตาน ทันทีที่พระองค์ให้ความสำคัญกับมันและรับความช่วยเหลือ พระองค์ต้องรับใช้มัน อาจไม่ในทันที หรือในแบบที่เราคิด แต่วันนั้นมาถึงแน่

เดอะก๊อดฟาเธ่อ20 นวนิยายเกี่ยวกับตระกูลคอร์ลีโอนีและพรรคพวกที่ก่อตั้งแก๊งอาชญากรรม ได้รับรางวัลอาคาดามี่เมื่อสร้างเป็นภาพยนตร์ รวมถึงภาคต่อๆไปด้วย ตอนหนึ่งในหนังสือเกี่ยวข้องกับสัปเหร่อที่แอบไปขอความช่วยเหลือจากหัวหน้าครอบครัว ดอน คอร์ลีโอนี สิ่งแรกที่สัปเหร่อนี้ต้องทำคือสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อหัวหน้า เมื่อยอมทำตาม ก็ได้รับความช่วยเหลือ หลังจากนั้นสัปเหร่อคนนี้ก็ไม่ได้ยินจากดอน คอร์ลีโอนีอีกเป็นปี วันหนึ่งลูกชายของดอน คอร์ลีโอนี ถูกคู่ปรับฆ่าตายระหว่างก่ออาชญากรรม ตอนกลางดึก สัปเหร่อถูกเรียก ดอนขอให้สัปเหร่อคนนี้จัดการฝังศพให้ เขาตัวแข็งด้วยความกลัว เพราะในทันทีทุกคนจะรู้ – เพื่อนบ้าน ลูกค้า ตำรวจ ศัตรู พวกก่ออาชญากรรมทั้งหลาย – ว่าเขาทำงานให้ดอน คอร์ลีโอนี เจ้าพ่อ แต่ไม่มีทางเลือก ถ้าไม่ทำ หมายถึงชีวิตเขาก็ต้องจบลง

นี่เป็นวิธีเดียวกับที่ซาตานใช้ ไม่มีข้อตกลงใดเล็กน้อยสำหรับซาตานหรือสิ่งที่มันควบคุม – โลกนี้ ระบอบของโลก สิ่งของๆโลก (1ยอห์น 2:15-16) ถ้าเราก้มหัวคุกเข่าให้กับสิ่งของๆโลกนี้ เช่นครอบครัว ประเทศของเรา หรืองานรับใช้ – สิ่งใดก็ตามที่เราให้ขึ้นมาเป็นคู่แข่งกับพระเจ้า – วันหนึ่ง ไม่ช้าก็เร็ว เราจะถูกเรียกร้องให้ไปรับใช้สิ่งนั้น อย่าหลอกตนเอง เราไม่อาจปรนนิบัติพระเจ้าไปพร้อมๆกันได้ เช่นเดียวกับสัปเหร่อ เราจะพบว่าเราได้เลือกไปแล้ว21

F. ซาตานไม่มีทางเทียบได้กับพระเจ้า ซาตานให้ได้เฉพาะสิ่งที่ได้มา มันอ้างกับพระเยซูว่ามันได้รับราชอาณาจักรต่างๆของโลกนี้ และนำมามอบให้พระเยซูได้ มาคิดดูว่ามีความหมายอย่างไร อาณาจักรของโลกนี้คือของๆโลกนี้ เมื่อปิลาตถามพระองค์ว่าเป็นกษัตริย์หรือ พระเยซูตอบว่าอาณาจักรของพระองค์ไม่ใช่เป็นของโลกนี้ แต่ในสวรรค์ (ยอห์น 18:36) และอาณาจักรของโลกนี้เป็นเพียงชั่วคราว ความยิ่งใหญ่ไม่ได้คงอยู่ตลอดไป และไม่มีทางไปเทียบกับความยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรของพระเจ้า (ดูคำอธิบายถึงท้องฟ้าใหม่และโลกใหม่ในวิวรณ์ 21:1 – 22:5)

แน่นอน สำหรับเรา โลกนี้น่าดึงดูดมากๆ มันคงยากสำหรับเราที่จะคิดไกลไปจากสภาพแวดล้อมที่ดำเนินอยู่ อยู่ในกรอบกำหนดของพื้นที่และเวลา แต่สิ่งที่เราต้องคิด – ด้วยมุมมองของฟ้าสวรรค์และนิรันดร์กาล ดูสิ่งที่ผู้เขียนหนังสือฮีบรูอธิบายถึงธรรมิกชนของพระเจ้าในฮีบรู 11:13-16

คนเหล่านี้ยังคงดำเนินในความเชื่อเมื่อพวกเขาตาย ยังไม่ได้รับตามพระสัญญา พวกเขาได้เห็นและรอคอยจากที่ไกล และยอมรับว่าตนเองเป็นเพียงคนแปลกถิ่นที่ท่องเที่ยวไปในโลก … .และรอคอยบ้านเมืองที่ดีกว่านี้ – บ้านบนสวรรค์

เราควรสำแดงความเชื่อในแบบเดียวกัน ไม่ยึดโลกหรือสิ่งของๆโลกที่เป็นเพียงชั่วคราว

G. การทดลองอาจมาจากแหล่งที่เรานึกไม่ถึง ดูวิธีที่ซาตานเสนอตนเองกับพระเยซู มันยอมรับพระเยซูว่าเป็นบุตรพระเจ้า มันเชื่อว่าพระองค์ทรงทำอัศจรรย์ได้ นำพระวจนะมาอ้างเพื่อจะได้รับการยอมรับ มันมาหาพระเยซูในช่วงแห่งการทดสอบ ทำเหมือนสนับสนุนพระองค์ในเรื่องความเชื่อ (แต่ที่จริงกำลังทดสอบพระเจ้าที่มันบอกสนับสนุน) เสนอหนทางให้พระเยซูทำพันธกิจได้เต็มที่ มันดูเป็นผู้สนับสนุนเรื่องความเชื่อและให้การช่วยเหลืออย่างดี

เหมือนพี่น้องคริสเตียนที่แสนดีใช่มั้ยครับ? หรือผู้นำฝ่ายวิญญาณที่น่าไว้ใจ มันน่าเศร้าที่จะบอกว่าสองแหล่งนี้เป็นแหล่งที่การล่อลวงเป็นไปได้มากที่สุด อย่างที่ อ.เปาโลกล่าวไว้ใน 2โครินธ์ 11:13-15 ซาตานปลอมเป็นทูตแห่งความสว่างได้ ไม่ใช่ปีศาจผมยาวรุงรังถือหอกสามง่าม แต่เป็นมิตรเทียมและเป็นครูสอนเทียมเท็จ

H. ดีตอนจบไม่ได้หมายความว่าวิธีการถูกต้อง เราเคยมีเรื่องอื้อฉาวเกิดขึ้นในอเมริกาที่ไม่เคยเกิดขึ้นมานานหลายปี มีการปั่นให้ดอกเบี้ยพุ่งสูง เพิ่มราคาหุ้นซึ่งดีต่อผู้ถือหุ้น แต่ทันทีที่เราคุกเข่าลงนมัสการความสำเร็จทางการเงิน ความซื่อสัตย์จะถูกมองข้าม และไม่มีวันย้อนกลับไปได้ ความต้องการของผู้เล่นหุ้นไม่เคยพอ เมื่อพบว่ามีสิ่งผิดปกติ ตลาดหุ้นก็พังครืน และคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่มากมายที่ต้องเจ็บปวด

เมื่อคริสตจักรของเราและคริสตจักรอื่นๆเผชิญปัญหาด้านการเงิน มีแรงกดดันให้ตัดงบประมาณฝ่ายวิญญาณลง จงระวังว่าเราไม่ควรให้คุณค่าความสำเร็จในงานพันธกิจ โดยยอมฟังข้อเสนอของมารมากกว่าเชื่อฟังพระเจ้า

I. การนมัสการไม่ใช่ดูว่าเราจะได้อะไรกลับคืน การนมัสการสมัยนี้เป็นเหมือน “เผือกร้อน” สำหรับคริสตจักรในโลกตะวันตก ในหลายๆคริสตจักรเป็นเหมือน “งานเฉลิมมฉลอง” เพลงสนุกสนานและบนเวทีมีเรื่องตื่นเต้น ที่คริสตจักรของเรา คนตัดสินใจว่าจะมาช่วงนมัสการดีหรือไม่โดยยึดว่าตนเองจะได้อะไรกลับไป

มารพยายามทำให้การนมัสการเป็นเหมือนของซื้อของขาย “นมัสการเราสิ” มันบอกพระเยซู “แล้วเดี๋ยวเราจะให้อาณาจักรของโลกนี้แก่ท่าน” นี่ไม่ใช่วิธีการนมัสการนะครับ

การนมัสการพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียวเป็นสิทธิพิเศษสูงสุดและเป็นหน้าที่สูงสุดของเรา22 เราควรนมัสการพระองค์เพราะสิ่งที่พระองค์ได้ทำเพื่อเรา อิสราเอลต้องนมัสการพระเจ้าเพราะพระองค์ทรงช่วยกู้พวกเขาออกจากการเป็นทาสในอียิปต์ (เฉลยธรรมบัญญัติ 5:6-7) เช่นกัน เราควรนมัสการพระเจ้าเพราะพระพรแห่งความรอดที่เรามีในองค์พระเยซูคริสต์ (เอเฟซัส 1:3-14)

V. บทสรุป

A. ซาตานเข้าใจเรื่องกางเขนหรือไม่? ไม่น่าครับ เพราะมันกำลังจะถูกปลด (โคโลสี 2:15) ถ้าซาตานรู้ ทำไมมันถึงลวงให้ยูดาสทรยศพระเยซู? ซาตานจะเร่งเวลาพินาศของตนเองเชียวหรือ?

แต่พระเยซูทรงเข้าใจเรื่องกางเขน ที่พิธีบัพติศมา พระเจ้าทรงประกาศรับรองจากฟ้าสวรรค์ และพระวิญญาณลงมาประทับเหนือพระองค์ ไม่เพียงแต่เป็นกษัตริย์ แต่เป็นผู้รับใช้ที่จะมาทนทุกข์รับโทษบาปแทนประชากรของพระองค์23 ดังนั้นการทดลองที่สามที่ซาตานนำเสนอพระเยซูจึงแตกต่างไปเล็กน้อยจากที่มันคิดไว้ พระเยซูจะใช้วิธีเลี่ยงกางเขนเพื่อจัดตั้งอาณาจักรของพระเจ้าหรือ? นี่คือสิ่งยั่วยวนที่แฝงมาในการทดลองพระเยซูครั้งที่สาม อาร์ จี วี แทสเกอร์ เขียนว่า:

จะหลบเลี่ยงหนทางสู่กางเขน ไม่ทำตามภารกิจของผู้รับใช้ที่ทนทุกข์ที่มนุษย์ชิงชังและปฏิเสธ ทั้งๆที่จะมาแบกรับโทษความชั่วร้ายของมนุษย์นั้น การต้านการทดลองของมารได้คือความยิ่งใหญ่และกล้าหาญของพระเยซู ที่จริงพระเยซูถูกล่อให้ติดกับดักของปีศาจด้วยวิธีไม่ชอบธรรมแต่ทำให้จบลงอย่างชอบธรรม ยังไงตอนจบพระองค์ก็ยังได้ครอบครองจักรวาลนี้อยู่ดี ไม่ว่าจะไปถึงด้วยวิธีใด24

พระเยซูทรงอยู่บนเส้นทางสู่กางเขนตลอด (มัทธิว 20:20-28) ขณะอยู่ในถิ่นทุรกันดารก่อนเริ่มทำพระราชกิจสู่สาธารณะ โดยไม่ตั้งใจ ซาตานล่อลวงให้พระองค์หาทางหลีกเลี่ยง แต่พระองค์ยังทรงดำเนินต่อจนถึงจุดหมาย ดังนั้นพระองค์จึงทรงควรค่าแก่การนมัสการของเรา

B. เราเข้าใจเรื่องกางเขนหรือไม่? พระเยซูทรงสอนเราถึงราคาที่ต้องจ่ายในการติดตามพระองค์ไป:

24 ขณะนั้นพระเยซูจึงตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า "ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามาให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง และรับกางเขนของตนแบกและตามเรามา 25 เพราะว่าผู้ใดใคร่จะเอาชีวิตรอด ผู้นั้นจะเสียชีวิต แต่ผู้ใดจะเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เรา ผู้นั้นจะได้ชีวิตรอด (มัทธิว 16:24-25)

พระเยซูไม่ได้ปล่อยให้เรางงหรือสงสัยว่าการตามพระองค์ไปจะเป็นอย่างไร? แต่ได้ให้ตัวอย่างไว้ โดนัลด์ เอ แฮกเนอร์ อธิบายไว้ในหนังสือเรื่องพระเยซูเมื่อถูกมารทดลอง:

ในมุมต่างๆตามเหตุการณ์ที่บันทึกไว้ จำเป็นมากต่อหลักศาสนศาสตร์ของพระกิตติคุณ เป้าหมายของการเชื่อฟังพระบิดาสำเร็จลงโดยที่พระเยซูไม่ทำตามอำเภอใจ หรือใช้สิทธิและอำนาจที่มี แต่ตรงข้าม พระองค์มีความถ่อมใจ ยอมรับใช้และยอมทนทุกข์ นี่คือความยิ่งใหญ่แท้จริง (20:26-28) ทำตามพระมหาบัญชาโดยเชื่อฟังน้ำพระทัยพระบิดา พระเยซูทรงทำตามอย่างครบถ้วน ถูกต้อง (เฉลยธรรมบัญญัติ 6:5) และยอมจำนน เมื่อยึดตามคำสอนในบัญญัติของพระเจ้า ทรงเปิดเผยให้เห็นพื้นฐานที่มาในคำสั่งสอนของพระองค์และในพระราชกิจ ทรงเข้าใจกฎของพระเจ้าอย่างถูกต้อง (5:17) และเป็นต้นแบบสำหรับแนวทางของคริสตจักรในยุคแรก การเป็นบุตรของคริสเตียนต้องสำแดงออกโดยการเชื่อฟังน้ำพระทัยอย่างครบถ้วน รวมถึงความยากลำบาก และการถูกทดสอบ (10:22,24) การทดสอบนี้จะไม่เหมือนกับที่พระเยซูเผชิญ เพราะเป็นส่วนหนึ่งของพระลักษณะและภารกิจที่ถูกกำหนดไว้ แต่หลักการจะคล้ายกัน เรียกร้องให้คริสเตียนเป็นผู้ยอมเสียสละ การเชื่อฟังตามน้ำพระทัยของพระบิดาคือตัววัดความเป็นสาวกแท้ของพระองค์25

ไม้กางเขนเป็นสัญลักษณ์แห่งการทนทุกข์และความตาย ราคาการเป็นสาวกของพระเยซูคือต้องรับเอากางเขนและแบกตามพระองค์ไปบนเส้นทางเดียวกัน มารจะล่อลวงให้เราเหไปจากเส้นทางนั้น อย่าหลบเลี่ยงราคาที่ต้องจ่ายในการเป็นสาวก เราต้องตายต่อตนเอง และมีชีวิตเพื่อพระเยซู อย่างที่มารทำกับพระเยซู มันอาจเสนอความยิ่งใหญ่ของโลกนี้ให้เราใช้ตามใจชอบ แม้แต่ในงานรับใช้ เพียงแค่เรายอมรับ เมื่อเผชิญการทดลอง เช่นเดียวกับพระเยซูเราต้องจำไว้ “จงนมัสการพระเจ้าผู้เดียว และปรนนิบัติพระองค์ผู้เดียวเท่านั้น”


1 107. เป็นบทเรียนจากต้นฉบับบทเรียนที่ 8 ของบทเรียนต่อเนื่องพระกิตติคุณมัทธิว จัดทำโดย ฮิวจ์ เบรวินส์ 13 เมษายน 2003

2 108. นอกจากที่กล่าวไปแล้ว พระวจนะที่นำมาอ้างอิงทั้งหมดมาจาก NET Bible (The NEW ENGLISH TRANSLATION) เป็น ฉบับแปลใหม่ทั้งหมด ไม่ใช่นำฉบับเก่าในภาษาอังกฤษมาเรียบเรียงใหม่ ใช้ผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการพระคัมภีร์มากกว่า ยี่สิบคน รวบรวมข้อมูล ทั้งจากภาษาฮีบรูโดยตรง ภาษาอาราเมข และภาษากรีก โครงการแปลนี้เริ่มมาจากที่เราต้องการนำ พระคัมภีร์ เผยแพร่ผ่านสื่ออีเลคโทรนิค เพื่อรองรับการใช้งานทางอินเตอร์เน็ท และซีดี (compact disk) ที่ใดก็ตามในโลก ที่ต่อเข้าอินเตอร์เน็ทได้ ก็สามารถเรียกดู และพริ้นทข้อมูลไว้เพื่อใช้ศึกษาเป็นการส่วนตัวได้โดยไม่คิดมูลค่า นอกจากนี้ ผู้ใดก็ตาม ที่ต้องการนำข้อมูลเกี่ยวกับพระคัมภีร์ไปเผยแพร่ต่อโดยไม่คิดเงิน สามารถทำได้จากเว็บไซด์ : www.netbible.org.

3 109. จากการอภิปรายในประเด็นนี้ใน ซิดนี่ย์ เอช ที – อำนาจของซาตาน, บทเรียนพระคัมภีร์เรื่องปีศาจและซาตาน (Grand Rapids, Michigan: Baker Books, 1995), pp. 94-95.

4 110. อธิบายเพิ่มเติมในประเด็นนี้ ดูได้จาก บทเรียนต่อเนื่องของพระกิตติคุณมัทธิว บทเรียนที่ 5 & 6 “มารผจญพระเยซูครั้งแรก และบทเรียนที่ 7 “มารผจญพระเยซูครั้งที่สอง” ของ โรเบิร์ต แอล เดฟฟินบาว

5 111. ดักกลาส วัลลอพ “ปีที่แยงกี้เสียธง” (New York: W.W. Norton & Company, Inc., 1954)

6 112. เดี๋ยวนี้ไม่มีทีมเบสบอลวอชิงตันซีเนเตอร์แล้ว หลายคนอาจยังจำได้ ทีมนี้ย้ายไปเท็กซัส แล้วกลายไปเป็นทีมเท็กซัสเรนเจอร์ส แต่ก็ยังเอาชนะพวกแยงกี้ไม่ได้อยู่ดี

7 113. ดูบทวิเคราะห์การทดลองครั้งที่สามของพระเยซูโดยเอริค เกรแฮม “การทดลองในถิ่นทุรกันดาร” Church Quarterly Review, Vol. 162 (1961), pp. 25-27.

8 114. นำมาจากต้นฉบับเดิมจัดทำโดย เบิร์ต แอล เดฟฟินบาว “บทเรียนต่อเนื่องพระกิตติคุณมัทธิว” บทเรียนที่ 5 & 6”มารมาผจญพระเยซูครั้งแรก” pp. 4-5.

9 115. เมื่อพระเยซูไม่อยู่ในสภาพที่จะปีนภูเขาสูงได้ และในเหตุการณ์นี้คงไม่มีภูเขาลูกไหนสูงขนาดเห็นราชอาณาจักรทั้งโลกได้ บางคนบอกรายละเอียดไม่ควรตามตัวอักษร ตัวอย่างเช่น จาก โดนัลด์ เอ แฮกเนอร์ “มัทธิว” Word Biblical Commentary, Vol. 33A (Dallas, Texas: Word Books, 1993), p. 68. “มารเคยเป็นทูตสวรรค์ เราไม่แน่ใจว่ามันมีอำนาจแค่ไหนที่จะนำคนจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งได้ และทำให้เห็นภาพที่กว้างไกล ดี เอ คาร์สัน อธิบายไว้ว่า “ยืนอยู่บนภูเขาสูง” (ข้อ 8) ไม่น่าจะเห็น “อาณาจักรของทั้งโลก” อาจมีบางอย่างเหนือธรรมชาติ นอกจากนั้น อดอาหารมาสี่สิบวัน คงไม่อาจปีนบนหนทางขรุชระขึ้นภูเขาสูงได้ จำได้ว่า อ.เปาโลบางครั้งก็ไม่แน่ใจในนิมิตที่ท่านเห็น ว่าอยู่ในกายนี้ หรือไม่ได้อยู่ (2โครินธ์ 12:2) เราต้องระวังในการตีความ แต่ไม่มีเหตุผลที่จะคิดว่าเรื่องนี้อยู่แค่ในกรอบของสัญลักษณ์... ดี เอ คาร์สัน “มัทธิว” The Expositor’s Bible Commentary, Vol. 8 (Grand Rapids, Michigan: Zondervan Publishing House, 1984), p. 111.

10 116. มาระโก 1:12

11 117. ในหนังสืออรรถาธิบาย ลูกา นอร์วัล เกลเดนฮุยส์ ตั้งข้อสังเกตุว่า “มารรู้ดีว่าพระเยซูเสด็จมาที่โลกนี้เพื่อเป็นผู้นำ และจัดตั้งราชอาณาจักรของพระเมสซิยาห์ มันจึงประกาศว่าถ้าเพียงแต่พระองค์นมัสการมัน มันจะมอบทั้งอาณาจักรและสง่าราศีของโลกนี้ให้ มันเสนอให้พระองค์ประนีประนอมกับมันเพื่อจะตั้งราชอาณาจักรของพระเมสซิยาห์ได้ มันก็จะทำได้สำเร็จตามเป้าหมายโดยไม่ต้องออกแรง และทนทุกข์มากมาย” จากนอร์วัล เกลเดนฮุยส์ The Gospel of Luke, The New International Commentary on the New Testament, (Grand Rapids, Michigan: Wm. B. Eerdmans Publishing Company, 1997), p. 160.

12 118. G. Campbell Morgan, The Crises of the Christ (Old Tappan, New Jersey: Fleming H. Revell Company, 1936), p. 191.

13 119. เอส เลวิส จอห์นสัน จูเนียร์ เขียนว่า “มีการตั้งคำถามต่อข้อเสนอของซาตาน หลายคนคิดว่ามันไม่สิทธิที่จะนำราชอาณาจักรต่างๆไปเสนอให้พระเยซู บิลลี่ เบรย์ กล่าวว่า น่าประหลาดที่มารพลาด: ‘การที่อันธพาลเจ้าเก่านำราชอาณาจักรของโลกนี้มาเสนอให้พระเยซู ทั้งๆที่มันแทบไม่ได้ครอบครองสิ่งใดจีรัง” อย่างที่เดนนี่ชี้ให้เห็น: ‘คำพูดของซาตานตามที่ลูกาบันทึกไม่ได้หมายความว่าไม่เป็นจริง ถ้าไม่เป็นจริงการทดลองก็ไม่น่าเกิด (James Denny, Jesus and the Gospel, p. 189) มารมีสิทธิเหนือสรรพสิ่งทรงสร้างเมื่อมนุษย์ล้มลงที่สวนเอเดน” จากหนังสือของ เอส เลวิส จอห์นสัน จูเนียร์ “การทดลองของพระเยซู” Bibliotheca Sacra, (Dallas, Texas: Dallas Theological Seminary, October 1966), p. 349.

14 120. การพูดพาดพิงเกินไปในเรื่องซาตานนั้นสุ่มเสี่ยงเพราะเป็นเหมือนให้ความสนใจ ให้ความสำคัญ เป็นสิ่งที่ผู้สอนเทียมเท็จที่เปโตรและยูดาเตือนไว้ (2เปโตร 2:1-11, ยูดา 8-10)

15 121. “พวกฟาริสีไม่เคยนึกฝันจะหันไปหาพระเจ้าของคนต่างชาติต่างศาสนา ที่จริงปรับพระเจ้าให้เข้ากับวัฒนธรรมของตัวเองก็คือปรับพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ให้เป็นอย่างอื่น” ริชาร์ด คียส์ “โรงงานรูปเคารพ” “ไม่มีพระเจ้าเว้นแต่พระเจ้า” โอเอส กินเนส และจอห์น ซีล บรรณาธิการ (Chicago: Moody Press, 1992) หน้า 43.

16 122. ดี เอ คาร์สัน เขียนไว้ “คู่ขนานระหว่างอิสราเอลในประวัติศาสตร์ และการอดอาหาร 40 วันและคืนของพระเยซูที่สะท้อนให้เห็นการเร่ร่อนอยู่ในทะเลทรายสี่สิบปีของอิสราเอล” (ฉธบ. 8:3); ทั้งสองใช้เวลาในถิ่นทุรกันดารเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับภารกิจที่จะตามมา ... ประเด็นหลักคือ “บุตร” ทั้งสองถูกทดสอบโดยการออกแบบของพระเจ้า … ฝ่ายหนึ่งทันทีที่ออกจากอียิปต์ และอีกฝ่ายทันทีที่รับบัพติศมา เพื่อพิสูจน์ถึงการเชื่อฟังและซื่อสัตย์ต่อภารกิจที่กำหนดไว้ “บุตร” ฝ่ายหนึ่งล้มเหลว แต่ “บุตร” อีกท่านไม่มีวันล้มลง … ในแง่นี้เป็นการรับรองว่าพระเยซูคือพระบุตรเที่ยงแท้ของพระเจ้า … . . D.A. Carson, op. cit., p. 112.

17 123. S. Johnson, op. cit., pp. 351-352. ประเด็นต่างเกี่ยวกับพระเยซู หรือประเด็นในเรื่องใกล้เคียง เตรียมจาก “บทเรียนต่อเนื่องพระกิตติคุณมัทธิว” และจากต้นฉบับของการทดลองสองครั้งแรกของ โรเบิร์ต แอล เดฟฟินบาว บทเรียนที่ 5 & 6: “มารผจญพระเยซูครั้งแรก” หน้า 16-17 และบทเรียน 7: “มารผจญพระเยซูครั้งที่สอง” หน้า 1-2

18 124. เจไอ แพคเกอร์ “จะรับมือกับซาตานต้องรู้จักกับพระเจ้าก่อน” ข่าวเช้าดัลลัส 20 เมษายน 2002

19 125. E. Graham, op. cit., p. 27.

20 126. Mario Puzo, The Godfather (New York: G. Putnam’s Sons, 1969).

21 127. เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ทำให้เป็นรูปเคารพ เราควรยอมจำนนกับสิทธิอำนาจของพระเจ้าที่กำหนดไว้ให้เรารับใช้พระองค์ (เอเฟซัส 5:22-6:9)

22 128. ถอดความจากข้อเขียนของจอห์น ไพเพอร์ “จงนมัสการพระเจ้าผู้เดียวของเจ้า” (Desiring God Ministries, 1985), http://www.desiringgod.org/library/sermons/85/090885.html

23 129. R.อาร์ จี วี แทสเกอร์ “พระกิตติคุณฉบับของมัทธิว” (Grand Rapids, Michigan: Wm. B. Eerdmans Publishing Company, 1976), p. 50. ดี เอ คาร์สัน กล่าวว่า “พูดอีกแบบ พระเยซูทรงทราบดีตั้งแต่เริ่ม และตั้งแต่เริ่มพระราชกิจที่บนโลก ทรงเป็นทั้งกษัตริย์ และเป็นผู้รับใช้ที่ทนทุกข์ โดยการรับรองที่พิธีบัดติศมาซึ่งสำคัญต่อพระภารกิจของพระองค์” D.A. Carson, op. cit., p. 114.

24 130. R.อาร์ วี จี แทสเกอร์ p. 54.

25 131. โดนัลด์ เอ แฮกเนรอ์ op. cit., p. 70.

Related Topics: Christology, Temptation

8. เริ่มต้นพระราชกิจของพระเยซู (มัทธิว 4:12-25)

Related Media

คำนำ1

ตอนที่ผมเทศนาเรื่องนี้ เป็นวันอาทิตย์อีสเตอร์ บางคนสงสัยว่าเนื้อหาตอนนี้เกี่ยวอะไรกับอีสเตอร์ ผมจะค่อยๆอธิบายให้ฟัง บางคนแสดงความเห็นว่าพระวจนะตอนนี้ถูกประกบอยู่ระหว่างมารผจญพระเยซู และคำเทศนาบนภูเขา น่าจะนำมาเทศนาได้ เชื่อเถอะ ผมก็คิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะเมื่อใกล้ถึงวันอาทิตย์ ความจริงคือพระวจนะตอนนี้สำคัญมาก เป็นเหมือนกุญแจไขสู่พระกิตติคุณมัทธิว และพระกิตติคุณทุกเล่ม

ถึงจุดนี้ในพระกิตติคุณมัทธิว พระเยซูยังไม่ได้สั่งสอนหรือทำการอัศจรรย์ใดๆ2 ขอกลับไปทบทวนเรื่องราวก่อนหน้าเล็กน้อยในบทที่ 1 ลำดับพงศ์พันธ์ของมัทธิวที่แสดงให้เห็นว่าพระเยซูทรงมีคุณสมบัติครบถ้วนที่ จะเป็นกษัตริย์อิสราเอล เพราะทรงเป็นทั้ง “บุตรของอับราฮัม” และเป็น “บุตรของดาวิด” (มัทธิว 1:1, 2-17) และยังแสดงให้เห็นว่า มีสตรีหลายท่านในพงศ์พันธ์พระเมสซิยาห์นี้เป็นคนต่างชาติ ตามที่มัทธิวบันทึกเรื่องกำเนิดของพระเยซู (1:18—2:12) ท่านได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับทูตสวรรค์ลงมาเป็นพยาน ในการถือกำเนิดมาอย่างบริสุทธิ์ และบรรดาโหราจารย์ต่างชาติที่เป็นพยานว่าพระเยซูคือ “กษัตริย์ของชาวยิว” (2:2)

ผมเชื่อว่าที่เหลือของบทที่ 2 (2:13-23) เกี่ยวข้องใกล้ชิดกับเนื้อหาในตอนนี้ ในมัทธิว 2:13-18 ท่านบันทึกเรื่องโยเซฟพาครอบครัวหนีไปอียิปต์ และทารกผู้บริสุทธิ์ถูกสังหาร ผมถือว่าข้อเหล่านี้เป็นตัวบ่งเบื้องต้นว่าพระเยซูจะถูกปฏิเสธ ถูกต่อต้าน และที่สุดถูกฆ่าตาย ตอนท้ายของบทที่ 2 (2:19-23) เรื่องราวนั้นใกล้เคียงกัน เมื่อทูตสวรรค์สั่งให้โยเซฟพาครอบครัวกลับมาที่อิสราเอล และนำต่อไปที่นาซาเร็ธในแคว้นกาลิลี ไม่ใช่ยูเดีย มัทธิวบอกว่าคำพยากรณ์นี้สำเร็จลง คำพยากรณ์ที่บอกว่าพระเยซูจะถูกเรียกว่าเป็นชาวนาซาเร็ธ ไม่มีข้อพระคำอ้างอิงโดยตรงจากพระคัมภีร์เดิมตามมัทธิว 2:23 เราต้องนำเรื่องนี้มาคิดให้ดี เข้าใจว่านักศึกษาพระคัมภีร์เก่งๆจะตีความหมายต่างกันไป

ตัวผมเอง เอนเอียงไปตามมุมมองของเฟรเดอริค บรูเนอร์ และอีกหลายคน:

“ด้วยเหตุผลทางศาสนศาสตร์ ผมอยากพิจารณา … ถึงความเป็นไปได้ และไม่ได้นอกเหนือจากนั้น สำหรับมัทธิวคนที่มาจากนาซาเร็ธ – ชาวนาซาเร็ธ คือคนที่เหมือนไร้ตัวตน และนี่เองคือสิ่งที่พวกผู้เผยพระวจนะทำนายบ่อยครั้งว่าพระคริสต์จะถูกมองว่า มาเป็นหนึ่งในท่ามกลางเราแต่ต้น … บางคนคิดว่าชาวนาซาเร็ธได้รับพระสัญญาผ่านทางผู้เผยพระวจนะว่าจะเป็นพระเม สซิยาห์ผู้รับทุกข์ ผู้รับใช้ของพระเจ้าที่หยั่งรากลงครั้งแรกที่เบธเลเฮม ไปที่อียิปต์ และจากอียิปต์ไปสู่แผ่นดินแห้งแล้งของนาซาเร็ธ … . “เขาจะเรียกท่านว่าชาวนาซาเร็ธ” หรือแย่ที่สุดคือ “คนที่ไร้ตัวตน”3

ขอละเรื่องนี้ไว้ก่อน แล้วจะนำกลับมาใหม่เมื่อเข้าสู่เนื้อหาของบทเรียน

ในมัทธิว 3 ผู้เขียนแนะนำให้รู้จักยอห์นผู้ให้บัพติศมาและพันธกิจของท่าน และนำสู่พิธีบัพติศมาของพระเยซู ในพิธีบัพติศมานี้พระเจ้าประกาศรับรอง (ด้วยพระสุรเสียงของพระบิดา การเสด็จมาของพระวิญญาณ และคำพยานของยอห์นผู้ให้บัพติศมา) ว่าพระเยซูทรงเป็นพระเมสซิยาห์ กษัตริย์อิสราเอล และในพิธีบัพติศมาพระเยซูทรงยอมรับตามน้ำพระทัยในฐานะพระเมสซิยาห์ที่ได้รับ มอบหมาย ซึ่งจะนำพระองค์ไปจนถึงสละพระชนม์เพื่อคนบาปทั้งหลายบนกางเขน

พิธีบัพติศมาของพระเยซูและการประกาศรับรองว่าทรงเป็นพระเมสซิยาห์ ตามด้วยการนำเข้าสู่การทดลองในมัทธิว 4:1-11 ที่นั่นซาตานมาทดลองพระองค์หลัง 40 วันผ่านไป มันพยายามล่อลวงถึงสามครั้ง (ในตอนนั้น) ชัยชนะเหนือการทดลองทั้งสามครั้ง เป็นข้อพิสูจน์ว่าพระองค์ และพระองค์ผู้เดียวเท่านั้นมีคุณสมบัติในฐานะพระเมสซิยาห์ ที่จะมาทำพระราชกิจตามที่พระบิดามอบหมาย เตรียมความรอดให้แก่คนบาปผู้หลงหาย โดยพระคุณทางความเชื่อ

โครงร่างของบทเรียนตอนนี้

พระวจนะตอนนี้ประกอบด้วยสามตอน:

ข้อ 12-17 พระเยซูย้ายไปอยู่ที่กาลิลี

ข้อ 18-22 พระเยซูทรงเรียกสาวกสี่คน

ข้อ 23-25 พระเยซูทรงสั่งสอน เทศนา และรักษาโรค

จะค่อยๆอธิบายทีละตอน แต่ละตอนมีบางอย่างเหมือนกับอีกสองตอน และตัวเชื่อมนี้ทำให้เราเห็นกุญแจไขสู่พระวจนะทั้งหมดในบทเรียนนี้ และในพระกิตติคุณมัทธิวทั้งเล่ม

พระเยซูเสด็จกลับไปกาลิลี (มัทธิว 4:12-17)

12 ครั้นพระเยซูทรงทราบข่าวว่ายอห์นถูกจำไว้แล้ว พระองค์ก็เสด็จไปยังแคว้นกาลิลี 13 แล้วย้ายที่ประทับจากเมืองนาซาเร็ธไปที่เมืองคาเปอรนาอุม ซึ่งอยู่ริมทะเลสาบที่เขตเผ่าเศบูลุนและนัฟทาลี 14 เพื่อจะสำเร็จตามพระวจนะ ซึ่งตรัสไว้โดยอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะว่า 15 แคว้นเศบูลุนและ แคว้นนัฟทาลี ทางข้างทะเลฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น คือกาลิลี แห่งบรรดาประชาชาติ 16 ประชาชนผู้นั่งอยู่ในความมืด ได้เห็นความสว่างยิ่งใหญ่ และผู้ที่นั่งอยู่ในแดนและเงาแห่งความตาย ก็มีความสว่างขึ้นส่องถึงเขาแล้ว” 17 ตั้งแต่นั้นมา พระเยซูได้ทรงตั้งต้นประกาศว่า “จงกลับใจเสียใหม่ เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว“4

ถ้าอ่านผ่านๆจะไม่ทันสังเกตุว่าหนึ่งปีผ่านไประหว่างมัทธิว 4:11 ถึง 4:12 :

มัทธิวข้ามหลายเหตุการณ์ที่น่าจะรวบรวมไว้ จากพระราชกิจเริ่มแรกของพระเยซูในยูเดียและกาลิลี เราพบเหตุการณ์ต่างๆนี้ในยอห์น ก่อนเสด็จกลับกาลิลี (ตามที่ยอห์นบันทึก 4:43) พระเยซูพบและเรียกสาวกคนแรก ทรงเปลี่ยนน้ำเป็นเหล้าองุ่นที่คานา อาศัยอยู่ช่วงสั้นๆที่คาเปอรนาอุม กลับไปเยรูซาเล็มก่อนเทศกาลปัสกา ขับไล่พวกตั้งโต๊ะแลกเงินในพระวิหาร สนทนากับนิโคเดมัส เริ่มต้นสั่งสอนตามชนบทรอบนอกยูเดีย และได้พบกับสตรีชาวสะมาเรียที่บ่อน้ำระหว่างเดินทางขึ้นเหนืออีกครั้ง (ดูยอห์น 1:19-4:42) จุดนี้เองที่มัทธิวเริ่มบันทึกของท่าน (มัทธิว 4:12-25)… ในข้อ 11 พระเยซูทรงอยู่ในทะเลทรายใกล้จอร์แดน มัทธิวบอกแค่ว่า “ครั้นพระเยซูทรงทราบข่าวว่ายอห์นถูกจำไว้แล้ว พระองค์ก็เสด็จไปยังแคว้นกาลิลี” (ข้อ 12) น่าจะเกิดขึ้นหนึ่งปีหลังจากนั้น5

ขณะที่พระกิตติคุณยอห์นมีเรื่องตอนต้นของพระเยซูในเยรูซาเล็ม (ยอห์น 2:13-3:36) พระกิตติคุณคล้าย (มัทธิว มาระโก และลูกา) ข้ามพระราชกิจแรกในเยรูซาเล็มไป แต่บันทึกว่าทรงเริ่มพระราชกิจที่กาลิลี มัทธิวและมาระโกเจาะจงว่าพระเยซูเสด็จออกจากยูเดียไปกาลิลีหลังจากยอห์นผู้ ให้บัพติศมาถูกจับ การจับกุมของยอห์นจึงเป็นจุดหักเหในพระราชกิจของพระองค์

ผมค่อนข้างเห็นด้วยกับหลายคนที่แปลไปในทางว่าพระเยซูทรง “ถอนตัวกลับ” เข้าไปในกาลิลี อาจจะผิดที่ไปสรุปว่าพระเยซูเหมือนไปหลบซ่อนเพราะกลัว แต่อีกเหตุผล เฮโรดปกครองอยู่เหนือกาลิลีและยูเดีย ดังนั้นพระองค์ก็ไม่ได้กำลังหนีจากเฮโรด และมีข้อพิสูจน์ชัดเจนว่าพระองค์ไม่ได้คิดจะปิดบังพระองค์ในกาลิลี เสด็จไปทั่ว ทำพระราชกิจท่ามกลางผู้คน และดึงดูดฝูงชนจำนวนมากให้ติดตามพระองค์ไป6

ข้อสงสัยแรกที่ว่าทำไมพระเยซูเสด็จไปที่กาลิลี ผมชอบวิธีที่บรูเนอร์อธิบายไว้:

“ดังนั้นเมื่อพระเยซู-ถอนตัวกลับไปกาลิลี- พระองค์ทำมากกว่าเดินทางขึ้นเหนือ แต่เหมือนไปผิดทาง”7

อย่างที่เพื่อนผมคนหนึ่งพูด “เมื่อพระเยซูเสด็จขึ้นเหนือ ในมุมมองอื่นๆเหมือนพระองค์เสด็จลงใต้” (หลงทิศ)

เราต้องเตือนตัวเองเกี่ยวกับกาลิลี เพื่อจะเข้าใจว่าทำไมการเสด็จไปกาลิลีของพระเยซูถึงเป็นเรื่องแปลก กาลิลีอยู่ทางเหนือของยูเดีย เป็นส่วนหนึ่งของดินแดนที่ถูกจ่ายชดเชยให้กษัตริย์ฮีรามแห่งไทเรที่ช่วยซา โลมอนสร้างพระวิหาร ซาโลมอนมอบ 20 เมืองในกาลิลีให้กษัตริย์ฮีราม ที่น่าสนใจคือคำตอบของฮีราม:

11 และเมื่อฮีรามกษัตริย์เมืองไทระได้ส่งไม้สนสีดาร์ และไม้สนสามใบและทองคำให้แก่ซาโลมอนตาม ที่พระองค์มีพระประสงค์ แล้วพระราชาซาโลมอนก็ทรงประทานหัวเมือง ในแผ่นดินกาลิลีให้แก่ฮีรามยี่สิบหัวเมือง 12 แต่เมื่อฮีรามเสด็จจากเมืองไทระเพื่อชม หัวเมืองซึ่งซาโลมอนประทานแก่ท่าน หัวเมืองเหล่านั้นไม่เป็นที่พอพระทัยท่าน (1พงศ์กษัตริย์ 9:11-12)

เมื่ออาณาจักรถูกแบ่งออกเป็นสองในช่วงการปกครองของเรโหโบอัม กาลิลีกลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรตอนเหนือของอิสราเอล อาณาจักรใต้คือยูดาห์ ปกครองสืบต่อกันโดยราชวงศ์ดาวิด อาณาจักรเหนือ ภายใต้การปกครองของเยโรโบอัมและกษัตริย์องค์ต่อๆมามีแต่ความชั่วร้าย หันไปนมัสการพระเทียมเท็จ ยูดาห์เองก็ไม่ได้ดีไปกว่า แม้มีกษัตริย์บางองค์ที่ยังนับถือพระเจ้า เมื่ออาณาจักรทั้งสองเสื่อมทรามลง พระเจ้าทรงเตือนถึงวันพิพากษาที่กำลังจะมา วันที่พระองค์จะใช้อัสซีเรียเป็นเครื่องมือในการพิพากษา และคนในอาณาจักรเหนือจะถูกจับไปเป็นเชลย อัสซีเรียจะมาข่มขู่ยูดาห์และเยรูซาเล็ม แต่ไม่อาจจัดการกับเมืองนี้ได้:

1 แล้วพระเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “จงเอาแผ่นใหญ่สำหรับเขียนมาแผ่นหนึ่ง และจงเขียนอักษรง่ายๆลงว่า ‘มาเฮอร์ชาลาลหัชบัส'” 2 และข้าพเจ้าได้พยานที่เชื่อถือได้ คือ อุรีอาห์ปุโรหิตและเศคาริยาห์บุตรของเยเบเรคียาห์ ให้เป็นพยานเพื่อข้าพเจ้า 3 และข้าพเจ้าได้เข้าไปหาหญิงผู้เผยพระวจนะ และเธอก็ตั้งครรภ์และ คลอดบุตรชายคนหนึ่ง และพระเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “จงเรียกชื่อบุตรนั้นว่า มาเฮอร์ชาลาลหัชบัส 4 เพราะก่อนที่เด็กจะร้องเรียก “พ่อ แม่” ได้ทรัพย์สมบัติของดามัสกัสและของที่ริบได้จาก สะมาเรียจะถูกขนเอาไปต่อพระพักตร์พระราชาอัสซีเรีย” 5 แล้วพระเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าอีกว่า 6 “เพราะว่าชนชาตินี้ได้ปฏิเสธน้ำแห่งชิโลอาห์ซึ่งไหลเอื่อยๆ และปีติยินดีต่อเรซีนและโอรสของเรมาลิยาห์ 7 เพราะฉะนั้น ดูเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนำน้ำแห่งแม่น้ำ ยูเฟรติสมาสู้เขาทั้งหลาย ที่มีกำลังและมากหลายคือพระราชา แห่งอัสซีเรียและพระสิริของพระองค์ และน้ำนั้นจะไหลล้นห้วยทั้งสิ้นของมัน และท่วมฝั่งทั้งสิ้นของมัน 8 และจะกวาดต่อไปเข้าในยูดาห์ และจะไหลท่วมและผ่านไปแม้จนถึงคอ และปีกอันแผ่กว้างของมันจะเต็มแผ่นดินของท่านนะ ท่านอิมมานูเอล” (อิสยาห์ 8:1-8)

ทิกลัทปิเลเสอร์ กษัตริย์แห่งอัสซีเรียทำในสิ่งที่พระเจ้าได้เตือนไว้ (ดู 2พงศ์กษัตริย์ 15:29) เมื่ออัสซีเรียเข้าไปรุกรานอาณาจักรเหนือ พวกเขาจับเอาผู้คนที่นั่นไปอัสซีเรีย ต่อมา แชลมาเนเสอร์ กษัตริย์แห่งอัสซีเรีย ยกทัพมารบกับอิสราเอลอีก และจับชาวอิสราเอลไปเป็นเชลยในอัสซีเรีย (2พงศ์กษัตริย์ 17:1-6) อัสซีเรียนำคนจากดินแดนอื่นๆเข้ามาอยู่ในอาณาจักรเหนือแทน (2พงศ์กษัตริย์ 17:24) ดังนั้นอาณาจักรเหนือ (รวมกาลิลีด้วย) ก็ถูกปะปนจนสายเลือดยิวจางลง (คนยูดาห์คงอยากเรียกว่าแผ่นดินที่ปนเปื้อน) ทั้งศีลธรรมและจิตวิญญาณ เมื่อเวลาผ่านไปจำนวนพลเมืองในอาณาจักรเหนือเพิ่มมากขึ้น ถึงอย่างไร สำหรับชาวยิวในยูดาห์และในเยรูซาเล็ม มองกาลิลีว่าเป็นเมืองที่ไม่มีสถานภาพ อย่างที่บรูเนอร์ให้ความเห็นไว้

“กาลิลีเป็นสถานที่แปลกสำหรับทำพระราชกิจของพระเมสซิยาห์ ไม่มีบทบัญญัติยิวใดอ้างถึงการเสด็จไป หรือทำพระราชกิจที่กาลิลี ทำเลของกาลิลีไม่เพียงแต่ห่างไกลจากเยรูซาเล็ม ยังถูกมองว่าจิตวิญญาณและการปกครองก็ห่างไกลด้วย กาลิลีจึงเป็นเหมือนเมืองต่างชาติของชาวยิว ตั้งอยู่ทางเหนือสุดของเขตปาเลสไตน์ ห่างจากซิโยนไม่ใช่แค่ทางภูมิประเทศเท่านั้น ชาวกาลิลียังถูกคนยูดาห์มองว่าการทำตามบทบัญญัติก็หลวมๆ และไม่ได้บริสุทธิ์ตามพระคัมภีร์เหมือนพวกเขาที่อยู่ใกล้เยรูซาเล็ม ในที่สุดกาลิลีก็ฉาวโฉ่จากการเป็นรังของพวกก่อกบฎ และเป็นที่ซ่องสุมพวกคลั่งลัทธิรุนแรง ไม่กี่ปีก่อนกำเนิดของพระเยซู เสโฟริส เมืองหลวงของกาลิลี เกิดจลาจลโดยการนำของยูดาสแห่งกาลิลี ต่อต้านการปกครองของโรมและนำกาลิลีเข้าสู่ความพ่ายแพ้ ทำให้คนของพระเจ้าหลายคนต้องอับอาย8

มัทธิวค่อยๆเผยให้ผู้อ่านรู้ว่าพระเยซูเสด็จออกจากนาซาเร็ธและไปอยู่ที่คาเปอรนาอุม “แคว้นเศบูลุนและแคว้นนัฟทาลี” (มัท ธิว 4:12) และเพราะเป็นฐานที่ตั้งของพระองค์ จึงมีการอัศจรรย์หลายอย่างเกิดขึ้นที่นั่น รวมถึงการรักษาบ่าวของนายร้อยที่เจ็บป่วย (มัทธิว 8:5-13) และแม่ยายของซีโมน (มัทธิว 8:14-17) ทรงขับผีโสโครกจากชายคนหนึ่ง (มาระโก 1:23-28) และทรงรักษาคนง่อยที่ถูกหย่อนมาทางหลังคา (มาระโก 2:1-12) ไม่น่าประหลาดใจถ้าพระเยซูจะพูดว่าคาเปอรนาอุมน่าจะถูกสาปแช่งมากกว่านี้:

23 และฝ่ายเจ้าเมืองคาเปอรนาอุม เจ้าจะถูกยกขึ้นเทียมฟ้าหรือ มิได้ เจ้าจะต้องลงไปถึงแดนคนตายต่างหาก ด้วยว่าการมหัศจรรย์ซึ่งได้กระทำในท่ามกลางเจ้านั้น ถ้าได้กระทำในเมืองโสโดม เมืองนั้นคงได้ตั้งอยู่จนทุกวันนี้ 24 แต่เราบอกเจ้าว่าในวันพิพากษา โทษเมืองโสโดมจะเบากว่าโทษของเจ้า” (มัทธิว 11:23-24)

คาเปอรนาอุมอาจมีกองกำลังทหารรักษาการของตนเอง มีสำนักงานเก็บภาษี ตรงที่มัทธิวนั่งทำงาน (มัทธิว 9:1, 9) แต่ยากที่จะคิดได้ว่าเมืองแบบนี้จะเป็นฐานทำการของพระเมสซิยาห์:

เรารู้เรื่องคาเปอรนาอุมน้อยมาก แต่มัทธิวบอกเราว่าพื้นที่อยู่ติดชายทะเลในแคว้นเศบูลุนและนัฟทาลี (สองเผ่านี้ถูกเอ่ยถึงอีกในพระคัมภีร์ใหม่ในข้อ 15 และในวิวรณ์ 7:6-8) ชื่อคาเปอรนาอุมแปลว่า “หมู่บ้านของนาฮูม” แต่ก็ไม่ได้ช่วยมากนัก เพราะเราไม่รู้ว่านาฮูมคนนี้คือใคร เป็นที่ยอมรับกันว่าที่ตั้งของเมืองที่รู้จักกันในชื่อ “เทลฮูม” นี้อยู่ทางมุมตะวันตกเฉียงเหนือของทะเลกาลิลี ขนาดกำลังพอดี (เจ พี เคนบอกว่าพื้นที่ตรงนั้นน่าจะประมาน 800 X 250 ไมล์) แต่ไม่ใช่เป็นเมืองที่ใหญ่นัก และข้อมูลนอกเหนือจากพระคัมภีร์มีน้อยมาก ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด พระเยซูทรงตั้งคาเปอรนาอุมเป็นศูนย์กลางการทำพระราชกิจของพระองค์ แทนที่จะเป็นในพื้นบ้านของพระองค์เอง เจ บี สรุปว่า ทรง “อาศัยในคาเปอรนาอุม”(9:1)9

มีอะไรสำคัญเกี่ยวกับคาเปอรนาอุมและกาลิลีที่ทำให้มัทธิวบันทึกเรื่อง สถานที่นี้ไว้ให้เรา? มัทธิวต้องการให้ผู้อ่านรู้ว่าที่พระเยซูเสด็จกลับไปกาลิลีไม่ใช่เรื่องผิด ที่จริง เป็นการทำให้คำพยากรณ์สำเร็จลง เป็นอีกข้อที่พิสูจน์ว่าพระเยซูเป็นพระเมสซิยาห์ตามพระสัญญา

1 เมืองนั้นซึ่งอยู่ในความแสนระทมจะไม่กลัดกลุ้ม ในกาลก่อนพระองค์ทรงนำแคว้นเศบูลุนและแคว้น นัฟทาลีมาสู่ความดูหมิ่น แต่ในกาลภายหลังพระองค์จะทรงกระทำให้หนทางข้างทะเล แคว้นฟากตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน คือ กาลิลี แห่งบรรดาประชาชาติ ให้รุ่งโรจน์ 2 ชนชาติที่ดำเนินในความมืด จะได้เห็นความสว่างยิ่งใหญ่ บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในแผ่นดิน แห่งเงามัจจุราช สว่างจะได้ส่องมาบนเขา (อิสยาห์ 9:1-2)

จากต้นฉบับที่ถ่ายทอดจากภาษากรีกและฮีบรู มัทธิวอ้างสองข้อแรกของอิสยาห์ 9 ในบทที่ 8 อิสยาห์เตือนถึงการบุกรุกจากอัสซีเรียที่กำลังจะเกิดขึ้น จะเข้ามาทำลายอาณาจักรเหนือและคุกคามยูดาห์ และในบทที่ 9 อิสยาห์พูดถึงวันแห่งความรอดและการช่วยกู้ที่กำลังจะมาถึง ขณะการช่วยกู้ที่จะเกิดขึ้นในทันทีคือการกลับคืนสู่แผ่นดินอิสราเอล มัทธิวมองเห็นการช่วยกู้สูงสุดคือการเสด็จมาของพระเมสซิยาห์ มัทธิวผู้เดียวเท่านั้นที่ชี้ให้เห็นว่าการเสด็จไปกาลิลีทำให้คำพยากรณ์ สำเร็จเป็นจริง และน่าสนใจที อาร์ จี วี แทสเกอร์ชี้ให้เห็นว่า

“คำว่า – หนทางข้างทะเล (มุ่งไปเมดิเตอเรเนียน) และข้ามไปที่จอร์แดน – (ฝั่งตะวันตกของจอร์แดน) อธิบายถึงพื้นที่จากมุมมองของอัสซีเรียผู้รุกราน10

ขณะที่อัสซีเรีย (ตามด้วยบาบิโลน) เข้ามารุกรานและทำลายอาณาจักรเหนือ เพื่อจะมุ่งไปที่ยูดาห์ พระเยซูจึงเริ่มพระราชกิจในการกอบกู้กาลิลีเป็นที่แรก และต่อมาที่ยูดาห์ ตามที่มัทธิวอ้างจากอิสยาห์ 9 ชี้ให้เห็นว่าท่านเชื่อว่าผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ (อาจทำนายอย่างไม่รู้ตัว) ว่าเป็นแผนทางภูมิศาสตร์ที่พระเยซูเสด็จมาเพื่อช่วยประชากรของพระองค์11

พระเยซูทรงเรียกสาวกทั้งสี่ (มัทธิว 4:18-22)

18 ขณะที่พระองค์ทรงดำเนินอยู่ตามชายทะเลกาลิลี ก็ทอดพระเนตรเห็นพี่น้องชาวประมงสองคน คือซีโมนที่เรียกว่าเปโตร กับอันดรูว์น้องชาย กำลังทอดแหอยู่ที่ทะเลสาบ 19 พระองค์ตรัสกับเขาว่า “จงตามเรามาเถิด และเราจะตั้งท่านให้เป็นผู้หาคนดั่งหาปลา” 20 เขาทั้งสองได้ละแห12ตามพระองค์ไปทันที 21 ครั้นพระองค์เสด็จต่อไป ก็ทอดพระเนตรเห็นพี่น้องอีกสองคน ชื่อยากอบ บุตรเศเบดี กับยอห์นน้องชายของเขากำลังชุนอวนอยู่ในเรือกับเศเบดีบิดาของเขา พระองค์ได้ทรงเรียกเขา 22 ในทันใดนั้น เขาทั้งสองก็ละเรือและลาบิดาของเขาตามพระองค์ไป

นักศึกษาพระคัมภีร์ใหม่จะรู้ได้ทันทีว่ามีการ “ทรงเรียก” สาวกหลายครั้ง และใช้เวลาอยู่ช่วงหนึ่ง การทรงเรียกครั้งแรกอยู่ในยอห์น 1:

35 รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่งยอห์นกำลังยืนอยู่กับสาวกของท่านสองคน 36 และท่านมองดูพระเยซูขณะที่พระองค์ทรงดำเนินและกล่าวว่า “จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า” 37 สาวกสองคนนั้นได้ยินท่านพูดเช่นนี้ เขาจึงติดตามพระเยซูไป 38 พระเยซูทรงเหลียวกลับมาและเห็นเขาตามพระองค์ไป จึงตรัสถามเขาว่า “ท่านหาอะไร” และเขาทั้งสองทูลพระองค์ว่า “รับบี (ซึ่งแปลว่าอาจารย์) ท่านอยู่ที่ไหน” 39 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “มาดูเถิด” เขาก็ไปและเห็นที่ซึ่งพระองค์ทรงพำนัก และวันนั้นเขาก็ได้พักอยู่กับพระองค์ เพราะขณะนั้นประมาณสี่โมงเย็นแล้ว 40 คนหนึ่งในสองคนที่ได้ยินยอห์นพูดและได้ติดตามพระองค์ไปนั้น คืออันดรูว์น้องชายของซีโมนเปโตร 41 แล้วอันดรูว์ก็ไปหาซีโมนพี่ชายของตนก่อน และบอกเขาว่า “เราได้พบ พระเมสสิยาห์แล้ว” (ซึ่งแปลว่าพระคริสต์) 42 อันดรูว์จึงพาซีโมนไปเฝ้าพระเยซู พระเยซูทรงทอดพระเนตรเขาแล้วจึงตรัสว่า “ท่านคือซีโมนบุตรยอห์นซีนะ เขาจะเรียกท่านว่าเคฟาส” (ซึ่งแปลว่าศิลา) 43 รุ่งขึ้นพระเยซูตั้งพระทัยจะเสด็จไปยังแคว้นกาลิลี พระองค์ทรงพบฟีลิปจึงตรัสกับเขาว่า “จงตามเรามา” 44 ฟีลิปมาจากเบธไซดาเมืองของอันดรูว์และเปโตร 45 ฟีลิปไปหานาธานาเอลบอกเขาว่า “เราได้พบพระองค์ผู้ที่โมเสสได้กล่าวถึงในหนังสือธรรมบัญญัติ และที่พวกผู้เผยพระวจนะได้กล่าวถึง คือ พระเยซู ชาวนาซาเร็ธบุตรโยเซฟ” 46 นาธานาเอลถามเขาว่า “สิ่งดีอันใดจะมาจากนาซาเร็ธได้หรือ” ฟีลิปตอบว่า “มาดูเถิด” 47 พระเยซูทรงเห็นนาธานาเอลมาหา พระองค์จึงตรัสถึงเรื่องของตัวเขาว่า “ดูเถิด ชนอิสราเอลแท้ ในตัวเขาไม่มีอุบาย” 48 นาธานาเอลทูลถามพระองค์ว่า “พระองค์ทรงรู้จักข้าพระองค์ได้อย่างไร” พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “ก่อนที่ฟีลิปจะเรียกท่าน เมื่อท่านอยู่ที่ใต้ต้นมะเดื่อนั้น เราเห็นท่าน” 49 นาธานาเอลทูลตอบพระองค์ว่า “รับบี พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ของชนชาติอิสราเอล” 50 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “เพราะเราบอกท่านว่า เราเห็นท่านอยู่ใต้ต้นมะเดื่อนั้นท่านจึงเชื่อหรือ ท่านจะได้เห็นเหตุการณ์ใหญ่กว่านั้นอีก” 51 และพระองค์ตรัสกับเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านจะได้เห็นท้องฟ้าเบิกออก และบรรดาทูตสวรรค์ของพระเจ้าขึ้นและลงอยู่เหนือบุตรมนุษย์”

ดูเหมือนหลังจากพระเยซูรับบัพติศมาได้ไม่นาน สาวกสองคนของพระองค์ (หนึ่งในนั้นที่เรารู้คืออันดรูว์13 – ดูข้อ 40) ละจากยอห์นมาตามพระเยซู ทั้งสองติดตามพระเยซูไปในวันนั้น (ข้อ 39) อันดรูว์ไปตามพี่ชายคือเปโตรมา ฟีลิปก็มาด้วย และไปตามนาธานาเอลมา การทรงเรียกที่มัทธิวอธิบายใน 4:18-22 เกิดขึ้นหลังจากนี้ บางทีอาจเกี่ยวข้องกับการทรงเรียกในลูกา 5:1-11 การทรงเรียกของมัทธิวเกี่ยวข้องกับสาวกสี่คน เป็นคู่สองพี่น้อง – ซีโมนและอันดรูว์ (มัทธิว 4:18-20) และยากอบกับยอห์น (4:21-22) ส่วนของมัทธิวไม่มีการบันทึกไว้จนกระทั่งเข้ามัทธิว 9:9

ดูเหมือนการทรงเรียกนี้เป็นการทรงเรียกที่ถาวร ครั้งนี้พวกสาวกละจากอาชีพประมงไปติดตามพระเยซูเต็มเวลา ข้อเท็จจริงหลายประการชี้ไปในทิศทางนี้ ประการแรก ตามมุมมองของมัทธิว นี่เป็นหนึ่งในการเริ่มต้นพระราชกิจของพระเยซูสู่สาธารณะ จะมีเวลาใดดีไปกว่านี้ที่จะติดตามพระเยซูเต็มเวลา? ประการที่สอง ทั้งสองคู่พี่น้องถูกกล่าวถึงว่า “ละจากแห” มัทธิวบอกเราว่ายากอบและยอห์น “ละจากเรือ” และบิดาไป (4:22) ประการที่สาม คำตรัสของพระเยซู “จงตามเรามาเถิด และเราจะตั้งท่านให้เป็นผู้หาคนดั่งหาปลา“(มัทธิว 4:19) ชี้ให้เห็นว่ามีการเปลี่ยนอาชีพ ขณะที่สาวกเหล่านี้ทิ้งอาชีพประมงไป ทิ้งไปถาวร เป็นจุดหักเหยิ่งใหญ่ในชีวิตของพวกเขา

คำว่า “ในทันที” ที่มัทธิวใช้เราไม่ควรมองข้าม14 ท่านบอกว่าในทันทีที่ชายสี่คนนี้ถูกเรียกให้ตามพระเยซูไป พวกเขาละแหและไปกับพระองค์ ผมรู้ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คนกลุ่มนี้ถูกเรียก แต่เป็นครั้งแรกที่ถูกเรียกให้ติดตามพระเยซูตลอดไป เมื่อพระเยซูเรียก พวกเขาก็ตอบสนองในทันที ผมเชื่อว่าสิ่งนี้ถูกบันทึกไว้เพื่อให้ผู้อ่านรู้ว่าพระเยซูทรงเป็นผู้มี สิทธิอำนาจ พระองค์ไม่เพียงสั่งสอนด้วยสิทธิอำนาจ (มัทธิว 7:28-29) ทรงเรียกด้วยสิทธิอำนาจ เมื่อพระเยซูตรัส แกะของพระองค์จะตอบสนอง (ดูยอห์น 10:27-29)

โดยทั่วไป สาวกจะเป็นฝ่ายเลือกผู้นำ แต่พระเยซูเป็นฝ่ายเลือกสาวก พระองค์ไม่ได้เลือกพวกหมัดหนัก (แม้เปโตรอยากจะลองสักตั้งก็ตาม) พระองค์เรียกคนที่ยอมรับการสอนเกี่ยวกับแผ่นดินสวรรค์ เป็นตัวบ่งว่าพันธกิจแบบไหนที่พระองค์รับมอบหมายมา ทรงเลือกคนที่พระองค์จะมอบอำนาจให้ และให้พวกเขาอยู่ต่อเพื่อประกาศข่าวประเสริฐแห่งพระกิตติคุณ และในตอนท้าย พระองค์สั่งสาวกเหล่านี้ให้ออกไปสร้างผู้อื่นให้เป็นสาวก (มัทธิว 28:18-20) แผ่นดินของพระองค์ไม่ได้มาในทันที แต่จะมาเมื่อถึงเวลาที่กำหนดไว้

พระเยซูทรงรักษา เทศนา และสั่งสอนในกาลิลี (มัทธิว 4:23-25)

23 พระเยซูได้เสด็จไปทั่วแคว้นกาลิลี ทรงสั่งสอนในธรรมศาลาของเขา ทรงประกาศข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า และทรงรักษาโรคภัยไข้เจ็บของชาวเมืองให้หาย 24 กิตติศัพท์ของพระองค์ก็เลื่องลือไปทั่วประเทศซีเรีย เขาจึงพาคนป่วยเป็นโรคต่างๆ คนที่ทนทุกข์เวทนา คนผีเข้า คนเป็นลมบ้าหมูและคนเป็นอัมพาตมาหาพระองค์ พระองค์ก็ทรงรักษาเขาให้หาย 25 และมีคนหมู่ใหญ่มาจากแคว้นกาลิลี และแคว้นทศบุรีและกรุงเยรูซาเล็ม และแคว้นยูเดีย และแม่น้ำจอร์แดนฟากตะวันออกติดตามพระองค์ไป

เราต้องจำว่าพระราชกิจของพระเยซูบนโลกส่วนใหญ่เกิดขึ้นในกาลิลี มัทธิวจึงพูดถึงการเริ่มพระราชกิจของพระองค์ที่กาลิลีเหมือนเป็นการเปิดตัว และประสบความสำเร็จในทันที เพราะพระองค์เสด็จไปทั่วกาลิลี สั่งสอน เทศนา และรักษาโรค (ข้อ 23) เราคงนึกภาพข่าวที่แพร่กระจายไป มัทธิวให้เราเห็นภาพรวมความสำเร็จของพระองค์ที่กาลิลี ลองมาดูความสำเร็จบางอย่างที่พระองค์ทำ:

14 ครั้นพระเยซูเสด็จเข้าไปในเรือนของเปโตร ก็ทรงเห็นแม่ยายของเปโตรนอนป่วยจับไข้อยู่ 15 พอพระองค์ทรงจับมือนาง ความไข้ก็หาย นางจึงลุกขึ้นปรนนิบัติพระองค์ 16 พอค่ำลง เขาพาคนผีเข้าสิงเป็นอันมากมาหาพระองค์ พระองค์ก็ทรงขับผีออกด้วยพระดำรัส และบรรดาคนเจ็บป่วยทั้งหลายนั้น พระองค์ก็ได้ทรงรักษาให้หาย 17 ทั้งนี้เพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะโดยอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะที่ว่า ท่านได้แบกความเจ็บไข้ของเราทั้งหลาย และหอบโรคของเราไป (มัทธิว 8:14-17)

นึกภาพตามว่าจะเป็นอย่างไรถ้าได้เห็นพระเยซูกำลังทำพระราชกิจ มีข่าวลือแพร่ออกไปว่าแม่ยายของเปโตรได้รับการรักษา คุณรีบวิ่งไปที่บ้านของเธอเพื่อให้เห็นกะตา มีคนจำนวนมากกำลังมุงอยู่ และมีคนเป็นโรคต่างๆถูกนำมาหาพระเยซู พระองค์ทรงรักษาทุกคนให้หาย ไม่มีใครถูกทิ้งให้ป่วยอยู่เลย รวมถึงคนถูกผีสิง คนป่วยที่ไม่มีทางรักษา ถ้าเป็นทุกวันนี้ โรคร้ายแรง คนเป็นมะเร็ง คงยืนต่อแถวรับการรักษา

พระราชกิจของพระเยซูไม่เพียงแต่กว้างขวาง แต่ยังเหน็ดเหนื่อยและใช้เวลามากมาย อย่างที่ ดี เอ คาร์สันกล่าว:

พระราชกิจของพระเยซูรวมถึงการสั่งสอน เทศนา และรักษาโรค กาลิลีมีอาณาบริเวณไม่ใหญ่นัก (น่าจะ 70×40 ไมลส์) แต่ที่โจเซฟัสบันทึกหลังจากนั้นหนึ่งช่วงอายุคน กาลิลีมี 204 เมืองและหมู่บ้าน แต่ละแห่งมีคนไม่น้อยกว่าหมื่นห้าพัน ตัวเลขนี้หมายถึงคนที่อาศัยอยู่ในกำแพงเมือง ไม่ใช่ชนบทด้านนอก (ซึ่งโจเซฟัสไม่ได้พูดถึง) ตัวเลขเชิงอนุรักษ์นี้ชี้ว่ามีประชากรจำนวนมาก แม้จะน้อยกว่าสามล้านของโจเซฟัส ในอัตราสองหมู่บ้านหรือสองเมืองต่อวัน ยังต้องใช้เวลาสามเดือนถึงจะไปได้ทั่ว รวมถึงไม่มีวันพักในวันสะบาโตด้วย15

โรคต่างๆที่ได้รับการรักษา และความจริงที่ว่าไม่มีโรคใดยากเกินกว่าที่พระเยซูจะรักษา ยิ่งเน้นให้เห็นถึงสิทธิอำนาจ พระเยซูทรงทำพระราชกิจในทำเลที่กินวงกว้าง รวมถึงซีเรีย16 เดคาโพลิส เยรูซาเล็ม และยูเดีย และเลยไปถึงจอร์แดน17 การที่พระเยซูกลับที่กาลิลีไม่ใช่ทำให้พระองค์ไม่เป็นที่รู้จัก แต่กลับกลายเป็นส่งให้พระองค์โดดเด่นขึ้นมา

บทสรุป

ก็มาถึงจุดที่เราต้องกลับมาถามตัวเอง “อะไรคือประเด็นของพระวจนะตอนนี้?” ทำไมมัทธิวถึงใส่ตอนนี้คั่นไว้ระหว่างการทดลองของพระเยซู และคำเทศนาบนภูเขา? เราควรเรียนรู้สิ่งใดจากเรื่องนี้?

สิ่งแรกที่เราต้องสังเกตุคือสิ่งที่ผมเรียกว่า “ความสัมพันธ์ของชาวกาลิลี” สิ่งที่เชื่อมโยงทั้งสามตอนเข้าด้วยกันคือทั้งหมดเกิดขึ้นในกาลิลี อาจฟังดูไม่น่ามีประเด็นสำคัญ แต่ขอบอกว่ามันสำคัญมาก มากกว่ามองดูอย่างผิวเผินในตอนแรก มาดูความสำคัญในความสัมพันธ์ของพระเยซูกับกาลิลีในพระราชกิจของพระองค์

พระเยซูทรงเริ่มพระราชกิจของพระองค์ในกาลิลี18 แน่นอนเราเห็นได้ทั้งในมัทธิวและมาระโก (1:14) ที่ผมไม่ได้เห็นก่อนหน้าคือความจริงที่มีถูกเน้นไว้ในตอนอื่นๆของพระคัมภีร์ใหม่:

34 ฝ่ายเปโตรจึงกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเห็นจริงแล้วว่า พระเจ้าไม่ทรงเลือกหน้าผู้ใด 35 แต่คนใดๆในทุกชาติที่เกรงกลัวพระองค์ และประพฤติตามทางชอบธรรมก็เป็นที่ชอบพระทัยพระองค์ 36 เรื่องที่พระองค์ได้ทรงฝากไว้กับพวกอิสราเอล คือทรงประกาศข่าวดีเรื่องสันติสุขโดยพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของคนทั้งปวง 37 เรื่องนั้นท่านทั้ง หลายก็รู้ คือเรื่องที่ได้เล่ากันตั้งแต่ต้น ที่แคว้นกาลิลีไปจนตลอดทั่วแคว้นยูเดีย ภายหลังการบัพติศมาที่ยอห์นได้ประกาศนั้น 38 คือเรื่องพระเยซูชาวนาซาเร็ธ ว่าพระเจ้าได้ทรงเจิมพระองค์ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และด้วยฤทธานุภาพอย่างไร และพระเยซูเสด็จไปกระทำคุณประโยชน์ และรักษาบรรดาคนซึ่งถูกมารเบียดเบียน เพราะว่าพระเจ้าทรงสถิตกับพระองค์ 39 เราทั้งหลายเป็นพยานถึงกิจการทั้งปวง ซึ่งพระองค์ทรงกระทำ ในแคว้นยูเดียและในกรุงเยรูซาเล็ม พระองค์นั้นเขาได้ฆ่าโดยแขวนไว้ที่ต้นไม้ (กิจการ 10:34-39 ที่ขีดเส้นคือผมเน้น)

29 ครั้นทำจนสำเร็จทุกอย่าง ตามซึ่งมีเขียนไว้ในพระคัมภีร์แล้วว่าด้วยพระองค์ เขาจึงเชิญพระศพของพระองค์ลงจากต้นไม้ ไปประดิษฐานไว้ในอุโมงค์ 30 แต่พระเจ้าได้ทรงให้พระองค์คืนพระชนม์ 31 พระองค์ทรงปรากฏแก่คนทั้งหลายที่ตามพระองค์ จากแคว้นกาลิลีไปยังกรุงเยรูซาเล็มเป็นหลายวัน บัดนี้คนเหล่านั้นเป็นพยานข้างพระองค์ให้แก่คนทั้งหลาย (กิจการ 13:29-31 ที่ขีดเส้นคือผมเน้น)

งานวันเกิดเฮโรดมีพวกผู้นำกาลิลีไปด้วย ผมไม่เคยสังเกตุข้อนี้มาก่อน แต่มาระโกบอกเราว่าคนที่ไปงานเลี้ยงวันเกิดเฮโรดคือพวกผู้นำของกาลิลี:

21 ครั้นอยู่มาวันหนึ่งเป็นโอกาสดี คือเป็นวันฉลองวันกำเนิดของเฮโรด เฮโรดได้จัดการเลี้ยงขุนนางกับนายทหารชั้นผู้ใหญ่ และคนสำคัญๆทั้งปวงในแคว้นกาลิลี 22 เมื่อบุตรีของนางเฮโรเดียสเข้ามาเต้นรำ ทำให้กษัตริย์เฮโรด และแขกทั้งปวงชอบใจ กษัตริย์จึงตรัสกับหญิงสาวนั้นว่า “เธอจะขอสิ่งใดก็จะให้สิ่งนั้น” (มาระโก 6:21-22)

ถ้าเพื่อนๆของเฮโรดและบรรดาคนที่คบกันอยู่เป็นชาวกาลิลี ยิ่งทำให้คนกาลิลีนั้นดูชั่วร้ายขึ้นในสายตาของชาวยิวในเยรูซาเล็มและยูเดีย

สาวกของพระเยซูเป็นชาวกาลิลี จากที่เรียนมาในตอนนี้เราพบว่าพระเยซูทรงเรียกชายสี่คนให้ติดตามพระองค์ไป ที่เราควรสังเกตุให้ดีคือพระองค์ทรงเรียกพวกเขาจากแถวชายฝั่งทะเลกาลิลี ท้งสี่คนนี้เป็นชาวกาลิลี รวมถึงสาวกที่เหลือของพระองค์ด้วย:

69 ฝ่ายเปโตรนั่งอยู่นอกตึกที่ลานบ้าน มีสาวใช้คนหนึ่งมาพูดกับเขาว่า แกได้อยู่กับเยซูชาวกาลิลีด้วยเหมือนกัน 70 แต่เปโตรได้ปฏิเสธต่อหน้าคนทั้งปวงว่า “ที่เจ้าว่านั้นข้าไม่รู้เรื่อง” (มัทธิว 26:69-70)

69 อีกครั้งหนึ่งสาวใช้คนนั้นได้เห็นเปโตร แล้วบอกกับคนที่ยืนอยู่ที่นั่นว่า “คนนี้แหละเป็นพวกเขา” 70 แต่เปโตรก็ปฏิเสธอีก แล้วอีกสักครู่หนึ่งคนทั้งหลายที่ยืนอยู่ที่นั่นได้ว่าแก่เปโตรว่า เจ้าเป็นคนหนึ่งในพวกนั้นแน่แล้ว ด้วยว่าเจ้าเป็นชาวกาลิลี (มาระโก 14:69-70)

10 เมื่อเขากำลังเขม้นดูฟ้า เวลาที่พระองค์เสด็จขึ้นไปนั้น มีสองคนสวมเสื้อขาวมายืนอยู่ข้างๆเขา 11 สองคนนั้นกล่าวว่า ชาวกาลิลีเอ๋ย เหตุไฉนท่านจึงเขม้นดูฟ้าสวรรค์ พระเยซูองค์นี้ซึ่งทรงรับไปจากท่านขึ้นไปยังสวรรค์นั้น จะเสด็จมาอีกเหมือนอย่างที่ท่านทั้งหลายได้เห็นพระองค์เสด็จไปยังสวรรค์ นั้น” (กิจการ 1:10-11)

5 มีพวกยิวจากทุกประเทศทั่วใต้ฟ้าซึ่งเป็นผู้เกรงกลัวพระเจ้า มาอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม 6 เมื่อมีเสียงอย่างนั้นเขาจึงพากันมา และฉงนสนเท่ห์เพราะต่างคนต่างได้ยินเขาพูดภาษาของตัว 7 คนทั้งปวงจึงประหลาดและอัศจรรย์ใจพูดว่า “ดูแน่ะ คนทั้งหลายที่พูดกันนั้นเป็นชาวกาลิลีทุกคนไม่ใช่หรือ 8 เหตุไฉนเราทุกคนได้ยินเขาพูดภาษาของบ้านเกิดเมืองนอนของเรา (กิจการ 2:5-8)

ผมอาจพิสูจน์ไม่ได้ แต่ทำให้คิดได้ว่าเพราะสาวกของพระเยซูเป็นชาวกาลิลี ชาวยิวในเยรูซาเล็มจึงดูถูก พระวจนะด้านล่างในกิจการอาจสะท้อนให้เห็นที่มาของพวกสาวก:

12 ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลย ด้วยว่านามอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายรอดได้ ไม่ทรงโปรดให้มีในท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า” 13 เมื่อเขาเห็นความกล้าหาญของเปโตรกับยอห์น และรู้ว่าท่านทั้งสองขาดการศึกษาและเป็นคนสามัญ ก็ประหลาดใจ แล้วสำนึกว่าคนทั้งสองเคยอยู่กับพระเยซู 14 เมื่อเขาเห็นคนนั้นที่หายโรคยืนอยู่กับเปโตรและยอห์น เขาก็ไม่มีข้อคัดค้านที่จะพูดขึ้นได้ (กิจการ 4:12-14)

พวกผู้หญิงที่ติดตามพระเยซูไปเป็นชาวกาลิลี ไม่ใช่สาวกเท่านั้นที่เป็นชาวกาลิลี พวกผู้หญิงที่ติดตามพระเยซูไปก็มาจากกาลิลีด้วย:

55 ที่นั่นมีหญิงหลายคนที่ได้ติดตามพระองค์ จากกาลิลีเพื่อจะปรนนิบัติพระองค์ มองดูอยู่แต่ไกล 56 ในพวกนั้นมีมารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบและโยเซฟ และมารดาของบุตรเศเบดี (มัทธิว 27:55-56)

55 ฝ่ายพวกผู้หญิงที่ตามพระองค์มาจากแคว้นกาลิลีก็ตามไปและได้เห็นอุโมงค์ ทั้งได้เห็นเขาวางพระศพของพระองค์ไว้อย่างไรด้วย 56 แล้วเขาก็กลับไปจัดแจงเครื่องหอมกับน้ำมันหอม ในวันสะบาโตนั้นเขาก็หยุดการไว้ตามพระบัญญัติ (ลูกา 23:55-56)

ชาวกาลิลีไม่เป็นที่นับถือ แต่กลับโดนดูหมิ่นเหยียดหยาม แม้แต่นาธานาเอลเองยังสงสัยในชาวกาลิลี:19

45 ฟีลิปไปหานาธานาเอลบอกเขาว่า “เราได้พบพระองค์ผู้ที่โมเสสได้กล่าวถึงในหนังสือธรรมบัญญัติ และที่พวกผู้เผยพระวจนะได้กล่าวถึง คือ พระเยซู ชาวนาซาเร็ธบุตรโยเซฟ” 46 นาธานาเอลถามเขาว่า สิ่งดีอันใดจะมาจากนาซาเร็ธได้หรือ ฟีลิปตอบว่า “มาดูเถิด” (ยอห์น :45-46)

40 เมื่อประชาชนได้ฟังดังนั้น บางคนก็พูดว่า “ท่านผู้นี้เป็นผู้เผยพระวจนะนั้นแน่” 41 คนอื่นๆก็พูดว่า “ท่านผู้นี้เป็นพระคริสต์” แต่บางคนพูดว่า พระคริสต์จะมาจากกาลิลีหรือ 42 พระคัมภีร์กล่าวไว้มิใช่หรือ ว่าพระคริสต์จะมาจากเชื้อพระวงศ์ของดาวิด และมาจากหมู่บ้านเบธเลเฮม ชนบทซึ่งดาวิดเคยอยู่นั้น” (ยอห์น 7:40-42)

50 นิโคเดมัสผู้ที่ได้มาหาพระองค์คราวก่อนนั้น และเป็นคนหนึ่งในพวกเขา ได้กล่าวแก่พวกเขาว่า 51 “กฎหมายของเราตัดสินคนใดโดยที่ยังไม่ได้ฟังเขาก่อน และรู้ว่าเขาได้ทำอะไรบ้างหรือ” 52 เขาทั้งหลายตอบนิโคเดมัสว่า ท่านมาจากกาลิลีด้วยหรือ จงค้นหาดูเถิด แล้วท่านจะเห็นว่าไม่มีผู้เผยพระวจนะเกิดขึ้นมาจากกาลิลี” 53 ต่างคนต่างกลับไปบ้านของตน (ยอห์น 7:50-53)

แม้เมื่อพระราชกิจของพระองค์ที่บนโลกใกล้จบลง พระเยซูก็ยังแสดงพระองค์ว่าเป็นหนึ่งในชาวกาลิลี:

“แต่เมื่อทรงให้เราฟื้นขึ้นมาแล้ว เราจะไปยังแคว้นกาลิลีก่อนหน้าท่าน” (มัทธิว 26:32)

7 แล้วจงรีบไปบอกพวกสาวกของพระองค์เถิดว่า พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และพระองค์เสด็จไปยังแคว้นกาลิลีก่อนเจ้าทั้งหลาย เจ้าทั้งหลายจะเห็นพระองค์ที่นั่น นี่แหละเราก็บอกเจ้าแล้ว” (มัทธิว 28:7)

10 พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “อย่ากลัวเลย จงไปบอกพวกพี่น้องของเราให้ไปยังกาลิลี จะได้พบเราที่นั่น” (มัทธิว 28:10)

16 แต่สาวกสิบเอ็ดคนนั้น ก็ได้ไปยังกาลิลี ถึงภูเขาที่พระเยซูได้ทรงกำหนดไว้ (มัทธิว 28:16)

ผมเชื่อว่ามัทธิวทำงานหนักเพื่อจะเน้นให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่พระเยซูทรงมีต่อกาลิลี

  • บิดามารดาของพระเยซูมาจากกาลิลี และพระองค์น่าจะถือกำเนิดที่นั่น แต่โดยการทรงนำของพระเจ้า (เพื่อให้คำพยากรณ์สำเร็จลง) พระเยซูจึงถือกำเนิดมาในเบธเลเฮม แคว้นยูเดีย)
  • พระเยซูเติบโตขึ้นมาในกาลิลี พระเจ้าสั่งให้โยเซฟพานางมารีย์และพระเยซูหนีไปที่อียิปต์ และกลับมาที่นาซาเร็ธในกาลิลี พระเยซูทรงเป็นชาวกาลิลี และนี่คือบ้านของพระองค์
  • พระเยซูทรงเริ่มพระราชกิจของพระองค์บนโลกนี้ที่กาลิลี และเสด็จจากกาลิลีเพื่อมุ่งสู่เยรูซาเล็ม
  • ชาวกาลิลีหลายคนติดตามพระองค์ไปเยรูซาเล็ม สาวกของพระองค์และพวกผู้หญิงก็ติดตามพระองค์ไป
  • พระราชกิจของพระเยซูที่บนโลกนี้ส่วนใหญ่อยู่ในกาลิลี
  • พระเยซูทรงไปพบสาวกของพระองค์ในกาลิลี หลังจากการคืนพระชนม์

มัทธิวชี้ให้ผู้อ่านรู้ว่าพระเยซูมาจากกาลิลี ท่านบอกเราว่าหลังพิธีบัพติศมาและพระราชกิจเบื้องต้นที่ในยูเดีย พระองค์เสด็จกลับมาที่กาลิลี และที่นั่นทรงเริ่มสั่งสอนท่ามกลางฝูงชน จนทำให้พระองค์ต้องไปสู่เยรูซาเล็ม มัทธิวต้องการให้คนอ่านรู้ว่าพระเยซูไม่เพียงแต่เสด็จไปที่กาลิลี แต่พระองค์ทรงมาจากกาลิลีด้วย – คือทรงเป็นชาวกาลิลีเช่นเดียวกับพวกสาวก แล้วมัทธิวมีประเด็นหรือจุดประสงค์อะไรที่เน้นเรื่องกาลิลี?

ประการแรก ผมเชื่อว่าความเกี่ยวข้องของพระองค์กับกาลิลีเป็นส่วนหนึ่งของความถ่อมใจใน ฐานะพระเมสซิยาห์ พระเยซูทรงยอมถ่อมพระองค์ลงมาเกิดบนโลกนี้ในฐานะมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อ (ฟีลิปปี 2:5-8; ฮีบรู 2:14-18; 4:14-16; 5:7-10) อิสยาห์พยากรณ์ว่าพระเมสซิยาห์จะถูกมนุษย์ปฏิเสธ:

1 ใครเล่าจะเชื่อสิ่งที่เราทั้งหลายได้ยิน
พระกรของพระเจ้าได้ทรงสำแดงแก่ผู้ใด
2 เพราะท่านได้เจริญขึ้นต่อพระพักตร์พระองค์อย่างต้นไม้อ่อน
และเหมือนรากแตกหน่อมาจากพื้นดินแห้ง
ท่านไม่มีรูปร่างหรือความสวยงาม
ซึ่งเราทั้งหลายจะมองท่าน
และไม่มีความงามที่เราจะพึงปรารถนาท่าน
3 ท่านได้ถูกมนุษย์ดูหมิ่นและทอดทิ้ง
เป็นคนที่รับความเจ็บปวด และคุ้นเคยกับความเจ็บไข้
และดังผู้หนึ่งซึ่งคนทนมองดูไม่ได้ ท่านถูกดูหมิ่น
และเราทั้งหลายไม่ได้นับถือท่าน (อิสยาห์ 53:1-3)

ผมเชื่อว่าเหตุการณ์ในมัทธิว 2 ทำให้คำพยากรณ์ของอิสยาห์สำเร็จเป็นจริง พระเยซูทรงถือกำเนิดมาอย่างต่ำต้อย ถูกผู้คนในเยรูซาเล็มปฏิเสธ ถูกเฮโรดต่อต้านและหาทางฆ่า เมื่อบิดามารดาของพระองค์พากลับจากอียิปต์ พระเจ้าทรงนำโยเซฟและครอบครัวไปที่นาซาเร็ธแห่งกาลิลี และมัทธิวบอกเราว่าทำให้คำพยากรณ์สำเร็จลง (ไม่มีอ้างอิง)20 คำพยากรณ์ที่บอกว่าพระเยซูจะถูกเรียกว่าเป็นชาวนาซาเร็ธ (2:23) พระเยซูและพวกสาวกก็ถูกปฏิเสธด้วย (อย่างน้อยก็โดนดูหมิ่นเหยียดหยาม) จากหลายคน เพราะเหตุว่าเกี่ยวข้องกับกาลิลี (เช่น ยอห์น 7:40-41)

ประการที่สอง ผมเชื่อว่าการที่พระเยซูมีส่วนเกี่ยวข้องกับกาลิลีสอดคล้องกับพระประสงค์ใน การช่วยกู้ของพระองค์ ตามที่อิสยาห์ 9 อธิบาย กาลิลีไม่เพียงแต่มีคนต่างชาติอาศัยอยู่มาก มากกว่าเยรูซาเล็มหรือยูเดีย แต่ยังเป็นที่ๆความกระหายด้านจิตวิญญาณสูง ประชาชนต่างดำเนินอยู่ในความมืด เป็นที่ๆผู้คนนั่งอยู่ในเงามืดแห่งความตาย และในที่ๆทั้งผู้คนและสถานที่กำลังโหยหา มีความสว่างส่องเข้ามา แต่ผมไม่ได้บอกว่าประชาชนในยูเดียมีจิตวิญญาณที่สูงส่งกว่า หรือไม่ได้อยู่ในความโหยหา แต่จะบอกว่าพวกเขาไม่ได้มองแบบนี้ ผู้คนในเยรูซาเล็มและยูเดียมองว่าตนเองเป็นผู้สว่างแล้วในจิตวิญญาณ พวกเขาผิดแน่นอนครับ

มัทธิว อาจมองทะลุกว่าสาวกคนอื่นๆ ท่านซาบซึ้งในพระเมตตาของพระเยซูที่มีต่อจิตวิญญาณที่นั่งอยู่ในความมืด และมีโหยหา:

9 ครั้นพระเยซูเสด็จเลยตำบลนั้นไป ก็เห็นคนหนึ่งชื่อมัทธิวนั่งอยู่ที่ด่านภาษี จึงตรัสกับเขาว่า “จงตามเรามาเถิด” เขาก็ลุกขึ้นตามพระองค์ไป 10 เมื่อพระองค์ประทับเสวยพระกระยาหารอยู่ในเรือน มีคนเก็บภาษีและคนบาปอื่นๆหลายคน เข้ามาร่วมสำรับกับพระเยซู และกับพวกสาวกของพระองค์ 11 เมื่อพวกฟาริสีเห็นแล้ว ก็กล่าวแก่สาวกของพระองค์ว่า “ทำไมอาจารย์ของท่านจึงรับประทานอาหารด้วยกันกับคนเก็บภาษีและคนนอกรีตเล่า” 12 เมื่อพระเยซูทรงทราบดังนั้นแล้วก็ตรัสว่า “คนเจ็บต้องการหมอ แต่คนสบายไม่ต้องการ 13 ท่านทั้งหลายจงไปเรียนคัมภีร์ข้อนี้ให้เข้าใจ ที่ว่า เราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา ด้วยว่าเรามิได้มาเพื่อจะเรียกคนที่เห็นว่าตัวชอบธรรม แต่มาเรียกคนที่พวกท่านว่านอกรีต” (มัทธิว 9:9-13)

ผมขอเรียกสิ่งนี้ว่า “หลักการผกผัน” พระเยซูถูกดึงไปยังคนที่รู้ตัวว่าตนเองหิวกระหาย คนที่ถูกชิงชังรังเกียจจากคนที่คิดว่าตนเองสูงส่งกว่าด้านจิตวิญญาณ ทรงแสวงหาคนบาป พระเยซูทรงสำแดงพระคุณของพระเจ้า จึงนำพระสิริที่ยิ่งใหญ่กลับคืนสู่พระองค์ อ.เปาโลกล่าวว่า:

26 ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย จงพิจารณาดูว่า พวกท่านที่พระเจ้าได้ทรงเรียกมานั้นเป็นคนพวกไหน มีน้อยคนที่โลกนิยมว่ามีปัญญา มีน้อยคนที่มีอำนาจ มีน้อยคนที่มีตระกูลสูง 27 แต่พระเจ้าได้ทรงเลือกคนที่โลกถือว่าโง่เขลา เพื่อทำให้คนมีปัญญาอับอาย และได้ทรงเลือกคนที่โลกถือว่าอ่อนแอ เพื่อทำให้คนที่แข็งแรงอับอาย 28 พระเจ้าได้ทรงเลือกสิ่งที่โลกถือว่าต่ำต้อยและดูหมิ่น และเห็นว่าไร้สาระ เพื่อทำลายสิ่งซึ่งโลกเห็นว่าสำคัญ 29 เพื่อมิให้มนุษย์สักคนหนึ่งอวดต่อพระเจ้าได้ 30 โดยพระองค์ ท่านจึงอยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะพระเจ้าทรงตั้งพระองค์ให้เป็นปัญญาและความชอบธรรมของเรา และเป็นผู้ทรงชำระเราให้บริสุทธิ์ และทรงเป็นผู้ไถ่เราไว้ให้พ้นบาป 31 เพื่อให้เป็นไปตามพระคัมภีร์ที่เขียนว่า ให้ผู้โอ้อวด อวดองค์พระผู้เป็นเจ้า (1โครินธ์ 1:26-31)

ภรรยาของผมเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งแล้วมาเล่าให้ฟัง เป็นเรื่องของ แกลดี้ส์ อายวอร์ด สตรีที่ได้รับการอวยพรมากในประเทศจีน21สตรี ท่านนี้เกิดในอังกฤษปี ค.ศ. 1902 วันหนึ่งเธอเห็นป้ายที่หน้าโบสถ์เขียนว่ากำลังมีการประชุมมิชชันนารีข้างใน แม้เป็นสมาชิกโบสถ์อื่น เธอก็ลองเข้าไปและได้ยินผู้ชายคนหนึ่งกำลังพูดถึงประเทศจีน เธอรู้สึกมั่นใจว่าพระเจ้ากำลังเรียกเธอให้ไปเป็นมิชชันนารีที่ประเทศจีน จึงไปรับการอบรมในโรงเรียนพันธกิจมิชชันนารี เธอเรียนไม่เก่งนัก และได้รับการแจ้งว่าไม่เหมาะจะไปรับใช้ในประเทศจีน

แกลดี้ส์ อายวอร์ด ไม่ได้คิดอย่างนั้น เธอจึงไปประเทศจีนเองตามลำพัง ไปตามหาผู้หญิงที่ทำพันธกิจอยู่ในโรงเตี๊ยมที่เคยได้ยินมา ด้วยความยากลำบาก แกลดี้ส์ไปจนถึงโรงเตี๊ยมนั้นและเริ่มงานของเธอที่นั่น เมื่อสตรีท่านนั้นตายลง เงินที่ทำโรงเตี๊ยมต่อก็หมดเกลี้ยง แกลดี้ส์จึงต้องออกไปหางานทำเพื่อให้เธอและโรงเตี๊ยมอยู่รอด รัฐบาลจีนมาตามหาเธอ เพราะมีการออกกฎหมายห้ามมัดเท้าทารกเพศหญิง และพวกเขาต้องการคนที่พูดจีนได้ เดินทางไปตามหมู่บ้าน และไปแต่ละบ้านเพื่อสำรวจว่ายังมีการมัดเท้าทารกเพศหญิงอยู่หรือไม่ และแก้มัดเท้าเด็กที่โตแล้วด้วย แกลดี้ส์รับงานนี้ แต่มีข้อตกลงว่าเธอจะแบ่งปันเรื่องความเชื่อกับทุกบ้านที่เธอเข้าไป แล้วเธอก็ทำเช่นนั้น ไปสำรวจทุกบ้าน ทุกหมู่บ้านในเขตที่เธออยู่ และทุกครั้งที่เข้าไปในบ้าน เธอจะแบ่งปันเรื่องข่าวประเสริฐ แต่ละหมู่บ้านมีคนได้รับความรอด มีการตั้งคริสตจักรขึ้น เป็นพันธกิจที่น่าทึ่งจริงๆครับ!

ต่อมามีการนำเรื่องของเธอไปสร้างเป็นภาพยนตร์ชื่อว่า “โรงเตี๊ยมแห่งความสุขที่หก” นำแสดงโดยอินกริด เบิร์กแมน ผมได้ยินมาว่าหลังจากสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว อินกริด เบิร์กแมนได้รับผลกระทบที่ยิ่งใหญ่เมื่อแสดงเป็นแกลดี้ส์ ในที่สุดแกลดี้ส์ก็ได้นำเธอมาสู่ความเชื่อในพระเยซูคริสต์

เรื่องนี้มีบางอย่างที่พิเศษสำหรับผม ได้ยินมาหลายปีแล้ว แต่เพิ่งจำได้เมื่อภรรยาเตือน ตอนนั้นเป็นช่วงที่ผมกำลังคิดเกี่ยวกับตนเองและงานที่อยากทำเพื่อสนองพระคุณ พระคริสต์ แล้วมีนักเทศน์ท่านหนึ่งที่ผมไม่เคยพบหรือรู้จักมาก่อน มาเทศน์เรื่องนี้ แล้วโยงเข้ากับคำพูดของ อ.เปาโลใน 1โครินธ์ 1 ข้อ 26-31 เป็นพระวจนะที่ให้กำลังใจผมที่สุด ขอบคุณพระเจ้าที่พระเยซูไม่เพียงแต่เสด็จไปที่กาลิลี แต่ทรงเลือกชาวกาลิลีให้เป็นสาวกของพระองค์ พระเจ้าทรงเลือกคนที่โลกเรียกว่าโง่เขลา (ตามสายตาของโลก) เพื่อทำให้สติปัญญาของมนุษย์งงงัน และเพื่อพระสิรจะเป็นของพระองค์ ไม่ใช่เพราะกาลิลียิ่งใหญ่อะไร แต่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่และทรงมีพระคุณล้นเหลือ

การเชื่อมโยงในบริบท

เนื้อหาตอนนี้ มัทธิว 4:12-25 อยู่ตรงกลางระหว่างการทดลองของพระเยซูและคำเทศนาบนภูเขา ช่างเหมาะที่พระวจนะตอนนี้เป็นเหมือนนำร่องเข้าสู่คำเทศนาบนภูเขา ในอีกด้าน พระเยซูทรงแสดงอำนาจของพระองค์โดยรักษาโรคทุกชนิดที่ผู้คนนำมาให้รักษาในกา ลิลี พระองค์ยังทรงสำแดงสิทธิอำนาจโดยการขับผี และการเรียกสาวก (ที่ละแห และตามพระองค์ไปในทันที) จึงไม่น่าแปลกที่ผู้คนต่างอัศจรรย์ใจในคำสอน “ที่เต็มด้วยสิทธิอำนาจ” ของพระองค์ (มัทธิว 7:28-29)

ในอีกด้าน พระเยซูทรงแสดงพระทัยเมตตาสงสารต่อผู้ที่นั่งในความมืดและเงาแห่งความตาย จึงไม่ประหลาดใจที่การสั่งสอนของพระองค์กำลังจะเริ่มต้น

4 “บุคคลผู้ใดโศกเศร้า ผู้นั้นเป็นสุข
เพราะว่าเขาจะได้รับการทรงปลอบประโลม
5 “บุคคลผู้ใดมีใจอ่อนโยน ผู้นั้นเป็นสุข
เพราะว่าเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก (มัทธิว 5:4-5)

นี่คือพระเยซูที่ออกไปแสวงหาและช่วยคนที่กำลังโหยหาได้รับความรอด

เกี่ยวข้องกับอีสเตอร์

ตอนเริ่มของบทเรียนนี้ ผมบอกว่าจะเทศนาเรื่องนี้ในวันอาทิตย์อีสเตอร์ และยังบอกด้วยว่าเพราะเกี่ยวข้องกับอีสเตอร์และการคืนพระชนม์ของพระเยซู ในพระกิตติคุณมัทธิว พระราชกิจของพระเยซูเริ่มต้นที่กาลิลี พร้อมด้วยการทำอัศจรรย์มากมาย พระราชกิจของพระองค์สร้างผลกระทบและสำแดงถึงสิทธิอำนาจในถ้อยคำของพระองค์ เมื่อยอห์นผู้ให้บัพติศมาลังเลใจในพระองค์ พระองค์จึงเตือนยอห์นถึงพระราชกิจและพระคำของพระองค์ซึ่งที่เป็นไปตามที่พระ เจ้าสั่ง และพิสูจน์ให้เห็นว่าพระองค์คือผู้ใด:

18 ฝ่ายพวกศิษย์ของยอห์นก็ได้เล่าเหตุการณ์ทั้งปวงนั้นให้ท่านฟัง 19 ยอห์นจึงเรียกศิษย์ของท่านสองคนใช้เขาไปหาพระเป็นเจ้า ทูลถามว่า “ท่านเป็นผู้ที่จะมานั้นหรือ หรือจะคอยผู้อื่น” 20 เมื่อคนทั้งสองมาถึงพระองค์แล้ว เขาทูลว่า “ยอห์นผู้ให้รับบัพติศมาใช้ข้าพเจ้ามาหาท่านให้ถามว่า ‘ท่านเป็นผู้ที่จะมานั้นหรือ หรือจะต้องคอยผู้อื่น'” 21 ในเวลานั้น พระองค์ได้ทรงรักษาคนเจ็บเป็นอันมากให้หายจากความเจ็บและโรคต่างๆ และให้พ้นจากผีร้าย และคนตาบอดหลายคนพระองค์ได้ทรงรักษาให้เห็นได้ 22 แล้วพระองค์ตรัสตอบศิษย์สองคนนั้นว่า “จงไปแจ้งแก่ยอห์นตามซึ่งท่านได้เห็นและได้ยิน คือว่าคนตาบอดก็หายบอด คนง่อยเดินได้ คนโรคเรื้อนหายสะอาด คนหูหนวกได้ยิน คนตายแล้วเป็นขึ้นมา และข่าวประเสริฐก็ประกาศแก่คนอนาถา 23 บุคคลผู้ใดไม่เห็นว่าเราเป็นอุปสรรคผู้นั้นเป็นสุข” (ลูกา 7:18-23)

เมื่อเริ่มต้นทำพระราชกิจสู่สาธารณะ พระเยซูทรงรับรองคำสอนของพระองค์ด้วยการอัศจรรย์ตามที่เรากำลังเรียนในมัท ธิวบทที่ 4 และเมื่อบทสรุปพระราชกิจของพระองค์ใกล้จบ พระเยซูตรัสยืนยันครั้งสุดท้ายถึงความเป็นพระองค์และสิทธิอำนาจของพระองค์ – การฟื้นขึ้นมาจากความตาย:

38 คราวนั้นมีบางคนในพวกธรรมาจารย์ และพวกฟาริสีมาทูลพระองค์ว่า “อาจารย์เจ้าข้า พวกข้าพเจ้าอยากจะเห็นหมายสำคัญจากท่าน” 39 พระองค์จึงตรัสตอบเขาว่า “คนชาติชั่วและคิดทรยศต่อพระเจ้าแสวงหาหมายสำคัญ และจะไม่ทรงโปรดให้หมายสำคัญแก่เขา เว้นไว้แต่หมายสำคัญของโยนาห์ผู้เผยพระวจนะ 40 ด้วยว่า โยนาห์ได้อยู่ในท้องปลามหึมาสามวัน สามคืน ฉันใด บุตรมนุษย์จะอยู่ในท้องแผ่นดิน สามวันสามคืนฉันนั้น 41 ชนชาวนีนะเวห์จะลุกขึ้นในวันพิพากษาพร้อมกับคนยุคนี้ และจะเป็นตัวอย่างให้คนยุคนี้ได้รับโทษ ด้วยว่าชาวนีนะเวห์ได้กลับใจเสียใหม่ เพราะคำประกาศของโยนาห์ และซึ่งใหญ่กว่าโยนาห์มีอยู่ที่นี่” (มัทธิว 12:38-41)

ในอีกด้าน พระเยซูทรงแสดงให้เห็นชัดถึงพระราชกิจ ฤทธิอำนาจ และสิทธิอำนาจของพระองค์ พระองค์ไม่ได้ปล่อยให้เราดำเนินไปโดยไม่มีพยานยืนยันถึงฤทธิเดชและสิทธิ อำนาจของพระองค์ ขณะที่บทเรียนนี้กำลังนำร่องเข้าสู่คำสอนของพระองค์ มีการคั่นไว้ด้วยการคืนพระชนม์ของพระองค์เพื่อยืนยัน การเริ่มและจบลงของพระราชกิจที่บนโลก ผ่านการรับรองว่าถูกต้อง ไม่เพียงตามคำพยากรณ์ที่สำเร็จลง แต่ในการสำแดงฤทธิอำนาจของพระองค์ในฐานะพระเจ้า ไม่ใช่เพราะข้อพิสูจน์ที่มีไม่เพียงพอทำให้มนุษย์เชื่อ แต่เป็นเพราะใจที่แข็งกระด้างของพวกเขาต่างหาก

ผมจะไม่ปล่อยให้วันนี้ผ่านไปโดยไม่ย้ำเตือนคุณถึงข่าวประเสริฐที่พระเยซู เตรียมไว้ให้และประกาศออกไป คุณและผม ต่างก็เหมือนชาวกาลิลี ดำเนินอยู่ในความมืด อาศัยอยู่ในเงาแห่งความตาย เป็นเพราะพระเจ้านั้นบริสุทธิ์ และเราเป็นคนบาปสมควรแก่พระอาชญานิรันดร์ของพระองค์ แต่ด้วยพระทัยเมตตา ทรงส่งพระบุตรลงมาเพื่อแสวงหาคนบาปและคนที่ต้องการความช่วยเหลือให้ได้รบ ความรอด พระเยซูทรงดำเนินชีวิตที่สมบูรณ์แบบ ไม่ถูกความบาปแปดเปื้อน จากที่เราเห็นชัยชนะที่มีเหนือการทดลองของมาร พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ที่บนกางเขน ไม่ใช่เพราะความบาปของพระองค์ แต่เพื่อรับโทษทันฑ์แทนความบาปของเรา พระเจ้าทรงให้พระองค์คืนพระชนม์เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าเครื่องบูชาชดใช้บาป นั้นเป็นที่พอพระทัย และพระเยซูกำลังประทับอยู่เบื้องขวาของพระเจ้า รอวันที่จะเสด็จกลับมา พระองค์จะเสด็จมาเพื่อจัดตั้งราชบัลลังก์ของพระองค์บนโลกนี้ และลงโทษผู้ที่ต่อต้านพระองค์ คุณเชื่อและวางใจในสิ่งที่พระเยซูทำเพื่อคุณหรือยัง? การคืนพระชนม์คือข้อพิสูจน์ของพระเจ้าถึงความชอบธรรมของพระเยซูคริสต์:

8 เมื่อพระองค์นั้นเสด็จมาแล้ว พระองค์จะทรงกระทำให้โลกรู้แจ้งในเรื่องความผิด ความชอบธรรม และการพิพากษา 9 ในเรื่องความผิดนั้น คือเพราะเขาไม่วางใจในเรา 10 ในเรื่องความชอบธรรมนั้น คือเพราะเราไปหาพระบิดา และท่านทั้งหลายจะไม่เห็นเราอีก 11 ในเรื่องการพิพากษานั้น คือ เพราะเจ้าโลกนี้ถูกพิพากษาแล้ว (ยอห์น 16:8-11)

โดย : Robert L (Bob) Deffinbaugh


1 132. เป็นต้นฉบับของบทเรียนต่อเนื่องของ “พระกิตติคุณมัทธิว” จัดทำโดย Robert L. Deffinbaugh 20 เมษายน 2003

2 133. ไม่ได้เพื่อบอกว่าพระเยซูยังไม่ได้ทำการอัศจรรย์หรือสั่งสอนใดๆ แต่เพื่อบอกว่ามัทธิวไม่ได้บันทึกเหตุการณ์ก่อนหน้าไว้

3 134. Fredrick Dale Bruner, The Christbook: A Historical/Theological Commentary (Waco, Texas: Word Books, 1987), vol. 1, p. 62.

4 135. นอกจากที่กล่าวไปแล้ว พระวจนะที่นำมาอ้างอิงทั้งหมดมาจาก NET Bible (The NEW ENGLISH TRANSLATION) เป็น ฉบับแปลใหม่ทั้งหมด ไม่ใช่นำฉบับเก่าในภาษาอังกฤษมาเรียบเรียงใหม่ ใช้ผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการพระคัมภีร์มากกว่า ยี่สิบคน รวบรวมข้อมูล ทั้งจากภาษาฮีบรูโดยตรง ภาษาอาราเมข และภาษากรีก โครงการแปลนี้เริ่มมาจากที่เราต้องการนำ พระคัมภีร์ เผยแพร่ผ่านสื่ออีเลคโทรนิค เพื่อรองรับการใช้งานทางอินเตอร์เน็ท และซีดี (compact disk) ที่ใดก็ตามในโลก ที่ต่อเข้าอินเตอร์เน็ทได้ ก็สามารถเรียกดู และพริ้นทข้อมูลไว้เพื่อใช้ศึกษาเป็นการส่วนตัวได้โดยไม่คิดมูลค่า นอกจากนี้ ผู้ใดก็ตาม ที่ต้องการนำข้อมูลเกี่ยวกับพระคัมภีร์ไปเผยแพร่ต่อโดยไม่คิดเงิน สามารถทำได้จากเว็บไซด์ : www.netbible.org.

5 136. James Montgomery Boice, The Gospel of Matthew (Grand Rapids, Michigan: Baker Books, 2001), vol. 1, p. 62.

6 137. ลีออน มอริส นำคำของฟิลสันมาอ้างว่า: “เมื่อพระเยซูเสด็จไปกาลิลี จึงเป็นเหมือนคำตอบให้แก่เฮโรด พระองค์ทรงเข้าไปทำพระราชกิจในเขตปกครองของเฮโรด เป็นสิ่งที่เฮโรดพยายามยับยั้งด้วยการจับกุมยอห์น พระเยซูทรงเริ่มพระราชกิจที่ท้าทายมากกว่าหนีไปหลบซ่อน” Leon Morris, The Gospel According to Matthew (Grand Rapids, Michigan: William B. Eerdmans Publishing Company, 1992), p. 80, fn. 37.

7 138. Bruner, p. 118.

8 139. Bruner, p. 118.

9 140. Morris, pp. 80-81.

10 141. R.V.G. Tasker, The Gospel According to St. Matthew: An Introduction and Commentary (Grand Rapids, Michigan: Wm. B. Eerdmans Publishing Company, 1968), p. 56.

11 142. “‘ผู้เผยพระวจนะเมื่อประกาศเรื่องการพิพากษาและความหายนะ จะประกาศด้วยว่าความสว่างแห่งความหวังในการถือกำเนิดมาของผู้มาสืบทอดราช บัลลังก์ดาวิด มาจัดตั้งอาณาจักรแห่งสันติภาพ แต่ความสว่างนั้นไม่ได้ส่องไปที่เยรูซาเล็มหรือยูเดียก่อน แต่เป็นทางเหนือสุดของแผ่นดินอิสราเอล พื้นที่ๆอยู่ในความมืดและความตาย และพระเยซูเป็นผู้มาทำให้คำพยากรณ์โบราณนั้นสำเร็จลง เป็นสิ่งที่ยอห์นผู้ให้บัพติศมาไม่สามารถให้ได้ เมื่อประกาศให้มีการกลับใจ’” Levertoff, as cited by Tasker, p. 56.

12 143. “คำว่า diktuon เป็นคำทั่วไปสำหรับ “แห” ไม่ได้เจาะจงว่าเป็นแหแบบไหนในข้อ18 เป็นคำพหูพจน์ซึ่งใช้สำหรับแหที่พวกชาวประมงใช้ประกอบอาชีพ แล้วพวกเขาก็ละจากแหทั้งหมดนั้นไป” Morris, p. 86, fn. 60.

13 144. ผมคิดเอนเอียงไปว่าสาวกคนอื่นๆของยอห์นผู้ให้บัพติศมาคือยอห์น น้องชายของยากอบ และเป็นผู้เขียนพระกิตติคุณยอห์น

14 145. คำนี้มีใช้มากกว่า 80 ครั้งในหนังสือพระกิตติคุณ มาระโกใช้มากที่สุดถึง 40 ครั้ง ในพระกิตติคุณมาระโก มัทธิวใช้ 18 ครั้ง ลูกาใช้ 16 ครั้ง และยอห์น 6 ครั้ง

15 146. D.A. Carson, Matthew, Chapters 1 Through 12 (Grand Rapids, Michigan: Zondervan Publishing House, 1995), pp. 120-121.

16 147. “ ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของซีเรียไม่ค่อยชัดเจน จากมุมมองของพระเยซูในกาลิลี ซีเรียอยู่ทางเหนือ จากมุมมองของโรม ซีเรียเป็นจังหวัดหนึ่งของโรมที่รวมเอาปาเลสไตน์ทั้งหมดไว้ (ลูกา 2:2; กิจการ 15:23, 41 กาละเทีย 1:21) กาลิลีเป็นข้อยกเว้นเพราะตอนนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของเฮโรด อันทิพาส ถ้าเป็นตามที่โรมใช้ สะท้อนให้เห็นความตื่นเต้นที่เกิดขึ้นจากพระราชกิจของพระเยซูที่อยู่ไกลออก ไปจากเขตแดนอิสราเอล” Carson, p. 121.

17 148. “ชื่อเสียงของพระเยซูเลื่องลือไปไกลกว่ากาลิลี แม้ที่นั่นความสว่างกำลังจะมา (ข้อ 16) พื้นที่ๆข้ามจอร์แดนไป (อีสท์แบงค์? ดูข้อ 15) และเดคาโพลิส ส่วนใหญ่เป็นที่อยู่ของคนต่างชาติ ตามที่พูดถึง (1:3-5; 2:1-12, 22-23; 3:9; 4:8, 15-16) เดคาโพลิส (แปลว่าสิบเมือง) หมายถึงเขตแดนตะวันตกของกาลิลี ต่อจากดามัสกัสออกไปทางเหนือ ไปยังฟิลาเดลเฟียทางตอนใต้ รวมแล้วน่าจะสิบเมือง (มีหลายความคิดเห็น) (cf. S. Thomas Parker, ‘The Decapolis Reviewed,’ JBL 94 [1975]: 437-41).” Carson, p. 122.

18 149. ในพระกิตติคุณยอห์น สองหมายสำคัญแรกเป็นหมายสำคัญที่พระเยซูกระทำในกาลิลี (ดูยอห์น 2:11; 4:54)

19 150. ที่จริงนาธานาเอลไม่ได้คิดถึงข้อเท็จจริงว่าพระเยซูเป็นชาวกาลิลี เพราะนาซาเร็ธเป็นเมืองหรือหมู่บ้านในกาลิลี ผมจึงเชื่อว่าทำเลในกาลิลีเป็นเหตุผลที่ดีที่ทำไมนาธานาเอลจึงไม่แน่ใจว่า พระเยซูเป็นพระเมสซิยาห์

20 151. ที่พูดว่า “ไม่มีอ้างอิง” หมายถึงไม่มีตรงไหนในพระคัมภีร์เดิมที่พูดเจาะจงตามที่มัทธิวอ้างในมัทธิว 2:23

21 152. ขอสารภาพว่าตอนทำบทเรียนนี้ผมยังไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ เลยอธิบายไปตามความเข้าใจที่ภรรยาอ่านแล้วมาเล่าให้ฟัง ผมหวังว่าจะได้อ่านในเร็ววัน และอยากให้คุณๆลองไปหาอ่านด้วย

Related Topics: Christology, Issues in Church Leadership/Ministry, Leadership

9. “บุคคลผู้ใดรู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข” (มัทธิว 5:1-13)

Related Media

1คำนำ2

เรากำลังเริ่มต้นคำเทศนาบนภูเขา เป็นพระวจนะที่โด่งดังที่สุดในพระคัมภีร์ใหม่ ความสำคัญนั้นยังน้อยกว่าความเป็นจริง ถ้าคุณไปที่ห้องสมุด แล้วผมไม่ได้ถามถึงหนังสือเรื่องคำเทศนาบนภูเขา คุณก็จะเห็นว่านักศึกษาพระคัมภีร์ที่เชี่ยวชาญแทบทุกคนจะแนะนำหนังสือประกอบ คำอธิบายคำเทศนาบนภูเขาอยู่ดี แม้หลายคนที่เขียนคำหนังสืออธิบายพระกิตติคุณมัทธิวยังแยกเฉพาะคำเทศนาบน ภูเขาออกมา

มีผู้กล่าวว่าออกัสตินพูดถึงคำเทศนาบนภูเขาว่าเป็นมาตรฐานที่สมบูรณ์แบบ สำหรับชีวิตคริสเตียน ดีทริช บอนฮอฟเฟอร์ เขียนหนังสือคลาสสิค “ราคาการเป็นสาวก” โดยยึดจากหนังสืออรรถาธิบายคำเทศนาบนภูเขา แม้ผู้ไม่เชื่ออย่างคานธียังประทับใจและได้รับอิทธิพลจากคำสอนในคำเทศนาบน ภูเขา ผู้ไม่เชื่ออีกหลายคนได้รับอิทธิพลนี้เช่นกัน ผมกำลังนึกถึงคำพูดของนิคิตา ครุชเชฟ พูดไว้หลายปีมาแล้วในสหรัฐอเมริกา ท่านพูดว่า “ผมจะบอกคุณถึงข้อแตกต่างระหว่างคริสเตียนกับตัวผม คือถ้าคุณตบหน้าผม ผมก็จะซัดกลับจนหัวคุณหลุดจากบ่าแน่” แต่ท่านก็ยังได้รับอิทธิพลจากคำเทศนานี้ เข้าใจดีว่าหมายถึงอะไร แต่ไม่ชอบใจ ความจริงคือคนธรรมดาทั่วไปจะไม่ชอบคำสอนนี้ ไม่ใช่คำสอนที่จะนำไปเขียนเป็นหนังสือขายดีแน่ – แม้เป็นหนังสือของคริสเตียนก็ตาม คำสอนจากคำเทศนาบนภูเขาไม่ใช่สิ่งที่ขายได้ ลองไปดูตามหิ้งร้านหนังสือนะครับ

อาร์ เคนท์ ฮิวจ์ ในหนังสือประกอบคำอธิบายคำเทศนาบนภูเขากล่าวว่านี่เป็นคำเทศนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยมี:

คำเทศนาบนภูเขานั้นสั้นกระชับได้ใจความ เป็นหลักศาสนศาสตร์ของพระเยซูคริสต์ที่เนื้อหาอัดแน่นและเข้มข้น และน่าจะเป็นพระคำที่กินใจที่สุดในพระคัมภีร์ใหม่ และในพระคัมภีร์ทั้งเล่ม ทุกถ้อยคำอธิบายแจ่มแจ้งชัดเจน แต่ไม่อาจเข้าใจให้ลึกซึ้งได้ที่สุด … เป็นถ้อยคำที่แสดงให้เห็นว่าเรายืนอยู่จุดไหนในความสัมพันธ์ระหว่างราช อาณาจักรและชีวิตนิรันดร์ ขณะที่เรานำตัวเองผ่านเครื่องเอ็กซเรย์ในคำสอนของพระเยซูคริสต์ จะแสดงให้เห็นว่าเราเป็นผู้เชื่อแท้หรือไม่ ถ้าเป็น ระดับความเป็นผู้เชื่อแท้ในชีวิตของเราอยู่ตรงไหน ไม่มีตอนอื่นใดในพระคัมภีร์ที่ทำให้เราต้องเผชิญหน้ากับตัวเองได้เท่ากับคำ เทศนาบนภูเขา 3

ให้เราเข้าสู่คำนำของคำเทศนาบนภูเขาในภาพรวมทั้งหมดก่อน แล้วค่อยๆไปทีละประเด็น คงจำกันได้ คำเทศนาบนภูเขาอยู่ต่อจากการเริ่มพระราชกิจของพระเยซูที่กาลิลี พระองค์เสด็จออกจากยูเดียเมื่อทราบข่าวว่ายอห์นถูกจับ ขณะอยู่ในกาลิลี พระองค์ทรงรักษาผู้ป่วยทุกโรค และมีฝูงชนจำนวนมากติดตามพระองค์ไป — ไม่เพียงแต่ในกาลิลีเท่านั้น แต่มาจากข้างนอกด้วย — จากเดคาโพลิส รอบนอกยูเดีย เยรูซาเล็ม และจากซีเรีย ฝูงชนที่ติดตามจึงมีจำนวนมาก และในตอนท้ายของมัทธิว 4 บันทึกว่า ในช่วงเวลานั้นพระเยซูทรงเทศนาสั่งสอนอยู่ในธรรมศาลา

แน่นอนคนเหล่านี้ต้องได้ยินเรื่องราวของพระเยซูมาบ้าง และได้ยินบางสิ่งที่พระองค์สั่งสอน แต่สำหรับผมเมื่อเข้าสู่คำเทศนาบนภูเขา คุณเหมือนได้รับบทสรุปชั้นเลิศที่รวมทุกสิ่งไว้ที่ “พระองค์ตรัสสอน” มัทธิวจึงบันทึกคำเทศนานี้ไว้ และในลูกา 6 ก็บันทึกคล้ายคลึงกัน เป็นเหมือนบทสรุปคำสอนทั้งหมดของพระเยซูคริสต์ที่หลากหลายมาก ผมคิดว่านี่คือสิ่งที่เป็นพื้นฐานคำสอนของพระองค์ในอนาคต และในพระราชกิจที่จะทรงทำต่อไป คนที่นั่งฟังอยู่คือพวกสาวก รวมถึงฝูงชนจำนวนมากที่ตามมาก็ได้ยินด้วย สำหรับผมคิดว่าพระองค์ตรัสให้คนทั้งสองพวกนี้ฟัง เมื่อพระองค์ตรัสว่า “ใครมีหู จงฟังเถิด” – (ฟังในสิ่งที่เราพูด) บางคนในท่ามกลางฝูงชนที่มาฟัง มีหูแต่ไม่รับฟัง แต่พระองค์กำลังตรัสกับพวกสาวก และกับผู้คนที่นั่งฟังอยู่ด้วย

ในพระกิตติคุณมัทธิวพระเยซูตรัสถึงแผ่นดินสวรรค์ และในพระกิตติคุณเล่มอื่นๆ มีคำว่าแผ่นดินของพระเจ้า บางคนคิดว่าสองคำนี้แตกต่างกัน บางคนบอกว่าเพราะคำสอนของพระเยซูที่เกี่ยวข้องกับแผ่นดินของพระเจ้าเป็นการ สอนเกี่ยวกับแผ่นดินของพระเจ้าที่ยังมาไม่ถึง สำหรับกลุ่มที่เป็นพวกแบ่งสรรบอกว่าคำนี้อาจกลายมาจากคำดั้งเดิม (นำไปประยุกต์ใช้รองลงมา) ที่ใช้มาตั้งแต่แรกคือวันแห่งแผ่นดินของพระเจ้า

ผมยังจำได้ในโรงเรียนพระคริสตธรรม ผมได้ยิน ดร.ชาลส์ ไรรี่ย์ พูดว่า “ถ้านักธุรกิจทุกวันนี้ทำตามคำเทศนาบนภูเขา คงจะเจ๊งไปตามๆกัน” ผมก็คิดว่า “ถ้าจะจริง” และถ้าคริสตจักรทุกวันนี้ทำตามหลักการของพระคัมภีร์ใหม่ หลายคนคงพูดว่าไม่น่าจะไปรอด – ไปไม่รอดถ้าทำตามสิ่งที่พระคัมภีร์ใหม่บอกว่าคริสตจักรต้องทำหรือ? – แต่ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของคริสเตียนโดยตรง เรื่องของพระเจ้าผู้ทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้สำหรับคนที่เชื่อฟัง และโดยทางพระวิญญาณของพระองค์และพระคุณที่ทำงานอยู่ภายในเรา ผมไม่คิดจะละส่วนย่อยของคำเทศนานี้แล้วอ้างว่า “มันเป็นเรื่องของอนาคต” ที่จริงคุณจะสังเกตุเห็นว่าเมื่อพระเยซูตรัสถึงแผ่นดินสวรรค์ พระองค์กำลังตรัสถึงทั้งในอนาคตและปัจจุบัน พระเยซูกำลังตรัสถึงลักษณะของผู้ที่อยู่ในแผ่นดินของพระเจ้า และตรัสถึงลักษณะของผู้เชื่อแท้ในองค์พระเยซูคริสต์

มีรูปแบบเฉพาะอยู่ในคำเทศนาบนภูเขา ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณดูข้อ 3 ของบทที่ 5 พระเยซูตรัสว่า ““บุคคลผู้ใด รู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา” — เป็นประโยคปัจจุบันกาล พอมาถึงข้อ 10 “บุคคลผู้ใดต้องถูกข่มเหงเพราะเหตุความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา” ก็เป็นประโยคปัจจุบันกาล —แผ่นดินเป็นของพวกเขา—และระหว่างนั้น จากข้อ 4 ถึงข้อ 9 เป็นประโยคอนาคตกาล:

5:4 “บุคคลผู้ใดโศกเศร้า ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับการทรงปลอบประโลม”

5:5 “บุคคลผู้ใดมีใจอ่อนโยน ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก”

5:6 “บุคคลผู้ใดหิวกระหาย ความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงให้อิ่มบริบูรณ์”

5:7 “บุคคลผู้ใดมีใจกรุณา ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับพระกรุณาตอบ”

5:8 “บุคคลผู้ใดมีใจบริสุทธิ์ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้เห็นพระเจ้า”

5:9 “บุคคลผู้ใดสร้างสันติ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงเรียกเขาว่าเป็นบุตร”

ผมคิด เหมือนอย่างนักวิชาการทั้งหลาย เราต้องสรุปว่ามีมิติของปัจจุบันและอนาคตในคำสอนของพระเยซูในคำเทศนาบนภูเขา มีสิ่งที่จะเกิดขึ้น และมีการลิ้มรสล่วงหน้า (ผลแรก) ของสิ่งที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน และรวมถึงฝูงชนที่รับฟังคำเทศนาในตอนนั้นด้วย

คำสำคัญอีกคำที่เราต้องนำมาพิจารณาคือคำว่า “ผู้นั้นเป็นสุข” เพราะนำมาใช้ครั้งแล้วครั้งเล่า คุณจะพบในฉบับแปลหลายฉบับใช้คำว่า “เป็นสุข” ซึ่งก็เป็นความจริง แต่ผมคิดว่าที่เราต้องพูดคำว่า “เป็นสุข” เพราะไปตามความหมายที่เรากำลังดู ซึ่งอาจไม่ใช่คำที่ดีที่สุด ที่จริง คุณอาจพูดว่าคนที่โศกเศร้าคงไม่น่าใช่คนที่เป็นสุข มันไม่ง่ายที่จะเป็นทั้งสองอย่าง ผมจึงขอเลือกที่จะไม่เน้นคำว่า “เป็นสุข” แม้แน่นอนจะเป็นเช่นนั้น ถ้าอยากเอนไปทาง “ไพเพอร์”4 คุณอาจพูดในมุมที่ว่ายังมีความชื่นชมและปิติยินดีเสมอ – อยู่ด้วยเสมอ และผมต้องการให้เนื้อหาในตอนนี้เป็นเช่นนั้น ผมชอบที่ฮิวจ์อธิบายไว้ในหนังสือของเขา ความหมายเบื้องต้นของคำว่า “เป็นสุข” ในตอนนี้คือได้รับการยอมรับ พระเจ้าทรงแสดงให้เห็นว่าพระองค์ยอมรับคนเหล่านี้ ผู้เป็นสุขคือผู้ที่พระเจ้าทรงยอมรับ และนี่เป็นมุมมองเดียวกับผม

ต่อไปมาดูคำว่า “บกพร่องฝ่ายวิญญาณ”““บุคคลผู้ใด รู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา” (ข้อ 3) ผมคิดว่าคำ “บกพร่อง” ตรงนี้คือคำที่พูดถึงความขาดแคลน ความขัดสนที่ต่ำต้อยที่สุด อย่างที่นักวิชาการหลายคนบอก เป็นท่าทีของการก้มลงหรือโค้งต่ำลงด้วยความสำนึก เหมือนความจนแบบเดียวกับขอทาน ครับมีคนมากมายในโลกนี้ที่คิดว่าตัวเองยากจนแต่ไม่อาจเทียบได้กับความจนที่ เราพูดถึง มีคนบางประเภทตามมาตรฐานของรัฐบาล มีรายได้น้อยกว่าจำนวนที่ทางการกำหนด แต่ผมคิดว่ามีเปอร์เซ็นต์สูงมากที่คนจนในระดับที่พูดถึงนี้มีทีวี และมีเครื่องอำนวยความสะดวกอื่นๆ สำหรับผมแล้วน่าจะยากจนคนละแบบ

ผมยังจำเรื่องที่เจ้าหน้าที่ๆโรงเรียนพระคริสตธรรมเล่าให้ฟังได้ เป็นเรื่องเล่าขำๆของสมัยโน้น สมัยที่นักเรียนบางคนมีรถพ่วงและมีข้าวของหลายอย่างที่เป็นของตัวเอง นักเรียนคนหนึ่งพูดกับเพื่อนๆว่า “พวกเรา มันจบละ เราหมดตัว จนแล้ว ยังไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไป” เพื่อนคนหนึ่งก็เริ่มคิดหาทาง ซึ่งมีน้อยนิดมาก เพื่อนคนอื่นๆคิดไม่ออก พวกเขาจึงคิดกันว่าน่าจะนำอาหารกระป๋องของแต่ละคนที่ตุนไว้มารวมกัน ยังไม่ทันได้พูดออกไป คนหนึ่งก็พูดขึ้นมาว่า “เฮ้พวก ถ้ามันลำบากนัก ผมเอาเครื่องเล่นซีดีไปขายก็ได้” ครับ พวกเราคงคิดกันว่า นี่ไม่น่าใช่ความหมายของคำว่าขัดสนหรือยากจนแน่

ความบกพร่อง (ขัดสน) ที่มัทธิวพูดถึงเป็นความขัดสนระดับต่ำที่สุด และเป็นความขัดสนฝ่ายวิญญาณ ตอนนี้ผมเข้าใจคำว่า “อดอยาก” ที่ลูกาพูดถึงในพระกิตติคุณของท่าน แต่ตอนนี้ให้เรากลับมาดูคำที่มัทธิวใช้ “บุคคลผู้ใด รู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข

ขอพูดถึงเรื่องความขัดสนทางวัตถุและสิ่งที่เกี่ยวข้อง เราต้องระวังที่จะไม่นำความยากจนมาใช้เทียบกับความเชื่อศรัทธา มีผู้ชอบธรรมที่ขัดสนในพระคัมภีร์เดิม แต่ผมกำลังนึกถึงความยากจนที่เกิดขึ้นเพราะสงครามในตะวันออกกลาง มีคนยากจนและคนที่ถูกกดขี่ข่มเหง คุณแค่เปิดฝากระป๋อง จะถูกคนยากจนกระชากไปในทันที และขโมยทุกสิ่งไปจากคุณ – มือถือ คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์สื่อสารต่างๆ อะไรก็ตามที่พวกเขาฉกฉวยได้ เอาไปก็ใช้ไม่เป็น เราจึงต้องระวังอย่ามองความยากจนกับความชอบธรรมตามจำนวนเงินติดลบในบัญชี หนังสือสุภาษิตพูดเรื่องความยากจนและความมั่งมีไว้ค่อนข้างมาก และบ่อยครั้งพูดถึงคนยากจนว่าเป็นคนเกียจคร้านหรือโง่เขลา ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับฝ่ายวิญญาณ ที่จริงในหนังสือสุภาษิต บรรดาคนที่มั่งมีมักเป็นคนที่ทำงานหนักและมีปัญญา สุภาษิต 30:8-9 กล่าวว่า:

8 ขอให้ความมุสาและความเท็จไกลจากข้าพระองค์ ขออย่าประทานความยากจนหรือความมั่งคั่งแก่ข้าพระองค์ ขอเลี้ยงข้าพระองค์ด้วยอาหารที่พอดีแก่ข้าพระองค์ 9 เกรงว่าข้าพระองค์จะอิ่ม และปฏิเสธพระองค์ แล้วพูดว่า “พระเจ้าเป็นผู้ใดเล่า” หรือเกรงว่าข้าพระองค์จะยากจนและขโมย และกระทำให้พระนามพระเจ้าของข้าพระองค์เป็นมลทิน

พระวจนะตอนนี้บอกเราว่าทั้งความยากจนและความมั่งมีต่างก็มีจุดอ่อนในตัว เอง มีข้อบกพร่อง มีสิ่งเย้ายวน และมีปัญหาในตัวเอง ดังนั้นคนมั่งมีตามที่ อ.เปาโลเตือนใน 1ทิโมธี 6 ว่าอย่าวางใจในความไม่แน่นอนของความมั่งมี แต่คนยากจนควรต้องระมัดระวังที่จะไม่อ้างความยากจนและละเลยมาตรฐานความชอบ ธรรมและความยุติธรรมของพระเจ้า แก้ปัญหาความยากจนในแบบที่ผิด คุณไม่อาจอ้างว่าเป็นเพราะความมั่งมี หรือเพราะความยากจน ผมชอบที่แม็กซ์ ลูคาโดเขียนไว้ในหนังสือประกอบคำอธิบายคำเทศนาบนภูเขา ที่พูดว่ามันไม่ใช่เพราะความใหญ่ของเงินที่คนรวยมีที่สร้างปัญหาให้พวกเขา แต่เพราะหัวที่ใหญ่เกินตัวของพวกเขาต่างหาก5ผมว่านี่แหละประเด็น ไม่ใช่เรื่องเงิน แต่เป็นความรู้สึกมั่นคงและมั่นใจที่มาพร้อมกับความมั่งมีที่ทำให้พวกเขามีปัญหา

พระเยซูตรัสถึงความยากจน (บกพร่อง) ฝ่ายวิญญาณ พระองค์กำลังตรัสถึง “จิตวิญญาณที่ล้มละลาย” ปัญหาของคำว่า “ล้มละลาย” และแนวคิดเรื่องนี้คือคุณไม่ได้หมดตัว ในปัจจุบัน หลายสายการบินในอเมริกากำลังสูญเสียรายได้ แต่ที่พวกเขาพูดทำนองว่าจะฟ้องขอล้มละลาย ก็เพื่อปกป้องทรัพย์สินของบริษัท นี่เป็นคนละเรื่องกับล้มละลายฝ่ายวิญญาณ เมื่อเราประกาศว่าเป็นผู้ล้มละลายฝ่ายวิญญาณ ไม่มีอะไรเหลือเลยในธนาคาร ไม่มีเครื่องบินจอดอยู่ ไม่มีนักบิน ไม่มีเงินชดเชยหลังเกษียน ไม่มีเหลือสักอย่างครับ เมื่อเราตระหนักว่าเราขัดสนในวิญญาณ ไม่มีอะไรเหลือเพื่อป้องกันหรือสำรองเอาไว้ มันหมดสิ้น ที่จริงยังมีหนี้ที่ต้องชดใช้อีกกองใหญ่ มีหนี้มหาศาลแต่ไม่รู้จะเอาที่ไหนมาชดใช้ นี่คือความยากจนอย่างที่เรามี ตามหลักศาสนศาสตร์ เรากำลังพูดถึงคำสอนเรื่องความเสื่อมทรามของมนุษย์ มนุษย์ไม่มีสิ่งใดที่จะมอบให้พระเจ้าได้ ไม่มีทางเท่าเทียม ไม่ว่าการปฏิบัติ การทำดีเพื่อให้สมกับความชอบธรรมของพระเจ้า เราอ่านในโรม 3:9

3:9 ถ้าเช่นนั้นจะเป็นอย่างไร พวกยิวเรา จะได้เปรียบกว่าหรือ เปล่าเลยเพราะเราได้ชี้แจงให้เห็นแล้วว่า มนุษย์ทุกคนทั้งพวกยิวและพวกต่างชาติต่างก็อยู่ใต้อำนาจของบาป

3:10 ตามที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า

ไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมสักคนเดียว ไม่มีเลย

11 ไม่มีคนที่เข้าใจ

ไม่มีคนที่แสวงหาพระเจ้า

12 เขาทุกคนหลงผิดไปหมด

เขาทั้งปวงเลวทรามเหมือนกันสิ้น

ไม่มีสักคนเดียวที่กระทำดี ไม่มีเลย

13 ลำคอของเขาคือหลุมฝังศพที่เปิดอยู่

เขาใช้ลิ้นของเขาในการล่อลวง

พิษงูร้ายอยู่ใต้ริมฝีปากของเขา

14 ปากของเขาเต็มไปด้วยคำแช่งด่าและคำเผ็ดร้อน

15 เท้าของเขาว่องไวในการทำให้นองเลือด

16 ในทางเดินของเขามีความพินาศและความทุกข์

17 และเขาไม่รู้จักทางแห่งสันติสุข

18 เขาไม่เคยคิดที่จะยำเกรงพระเจ้าเลย

19 เรารู้แล้วว่า ธรรมบัญญัติทุกข้อที่ได้กล่าวนั้น ก็ได้กล่าวแก่คนเหล่านั้นที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ เพื่อปิดปากทุกคน และเพื่อให้มนุษย์ทุกคนในโลกอยู่ใต้การพิพากษาของพระเจ้า 20 เพราะว่าในสายพระเนตรของพระเจ้าไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดเป็นคนชอบธรรม โดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติได้ เพราะว่าธรรมบัญญัตินั้นทำให้เรารู้จักบาปได้

นี่คือคนที่ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวยิว) ที่ดำเนินอยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติของยิว คำสอนของยิว และทุกสิ่งมีแต่เลวร้ายลงไปกว่าที่ควรเป็น จำในมัทธิว 23 ได้หรือไม่ พระเยซูตรัสถึงพวกฟาริสีและความหน้าซื่อใจคดของพวกเขา พระองค์ตรัสว่าพวกเขาเอาห่อของหนักวางบนบ่ามนุษย์ ส่วนเขาเองแม้แต่นิ้วเดียวก็ไม่จับต้องเลย ดังนั้นภาระหนักที่บทบัญญัติวางบนบ่าของมนุษย์ ซึ่งหนักอึ้ง พวกฟาริสียังเพิ่มเข้าไปอีก เพิ่มข้อควรปฏิบัติเข้าไปอีก ผู้คนจึงอยู่ภายใต้แอกภาระหนักเหล่านี้ที่พวกเขาไม่มีทางทำได้เลย พวกเขาจึงสิ้นเนื้อประดาตัว เมื่อพระเยซูเสด็จมาตรัสว่า “มีข่าวดีสำหรับพวกท่าน ธรรมบัญญัติได้ทำหน้าที่ของมันแล้ว ทำให้เห็นว่าพวกคุณสิ้นเนื้อประดาตัว ตอนนี้คุณอยู่ในจุดที่พระพรของพระเจ้าประทานลงมาให้คุณ” คำสอนเรื่องความเสื่อมทรามของมนุษย์กล่าวว่า “ทุกคนสิ้นเนื้อประดาตัวแล้ว ไม่มีสักคนที่ชอบธรรม ไม่มีเลย ไม่มีสักคนที่แสวงหาพระเจ้า ไม่มีเลย ทุกคนล้มละลายฝ่ายวิญญาณ – สิ้นเนื้อประดาตัวฝ่ายวิญญาณ”

เมื่อพระเยซูตรัสถึงผู้ที่บกพร่อง (ขัดสน) ฝ่ายวิญญาณ พระองค์กำลังตรัสถึงกลุ่มคนเจาะจง กลุ่มย่อยของคนที่เสื่อมทรามลง และกลุ่มย่อยนี้เป็นกลุ่มที่รู้ตัวดี สิ้นเนื้อประดาตัวเป็นเรื่องหนึ่ง เสื่อมทรามลงเป็นอีกเรื่องครับ มีภาระบาปหนักอึ้งรอคอยพระอาชญาเป็นเรื่องหนึ่ง แต่เป็นอีกเรื่องเมื่อตระหนักว่า นอกจากพระคุณและพระเมตตาของพระเจ้าแล้ว เราต่างก็สิ้นหวังจมปลักอยู่ในบาปและเป็นหนี้ท่วมหัวฝ่ายวิญญาณ นี่คือคนที่ไม่เพียงแต่ล้มละลายฝ่ายวิญญาณ แต่พวกเขารู้ตัวดี

ขอยกตัวอย่างจากพระคัมภีร์ให้ดู เรื่องแรกจากหนังสือ 2พงศ์กษัตริย์ 5 เรื่องรักษาโรคของนาอามานชาวซีเรีย พระเยซูทรงอ้างถึงในพระกิตติคุณลูกา ในบทที่ 4 พูดถึงชาวต่างชาติที่เข้ามาในแผ่นดินของพระเจ้า ผมอยากให้คุณสังเกตุขั้นตอนที่พระเจ้ารับชายคนนี้เข้ามา หยิ่งยโสและต่อต้านพระองค์ ทรงทำให้เขาหันกลับ นำไปจนถึงจุดที่ท้อแท้สิ้นหวัง ไม่เหลือสิ่งใดให้หวังอีกเว้นแต่พระคุณของพระเจ้า

ลองคิดดู ชายคนนี้เป็นชาวซีเรีย ไม่ใช่คนอิสราเอล เป็นคนนอก นอกพระสัญญาของพระเจ้า และแน่นอนไม่รู้จักพระองค์ เขานมัสการพระอื่น นมัสการด้วยกันกับผู้เป็นเจ้านาย และเป็นศัตรูของอิสราเอล ไม่เพียงแต่ไม่เกี่ยวข้อง แต่ยังต่อต้านอิสราเอลด้วย ที่จริงเขาเป็นผู้บัญชาการกองทัพซีเรีย หมายความว่านอกจากอยู่ฝ่ายตรงข้ามแล้ว ยังแสวงหาชีวิตชาวอิสราเอลด้วย จึงเป็นเหมือนคนที่ไม่มีความหวังใดๆเหลือ สังเกตุดู เขาได้รับคำแนะนำให้ไปรับความช่วยเหลือในอิสราเอลโดยเด็กผู้หญิงชาวอิสราเอล – เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆที่เป็นทาส – และพระเจ้าประทานพระคุณให้ชายคนนี้เป็นโรคเรื้อน คนที่อยู่ในตำแหน่งสูงสุดในสายงานของเขา – เป็นมือขวาของกษัตริย์ – แต่กลับเป็นโรคเรื้อน ไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้ คงสิ้นหวัง แต่พระเจ้าบอกกับเขาผ่านเด็กหญิงที่เป็นทาสว่ามีผู้เผยพระวจนะในอิสราเอล ช่วยได้ ทำให้เขาหายจากโรค

ถ้าตามขั้นตอนปกติ เขาจะไปรับความช่วยเหลือนี้ได้อย่างไร? ผ่านทางการเมือง อำนาจ และอิทธิพล – ทุกสิ่งเหล่านี้เมื่อเราจำเป็นต้องบอกว่าเราสิ้นท่า – เป็นช่องทางที่คิดว่าต้องนำมาใช้ นาอามานจึงไปเฝ้ากษัตริย์แห่งซีเรีย ให้เขียนจดหมายเพื่อไปขอความช่วยเหลือในอิสราเอล เมื่อมาถึงสะมาเรียพร้อมด้วยจดหมายแนะนำตัวเพื่อไปเข้าเฝ้ากษัตริย์อิสราเอล ในจดหมายบ่งว่า “ชายคนนี้เป็นมือขวาของเรา จะเป็นการดีกว่าถ้าท่านช่วยเหลือเขา” กษัตริย์อิสราเอลคิดว่าปัญหามาเคาะประตูวังแล้ว “จะให้เราทำอย่างไรกัน?” ความจริงคือทำอะไรไม่ได้ จนเรื่องไปถึงหูเอลีชา เอลีชาจึงส่งข่าวมา “ไปบอกเขาว่ามีพระเจ้าในอิสราเอล และพระเจ้าองค์นี้ช่วยรักษาให้ได้”

เขาจึงมาอิสราเอลมาขอความช่วยเหลือ แต่ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากกษัตริย์ แล้วตอนนี้อยู่ที่หน้าประตูบ้านของเอลีชา เราคงนึกภาพคณะผู้ติดตามกลุ่มใหญ่มายืนรอหน้าประตูบ้านของผู้เผยพระวจนะออก อย่าลืมว่าไม่ได้มาตัวเปล่า มาพร้อมกับของสมนาคุณมากมาย แทนที่จะมีพรมแดงรอรับที่ประตูทางเข้า และเอลีชาออกมาต้อนรับคณะบุคคลสำคัญด้วยตนเอง ท่านกลับส่งคนใช้ออกมาบอกว่า “ให้ไปจุ่มตัวที่แม่น้ำจอร์แดนเจ็ดหน”

คนที่อยู่ทางใต้อาจไม่เคยเห็นแม่น้ำทางตะวันตกเฉียงเหนือ แม่น้ำที่นั่นใสแจ๋ว จำเรื่องหัวขวานตกลงไปในแม่น้ำจอร์แดนได้มั้ยครับ? ถ้าเป็นในตะวันตกเฉียงเหนือคงงมได้ง่าย เพราะมองลงไปเห็น แต่นี่เป็นแม่น้ำขุ่นคลั่กของจอร์แดน แล้วหมอนี่มาบอก “ให้ไปจุ่มตัวลงในแม่น้ำขุ่นคลั่นด้วยโคลนนี่หรือ?” ไม่มีทาง มันไม่สะอาด มีแต่จะทำให้สกปรกยิ่งขึ้น นาอามานโกรธเพราะเขาพูดว่า “ถ้าจะลงไปจุ่มตัวในน้ำ มีแม่น้ำอื่นๆที่ดีกว่านี้ตั้งเยอะ ที่นี่ไม่สะอาด ไม่น่ารักษาโรคได้” แต่คนในพวกบ่าวมาบอกว่า “ท่านทราบมั้ยครับ ถ้าท่านถูกขอให้ทำเรื่องยิ่งใหญ่ ท่านคงจะทำ นี่เขาไม่ได้ขอให้ท่านทำเรื่องยิ่งใหญ่อะไร นอกจากให้ลงไปจุ่มตัวในแม่น้ำ ไม่เห็นมีอะไรต้องเสียเลย” นาอามานจึงลงไปจุ่มตัวในแม่น้ำจอร์แดน ผมคิดว่า นอกจากเสื้อผ้าแล้ว คงต้องยอมถอดศักดิ์ศรีด้วย ผิวของท่าน เมื่อได้รับการรักษา กลับกลายเป็นเหมือนผิวเด็กทารกเมื่อขึ้นมาจากน้ำ

นาอามานกำลังมุ่งหน้าไป แต่ยังไม่ถึงปลายทาง ยังไม่เข้าใจว่าพระคุณคืออะไร เขากลับไปที่บ้านของเอลีชา สังเกตุดูตอนนี้เอลีชาออกมาต้อนรับ เขาบอกเอลีชาว่า “ผมเป็นหนี้บุญคุณท่านนะครับ ขอจ่ายให้ท่านด้วยของสมนาคุณที่ช่วยรักษาผมให้หาย” นาอามานคิดจะมอบของสมนาคุณทุกอย่างที่นำมา แต่เอลีชากลับบอกว่า “ไม่รับ” เพราะท่านไม่ได้ทำสิ่งใดในการงานของพระเจ้า หรือพระคุณของพระองค์ทั้งก่อนหน้าหรือหลังจากนั้น ท่านไม่ต้องการให้นาอามานกลับไปโดยคิดว่าเขามีส่วนในการนี้ด้วย นาอามานจำเป็นต้องเห็นวิญญาณของตนเองที่ล้มละลาย เขาจึงบอกเอลีชาว่า “ถ้าท่านไม่รับของที่ผมนำมา ผมขอนำบางสิ่งจากที่นี่กลับไป” ฟังนะครับ – เขาขอดินจากอิสราเอลกลับไป ทำไมครับ? เขาขอดินกลับไปมากพอที่ลาสองตัวจะบันทุกได้ เพราะเขาเริ่มเข้าใจแล้ว พระเจ้ามีพระประสงค์ให้เขาเป็นหนึ่งเดียวกับผืนแผ่นดินนี้ อย่างที่เราพูดกันว่าพระเจ้าทรงเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ นาอามานเป็นหนึ่งเดียวกับผืนแผ่นดินนี้ และต่อไปเมื่อจะนมัสการ นาอามานจะนมัสการบนผืนดินอิสราเอล ในที่สุดนาอามานก็มาถึงจุดที่ตระหนักได้ว่าตนเองไม่มีอะไรจะทดแทนให้พระเจ้า ได้ เป็นฝ่ายที่รับเท่านั้น นี่คือความขัดสนฝ่ายวิญญาณ และพระเจ้าทรงมีพระคุณที่นำเขามาจนถึงแผ่นดินนี้

ลูกา 18 เป็นเรื่องคลาสสิคในพระคัมภีร์ใหม่ที่แสดงให้เห็นความขัดสนฝ่ายวิญญาณ เป็นเรื่องของฟาริสีและคนเก็บภาษี เริ่มจากข้อ 9:

9 สำหรับบางคนที่ไว้ใจในตัวเองว่าเป็นคนชอบธรรม และได้ดูหมิ่นคนอื่นนั้น พระองค์ตรัสคำอุปมานี้ว่า 10 “มีสองคนขึ้นไปอธิษฐานในบริเวณพระวิหาร คนหนึ่งเป็นพวกฟาริสีและคนหนึ่งเป็นพวกเก็บภาษี 11 คนฟาริสีนั้นยืนนึกในใจของตน อธิษฐานว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์โมทนาขอบพระคุณของพระองค์ ที่ข้าพระองค์ไม่เหมือนคนอื่น ซึ่งเป็นคนโลภ คนอธรรม และคนล่วงประเวณี และไม่เหมือนคนเก็บภาษีคนนี้ 12 ในสัปดาห์หนึ่งข้าพระองค์ถืออดอาหารสองหน และของสารพัดซึ่งข้าพระองค์หาได้ข้าพระองค์ได้เอาสิบชักหนึ่งมาถวาย’ 13 ฝ่ายคนเก็บภาษีนั้นยืนอยู่แต่ไกล ไม่แหงนดูฟ้า แต่ตีอกของตนว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงโปรดพระเมตตาแก่ข้าพระองค์ผู้เป็นคนบาปเถิด’ 14 เราบอกท่านทั้งหลายว่า คนนี้แหละเมื่อกลับลงไปยังบ้านของตนก็นับว่าชอบธรรม มิใช่อีกคนหนึ่งนั้น เพราะว่าทุกคนที่ยกตัวขึ้นจะต้องถูกเหยียดลง แต่ทุกคนที่ได้ถ่อมตัวลงจะต้องถูกยกขึ้น” (ลูกา 18:9-14)

ผมจะบอกว่าคนเก็บภาษีขัดสนฝ่ายวิญญาณ และได้รับพระพรกลับไปเป็นผู้ชอบธรรม

เนื้อหาในมัทธิว 11 เกี่ยวข้องกับสิ่งที่พระเยซูตรัสในมัทธิว 5:3 “บุคคลผู้ใดรู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข” ในตอนต้นของมัทธิว 11 เกี่ยวข้องกับยอห์นผู้ให้บัพติศมา สาวกบางคนของท่านมาหาพระเยซูถามพระองค์ว่า “ท่านเป็นผู้ที่จะมานั้นหรือ หรือจะต้องคอยผู้อื่น” พระองค์ทรงตอบในข้อ 11 และ 12:

11 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ในบรรดาคนซึ่งเกิดจากผู้หญิงมานั้น ไม่มีผู้ใดใหญ่กว่ายอห์นผู้ให้รับบัพติศมา แต่ว่าผู้ที่ต่ำต้อยที่สุดในแผ่นดินสวรรค์ก็ยังใหญ่กว่ายอห์นเสียอีก 12 และตั้งแต่สมัยยอห์นผู้ให้รับบัพติศมาถึงทุกวันนี้ แผ่นดินสวรรค์ก็เป็นสิ่งที่คนได้แสวงหาด้วยใจร้อนรน และผู้ที่ใจร้อนรนก็เป็นผู้ที่ชิงเอาได้ (มัทธิว 11:11-12)

ต้องขอยอมรับว่าอาจเข้าไม่ถึงความหมายได้ทั้งหมด แต่นี่คือคนที่คิดว่าตนเองมั่งมีฝ่ายวิญญาณ มีสิทธิตามชาติกำเนิดที่จะครอบครองแผ่นดินของพระเจ้า สัมผัสได้ไหมครับว่าคนพวกนี้พยายามใช้การบีบบังคับ? นึกถึงคนเก็บภาษีที่ตระหนักว่าตนเองไม่มีสิทธิไปอ้างสิ่งใดกับพระเจ้า เป็นคนบาปอยู่ภายใต้พระอาชญาของพระองค์ สิ่งเดียวที่พอทำได้คือร้องขอความเมตตา เขาไม่ได้บุกไปที่ประตูสวรรค์พยายามดันตัวเองเข้าไป มีคนไปที่ประตูสวรรค์พยายามบุกเข้าไปด้วยความคิดว่า “ฉันมีสิทธิ ฉันสมควรได้ นี่เป็นที่ของฉัน แค่ยื่นมือออกไปรับก็เท่านั้น” นี่ตรงกันข้ามกับที่พระเยซูตรัส นี่ไม่ใช่ความมั่งมีฝ่ายวิญญาณ แต่เป็นเรื่องของวิญญาณ วิญญาณที่ถ่อมลงและเข้าไปยึดพระเจ้าไว้มั่น พึ่งพิงพระคุณ พระเมตตา และความรอดจากพระองค์ ในมัทธิว 11 พระเยซูเปรียบคนพวกนี้เหมือนเด็กเล็กๆ

16 “เราจะเปรียบคนยุคนี้เหมือนกับอะไรดี เปรียบเหมือนเด็กนั่งที่กลางตลาด ร้องแก่เพื่อนว่า 17 ‘พวกฉันได้เป่าปี่ให้พวกเธอ และเธอมิได้เต้นรำ พวกฉันได้พิลาปร่ำไห้ และพวกเธอมิได้ตีอกชกหัว’ (มัทธิว 11:16-17)

นี่เป็นภาพของลัทธิยูดายที่ตอบสนองต่อพระเยซูหรือไม่? ภาพของคนมั่งมีผ่ายวิญญาณที่พูดราวกับว่า “ท่านมาอ้างว่าตนเองเป็นพระเมสซิยาห์ ถ้าท่านเป็นพระเมสซิยาห์จริง ท่านก็ต้องเต้นตามจังหวะของเรา ท่านต้องพูดในสิ่งที่เราต้องการให้คนฟังได้ยิน” พระเยซูตรัสว่าไม่ใช่แน่นอน พระองค์เสด็จมา ไม่ได้ไปตามที่พวกเขาต้องการ ยอห์นผู้ให้บัพติศมาก็เช่นกัน

ท้ายสุดจากข้อ 25-27 :

25 ขณะนั้นพระเยซูทูลว่า “ข้าแต่พระบิดา ผู้เป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และโลก ข้าพระองค์สรรเสริญพระองค์ ที่พระองค์ได้ทรงปิดบังสิ่งเหล่านี้ ไว้จากผู้มีปัญญาและผู้ฉลาด แต่ได้สำแดงให้ผู้น้อยรู้ 26 ข้าแต่พระบิดา พระองค์ทรงเห็นชอบดังนั้น 27 “พระบิดาของเรา ได้ทรงมอบสิ่งสารพัดให้แก่เรา และไม่มีใครรู้จักพระบุตร นอกจากพระบิดาและไม่มีใครรู้จักพระบิดานอกจากพระบุตร และผู้ที่พระบุตรประสงค์จะสำแดงให้รู้ (มัทธิว 11:25-27)

นี่เป็นภาพความคล้ายคลึงของความขัดสนฝ่ายวิญญาณ สิ่งที่คุณเห็นคือเด็กไม่มีอำนาจ ไม่มีแรง ไม่มีกำลัง สั่งให้ใครทำอะไรไม่ได้ และพระเยซูตรัสว่า “พระองค์ได้สำแดงให้รู้” ว่าพวกเขาขัดสนฝ่ายวิญญาณอย่างชัดเจนในตอนท้ายของข้อ 27 สำหรับ “ผู้ที่พระบุตรประสงค์จะสำแดงให้รู้”

ต่อไปก็ถึงพระวจนะข้อที่ผมโปรดมาก แต่อาจยังเข้าไม่ถึงได้ทั้งหมด:

“28 บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลาย หายเหนื่อยเป็นสุข 29 จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพและใจอ่อนน้อม และจิตใจท่านทั้งหลายจะได้พัก 30 ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา” (มัทธิว 11:28-30)

นี่ใช่แนวคิดเดียวกับคำเทศนาบนภูเขาหรือไม่? ใช่คนที่สิ้นเนื้อประดาตัวฝ่ายวิญญาณภายใต้ภาระหนักของบทบัญญัติยูดาย ถูกกฎเกณฑ์ข้อบังคับต่างๆบดขยี้หรือไม่? พระเยซูตรัสว่า “จงมาหาเรา จงมาหาเรา” ผมคิดว่าพระองค์กำลังตรัสกับคนกลุ่มเดียวกัน ไม่ใช่กลุ่มคนที่มีชีวิตลำบาก แต่พระองค์กำลังตรัสกับคนที่ขัดสนฝ่ายวิญญาณ โดยใช้ภาพอธิบายในเรื่องเดียวกัน

มาดูสิ่งที่สามารถนำไปใช้กับข่าวประเสริฐ นักวิชาการหลายคนตั้งข้อสังเกตุว่ามัทธิว 5:3 “บุคคลผู้ใดรู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข” คือพื้นฐานของคำสอนทั้งหมดในคำเทศนาบนภูเขา เป็นพื้นฐานเพราะความบกพร่อง (ขัดสน) ฝ่ายวิญญาณที่จำเป็นสำหรับชีวิตนิรันดร์ ไม่มีใครเข้าสวรรค์ได้เพราะคิดว่าตนเองมีสิทธิ นอกจากพระเยซูคริสต์ มือของคุณต้องว่างเปล่าก่อนจะได้รับการเติมเต็มจากพระองค์ ในมือต้องไม่มีสิ่งใด เพราะนี่ไม่ใช่สิ่งที่เราทำได้ด้วยตนเอง ถ้าไม่ให้ตัวเราว่างเปล่า ถ้าไม่ให้ตัวเราขัดสนถึงที่สุด เราจะไม่ตระหนักถึงความสิ้นเนื้อประดาตัวของเราเอง นี่คือการงานแห่งพระคุณของพระเจ้า เป็นข้อพิสูจน์งานของพระองค์ในตัวเรา เราเห็นตนเองอย่างที่เราเป็น จึงพร้อมหันกลับมาหาพระองค์ ทรงเปลี่ยนจิตใจเราให้หาพระองค์ เราไม่มีสิ่งใดไปมอบให้พระองค์ได้ ไม่มีสิทธิใดไปอ้าง ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้พระเจ้าทำด้วยพระคุณให้เรา ทั้งหมดเป็นพระเมตตา ทั้งหมดเป็นพระคุณ

พระเจ้าทำให้สิ่งเหล่านี้เป็นไปได้อย่างไร? เกิดขึ้นได้อย่างไร? เราพูดถึงนาอามานใน 2พงศ์กษัตริย์ 5 พระเจ้าทรงใช้หลากหลายวิธี ถ้าเรามีเวลา เราคงจะได้คุยกันถึงตอนที่พระเจ้ากระชากพรมออกจากใต้คุณ และในทันทีคุณตระหนักได้ว่าคุณไม่มีสิ่งใดเหลือมอบให้พระองค์ได้ แต่พระเจ้าทรงทำสิ่งนั้นในชีวิตคุณ โดยผ่านพระวจนะและพระวิญญาณ บางครั้งพระองค์ทรงทำผ่านความบาปในชีวิตคุณ ด้วยสาเหตุบางอย่างมันก็แจ่มแจ้งแดงขึ้นมา ผ่านโศกนาฏกรรมในชีวิต ผ่านวิกฤติในครอบครัวหรือที่อื่นๆ ผ่านความเจ็บป่วย ปัญหาการเงิน ไม่ว่าจะแบบไหน พระเจ้าทรงใช้เหตุการณ์เหล่านั้นเพื่อนำคุณมาถึงพระองค์

นึกถึงความโศกเศร้า ผมสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นถ้าในนาทีที่เกิดอาการโศกเศร้า เวลาที่ตระหนักว่ามันว่างเปล่าเหลือแต่เพียงพระเจ้า? ทำให้นึกถึงถ้อยคำของดาวิด “จิตวิญญาณของข้าพเจ้าเอ๋ย ไฉนเจ้าจึงฝ่ออยู่”6 เราพูดกับตัวเอง “ทำไมเราถึงเศร้าโศกอย่างนี้? มองไปที่พระเจ้า มองไปที่พระเจ้าสิ” หนึ่งในอันตรายคือเราต้องไปจนถึงจุดที่ไม่เหลืออะไรเลย เหลือแต่ความว่างเปล่า ก่อนจะยอมหันกลับมาหาพระเยซู สำหรับพวกเราที่เป็นพ่อแม่ เป็นเพื่อน หรือเพื่อนบ้าน จุดอันตรายคือบางครั้งเราทำหลายสิ่งมากเพื่อช่วยบางคนไม่ให้ตกต่ำลงจนถึงก้น บึ้ง แต่ในความเป็นจริงแล้ว บางทีอาจเป็นงานแห่งพระคุณของพระเจ้าสำหรับพวกเขา เราต้องแยกแยะให้ดี เพราะบางทีเราอาจใช้เป็นข้ออ้างง่ายๆที่จะไม่ไปช่วยคนที่ลำบาก เพราะกลัวว่าจะไปแทรกแซงการงานของพระเจ้า เราต้องระวังและมองให้ออกว่าพระเจ้ากำลังนำใครบางคนไปถึงจุดที่สิ้นเนื้อ ประดาตัว หรือพระองค์อาจดึงบางคนเข้าให้ใกล้พระองค์ เราต้องรอบคอบต่อการตอบสนองสิ่งที่พระเจ้ากำลังทำในชีวิตผู้อื่น

จะนำไปใช้ในการประกาศอย่างไร? ผมคิดว่าเราต้องมองข่าวประเสริฐที่เรานำไปใช้ให้รอบคอบ หลายปีมาแล้วผมทำให้บางคนไม่พอใจ เป็นพี่น้องคริสเตียนที่ผมนับถือ เขาพูดว่า “ถ้าคุณกำลังจะนำใครบางคนมาถึงพระคริสต์ (คนที่ยโสมาก) คุณต้องดึงดูดคนๆนั้นด้วยความภาคภูมิใจของเขา” ผมไม่คิดอย่างนั้น เราต้องระมัดระวังในการนำเสนอพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ เราต้องไม่ดึงดูดพวกเขาด้วยสิ่งที่พระเจ้าบอกให้เขาละทิ้ง อย่าดึงดูดคนด้วยความโลภ อย่าบอกพวกเขาว่าถ้ามาเชื่อในพระเยซูแล้วชีวิตจะมีแต่ความร่ำรวย และทุกอย่างมีแต่จะดีขึ้น มันอาจไม่เป็นอย่างนั้น พระเจ้าหยิบยื่นการอภัยบาป และมอบของขวัญแห่งชีวิตนิรันดร์ให้ เราจึงต้องระวังต่อข่าวประเสริฐที่นำไปประกาศ

อย่างที่พูดไปแล้ว การยอมรับว่าตนเองล้มละลายฝ่ายวิญญาณเป็นสิ่งจำเป็นก่อนจะได้รับความรอด แต่ต้องบอกด้วยว่าจำเป็นสำหรับชีวิตคริสเตียน เราต้องระวังที่จะไม่พูดกับตัวเองว่า “โอเค ฉันได้รับความรอดแล้ว รู้แล้วว่าตัวเองเคยล้มละลายฝ่ายวิญญาณ เคยติดลบ แต่ในที่สุดก็ได้เคลียร์หนี้แล้ว” ไม่ใช่นะครับ ในหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ พระเจ้าตรัสกับชาวอิสราเอลว่าเมื่อพวกเขาไปถึงแผ่นดิน (หลังพ้นจากการเป็นทาส) แล้วจู่ๆจากที่ไม่เคยมีที่เป็นของตนเอง ตอนนี้ได้มีเรือกสวนไร่นา ถ้าเป็นเรา ก็คงร้องว่า “โว้ว สุดยอดเลย” ปัญหาคือพระเจ้าบอกว่า หลังจากนั้นสักพัก เมื่อพวกเขาได้กินพืชผลจากสวนที่ไม่ได้ปลูก เก็บเกี่ยวจากไร่นาที่ไม่ได้ลงแรง — สิ่งเหล่านี้พระองค์มอบให้พวกเขาโดยพระคุณ — แต่จะมาถึงวันหนึ่งที่พวกเขาบอกกับตัวเอง “ดูสิ เพราะเราเป็นคนชอบธรรมพระเจ้าถึงประทานสิ่งเหล่านี้ให้ เป็นเพราะเราจริงๆนะ” – แล้วคุณก็เริ่มมองสิ่งต่างๆเปลี่ยนไป

เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับคริสเตียนได้ คนที่เริ่มพูดว่า “นี่เป็นเพราะเราเป็นคนชอบธรรม” แต่พระเจ้าตรัสว่า “ไม่ใช่เลย แต่เป็นเพราะความบาปของเจ้า เจ้าชั่วร้ายยิ่งกว่า และเราได้เหวี่ยงเจ้าออกไป” มีทางเป็นไปได้เมื่อเรารับของขวัญที่พระเจ้าประทานให้ แต่แล้วกลับไปอ้างเอาความดีความชอบเข้าตัวเอง และสิ่งนี้เองที่ทำให้การนมัสการเป็นเรื่องสำคัญมากๆ การนมัสการจะนำเราย้อนกลับไป บอกว่าพระพรที่เรามีอยู่ พระเจ้าให้มาอย่างไร

เป็นสิ่งเดียวกับของประทานฝ่ายวิญญาณ เป็นเรื่องที่ผมเองต้องต่อสู้หน่อย คือสู้กับความขัดแย้งระหว่างความจริงว่าของประทานฝ่ายวิญญาณเป็นกำลังที่พระ เจ้ามอบให้ และความจริงที่ อ.เปาโลกล่าวว่าเมื่อเราอ่อนกำลังเราจะเข้มแข็ง แล้วจะทำให้กลมเกลียวไปด้วยกันอย่างไร? ผมคิดว่าเราต้องพูดว่าเรารับรู้ถึงการล้มละลายฝ่ายวิญญาณในฐานะคริสเตียน – การดำเนินชีวิตคริสเตียน การนำคนมาถึงความรอด และมีชีวิตแห่งชัยชนะ – เราเองไม่สมควรได้ ต้องเข้ามาวางใจในพระองค์และการจัดเตรียมที่ประทานให้ เมื่อไรที่เรารู้สึกว่าเราไม่ขัดสน เริ่มรู้สึกมั่งมี และรู้สึกว่าการเข้าเฝ้าพระเจ้าคือ “ไม่ต้องโทรมานะ แล้วจะโทรไปหา” ครับผมคิดว่าเมื่อพระเจ้าตรัสกับคนอิสราเอล พระองค์ตรัสกับเรา บอกกับอิสราเอลว่า “ขอเตือนเจ้าสักเรื่อง (ซึ่งบันทึกไว้ชัดเจนในเลวีนิติ) แผ่นดินนี้ไม่ใช่ของเจ้า” เมื่อชาวอิสราเอลเข้าสู่แผ่นดินคานาอัน พระเจ้าไม่ได้บอกว่า “โอเค มันเป็นของเจ้าแล้ว” แต่พระองค์บอกว่า “นี่เป็นแผ่นดินของเรา เจ้าจะได้อยู่ในแผ่นดินนี้ตราบที่เจ้าทำตามกฎเกณฑ์ของเรา และเมื่อไรที่เจ้าหยุด เจ้าก็ต้องออกไปเสีย เพราะที่นี่คือแผ่นดินของเรา”

เมื่อพูดถึงของประทานฝ่ายวิญญาณในพระคัมภีร์ใหม่ อ.เปาโลกล่าวไว้ใน 1โครินธ์ 4:7 “ท่านมีอะไรที่ท่านมิได้รับมา?” ทุก สิ่งที่คุณมี ที่คุณกำลังอวดอ้าง (อย่างที่ชาวโครินธ์ทำ) เป็นของประทานโดยพระคุณ ศัพท์สำคัญตรงนี้คือ “ผู้อารักขา” ผู้อารักขาจะตระหนักว่าสิ่งที่ได้รับมอบมา คือสิ่งที่ให้เขามีหน้าที่ดูแล แต่ไม่ใช่เจ้าของ ของประทานของเรา มรดกฝ่ายวิญญาณของเรา พระพรทุกอย่างที่พระเจ้าประทานให้ พระองค์มอบไว้ในมือเราเพื่อให้ทำหน้าที่อารักขา แต่ยังเป็นของๆพระเจ้า ไม่ใช่ของเรา ดังนั้นเราอวดอ้างไม่ได้เลย ถ้าจะอวด เราต้องอวดพระเจ้าเท่านั้น

แล้วเรื่องเห็นคุณค่าในตนเองล่ะ? ผมเคยได้ยินคริสเตียนพูดว่า “ปัญหาในคุกของเราคือ การไม่เห็นคุณค่าในตนเอง” ผมขอบอกนะครับ เราต้องประเมินความคิดนี้ให้ดีๆจากพระวจนะของพระเจ้า พระวจนะไม่ได้บอกว่า “บุคคลผู้ใด มองเห็นคุณค่าในตนเอง ผู้นั้นเป็นสุข” ผมจำไม่ได้ว่าจอห์น ไพเพอร์เขียนไว้ตรงไหน ตอนที่ปาฐกถาให้ที่ประชุมครูรวีฟัง เขาบอกว่าถ้าเอาประโยคนี้มาเรียบเรียงใหม่ “เราไม่จำเป็นต้องสร้างคุณค่าให้ตนเอง เด็กๆของเรามีอยู่แล้วเต็มไปหมด ที่เราเรียกกันว่า “อัตตา” – ความมุ่งมั่นเชื่อมั่นในตนเอง – มีมากด้วย พวกเขาเกิดมาพร้อมกับสิ่งนี้” “แต่” ไพเพอร์กล่าวว่า “เมื่ออบรมเด็กของเรา เราจำเป็นต้องสอนเรื่องพระเจ้าให้เขาฟัง จำเป็นต้องพูดกับเขาถึงความบริสุทธิ์ของพระเจ้า พวกเขาต้องเข้าใจให้ได้ว่าตนเองเป็นใครในความสัมพันธ์กับพระเจ้า” ครับ อาจมีหลายสิ่งที่เราไว้ใจ – บุคลิกของเรา ความสำเร็จของเรา สังคมและคนที่เราเกี่ยวข้องด้วย – ความเป็นจริงคือเรามักจะพบคุณค่าของเราในสิ่งเหล่านี้ เคยคิดหรือไม่ว่าทำไม อ.เปาโลต้องบอกให้เราไปสร้างความสัมพันธ์กับผู้ที่ต่ำต้อยกว่า? เพราะพวกเขาไม่มีสถานะใดๆ แต่กลับเป็นพวกที่พระเยซูออกไปตามหา ถ้าคนที่ขัดสนฝ่ายวิญญาณคือคนที่ได้รับพระพร คนเหล่านั้นก็คือคนที่ออกไปพร้อมกับข่าวประเสริฐแห่งพระกิตติคุณ

สิ่งต่างๆนี้ที่เราเอาตัว เอาหัวใจไปมอบไว้ – นักกีฬาที่เก่งๆ ดารา นักร้องและเซเลบที่ดังๆ คนที่มีอำนาจบารมี ทุกสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เราต้องละออกมา แล้วยังสิ่งที่ดูเหมือนไปได้สวยในชีวิตเรา เช่น เวลาที่คุณมองไปที่สถิติของผู้บริหารในบริษัทหรือองค์กรต่างๆ บ่อยครั้งพวกเขาจะดูดี สวยงาม มีสง่า ทำไมครับ? เพราะคนเหล่านั้นต้องปรุงแต่ภาพลักษณ์ให้เป็นที่นิยม เราจึงต้องระวังไม่ทำหรือดำเนินชีวิตในแบบเดียวกันต่อเบื้องพระพักตร์พระ เจ้าในหลักการเดียวกับที่เราสร้างเพื่อให้มนุษย์ชื่นชม เราต้องนำทุกสิ่งมาประเมินใหม่ในความสว่างที่พระเจ้าตรัสไว้ในพระวจนะของ พระองค์

เราต้องเข้ามาสู่เวลาแห่งการนมัสการ เวลาที่เราจำได้ว่าเรามาจากไหน พระเจ้าคือผู้ใด และเราเป็นใคร และก็ไม่แปลกที่เราจะทำสิ่งนี้ทุกอาทิตย์ด้วยกันในพระกาย เราจำเป็นต้องทำเช่นนี้ในฐานะคริสเตียน “บุคคลผู้ใด รู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข” ผมต้องขอพูดเรื่องสุดท้ายอีกเรื่อง อาจมีบางคนกำลังดิ่งลงสู่ก้นบึ้งของชีวิต แล้วเขาสงสัยว่ามันคุ้มที่จะไปต่อหรือไม่ ข่าวดีคือ “บุคคลผู้ใด รู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข” ถ้า พระเจ้านำคุณไปจนถึงจุดที่เห็นว่าในตนเองไม่มีอะไรดีเลยที่สามารถให้พระเจ้า ได้ คุณก็กำลังอยู่ในที่ๆดีที่สุดที่คุณเคยไป และผมขอให้คุณเข้ามาวางใจในพระเยซู ในพระองค์เท่านั้น เพื่อจะรับเอาความรอด


1 153 นอกจากที่กล่าวไปแล้ว พระวจนะที่นำมาอ้างอิงทั้งหมดมาจาก NET Bible (The NEW ENGLISH TRANSLATION) เป็น ฉบับแปลใหม่ทั้งหมด ไม่ใช่นำฉบับเก่าในภาษาอังกฤษมาเรียบเรียงใหม่ ใช้ผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการพระคัมภีร์มากกว่า ยี่สิบคน รวบรวมข้อมูล ทั้งจากภาษาฮีบรูโดยตรง ภาษาอาราเมข และภาษากรีก โครงการแปลนี้เริ่มมาจากที่เราต้องการนำ พระคัมภีร์ เผยแพร่ผ่านสื่ออีเลคโทรนิค เพื่อรองรับการใช้งานทางอินเตอร์เน็ท และซีดี (compact disk) ที่ใดก็ตามในโลก ที่ต่อเข้าอินเตอร์เน็ทได้ ก็สามารถเรียกดู และพริ้นทข้อมูลไว้เพื่อใช้ศึกษาเป็นการส่วนตัวได้โดยไม่คิดมูลค่า นอกจากนี้ ผู้ใดก็ตาม ที่ต้องการนำข้อมูลเกี่ยวกับพระคัมภีร์ไปเผยแพร่ต่อโดยไม่คิดเงิน สามารถทำได้จากเว็บไซด์ : www.netbible.org.

2 154 เป็นต้นฉบับของบทเรียนที่สิบในบทเรียนต่อเนื่องของพระกิตติคุณมัทธิว จัดทำโดย Robert L. Deffinbaugh 27 เมษายน 2003

3 155 R. Kent Hughes, The Sermon on the Mount: The Message of the Kingdom (Wheaton, Illinois, Crossway Books, 2001), p. 16.

4 156 จากข้อเขียนอันโด่งดังของจอห์น ไพเพอร์ (see Desiring God Ministries http://www.desiringgod.org) http://desiringgod.org/library/sermons/86/021686.html

5 157 Max Lucado, The Applause of Heaven, (Dallas, Texas, Word Publishing, 1990) p. 31.

6 158 สดุดี 42:11 สดุดี 43:5 The Holy Bible, New International Version (Colorado Springs, Colorado, International Bible Scociety, 1984)

Related Topics: Spiritual Life

10. "บุคคลผู้ใดโศกเศร้า ผู้นั้นเป็นสุข” (มัทธิว 5:4)

Related Media

1คำนำ

ต้อง ขอสารภาพว่าผมมีความกลัวแบบเด็กๆในเรื่องความตายตอนยังไม่เชื่อพระเจ้า ตายายของผมมีบ้านอยู่ตรงข้ามสุสานใหญ่ของเมือง เวลาไปเยี่ยมพวกท่านผมไม่กล้ามองไปที่สุสาน แอบสงสัยว่าที่ฝั่งตรงข้ามมันเป็นอย่างไร แต่ความเป็นจริง ผมก็เหมือนคนส่วนใหญ่ ไม่ชอบความโศกเศร้า ตอนอยู่ชั้นมัธยม ครูที่เป็นคริสเตียนตายลงกระทันหัน ผมถูกเลือกให้เป็นตัวแทนของห้องไปงานศพ ผมทำตัวไม่ถูก ยังทำท่าคึกคะนอง เพราะไม่รู้วิธีรับมือกับความโศกเศร้า นี่เป็นหนึ่งในวิธีหลีกเลี่ยงบางสิ่งที่พระคัมภีร์บอกเราต้องหัดรับมือและ ต้องฝึกฝน

บทเรียนตอนนี้เป็นคำเทศนาบนภูเขาของมัทธิว 4:5 "บุคคลผู้ใดโศกเศร้า ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับการทรงปลอบประโลม”2 จะเป็นไปได้อย่างไรที่ผู้โศกเศร้าจะเป็นสุข และจะได้รับการปลอบประโลม? นี่เป็นข่าวดีที่พระกิตติคุณมอบให้ นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำไมหลายปีมานี้ผมพูดซ้ำๆว่าอยากประกอบพิธีไว้อาลัย มากกว่าพิธีแต่งงาน เพราะความเป็นจริง นอกจากข่าวประเสริฐแห่งพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์แล้ว การปลอบประโลมที่แท้จริงไม่เคยมี เราจึงเข้าสู่บทเรียนนี้ด้วยความมั่นใจว่ามีการปลอบประโลมรอเราแน่นอน และการปลอบประโลมนี้เกี่ยวข้องกับพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ จะเป็นการดีที่เราเริ่มต้นด้วยคำถาม “คำว่าโศกเศร้าในพระคัมภีร์หมายถึงอะไร?” ลองมาดูตัวอย่างความโศกเศร้าที่มีอยู่ในพระคัมภีร์

ในหนังสือปฐมกาล เราพบเรื่องความโศกเศร้าเพราะความตายค่อนข้างมาก และไม่ใช่เรื่องน่าประหลาด เพราะเมื่อพระเจ้าห้ามอาดัมและเอวากินผลจากต้นไม้ต้องห้าม (เอวาก่อนแล้วส่งต่อให้อาดัม) พระองค์ตรัสว่าวันใดก็ตามที่เจ้ากิน เจ้าต้องตายแน่ หนังสือปฐมกาลจึงมีแต่เรื่องของความตาย และแน่นอนความโศกเศร้าที่เกิดเพราะความตาย ในปฐมกาล 23 อับราฮัมโศกเศร้าต่อการจากไปของซาราห์ ยาโคบเองก็โศกเศร้าเพราะคิดว่าโยเซฟลูกชายตายไปแล้ว – ถึงโยเซฟยังไม่ตาย แต่ยาโคบก็โศกเศร้าเพราะการสูญเสีย ชาวอียิปต์โศกเศร้าเมื่อยาโคบตายลง และดาวิดใน 2ซามูเอล1 คร่ำครวญเพราะการจากไปของซาอูลและเพื่อนรักของท่านโยนาธาน เราพบความโศกเศร้าเพราะความตายอยู่ในพระคัมภีร์ตลอดทั้งเล่ม แต่ไม่ใช่ความตายเรื่องเดียว ตัวอย่างเช่น เมื่ออับซาโลมฆ่าคนแล้วหนีจากอิสราเอลไปเพราะกลัวความผิด ดาวิดก็เศร้าเสียใจต่อการจากไปของลูก

ในกันดารวิถี 14:39 เมื่อชาวอิสราเอลไปถึงคาเดชบาร์เนีย และไม่ยอมเข้าไปยึดครองดินแดนนั้น พระเจ้าจึงให้พวกเขาแก่ตายก่อนได้เข้าสู่แผ่นดินพันธสัญญา ประชาชนก็โศกเศร้านัก คร่ำครวญเพราะสูญเสียพระพรที่กำลังจะตกอยู่ในมือไปต่อหน้าต่อตา พวกเขาโศกเศร้าและคร่ำครวญ จำได้หรือไม่การคร่ำครวญแบบนี้ไม่ได้ส่งผลดีอะไร เพราะพวกเขาพยายามเข้าไปกันเองและในที่สุดก็พ่ายแพ้

ในสดุดี 119:136 ผู้เขียนสดุดีคร่ำครวญเพราะความบาปของประชากรของพระเจ้า กล่าวว่า ข้าพระองค์น้ำตาไหลพรั่งพรู เพราะคนไม่ปฏิบัติตามพระธรรมของพระองค์” ในหนังสือโฮเชยา 4:3 บอกเราว่าแผ่นดินเป็นทุกข์เพราะความบาปของอิสราเอล และผลของบาปนั้นก็ตกแก่แผ่นดินพวกเขาเอง มีตัวอย่างอีกนับไม่ถ้วน และในพระวจนะที่ต่อๆมาจากปฐมกาล ความโศกเศร้ามุ่งไปที่การสูญเสียผู้เป็นที่รัก (เพราะความตาย) จนถึงโศกเศร้าที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับความบาปและผลที่ตามมา ให้เราพยายามหาความหมายโดยมองไปที่องค์ประกอบที่ก่อให้เกิดความโศกเศร้า

1) ความโศกเศร้าเป็นการตอบสนองทางอารมณ์ ที่ต้องทำคือเข้าไปอ่านพระวจนะ สำหรับพวกเราในสังคมและวัฒนธรรมที่ไม่แสดงออกมาก เห็นได้ไม่ชัดเท่ากับวัฒนธรรมอื่นๆ วัฒนธรรมทางตะวันออกในยุคพระคัมภีร์ การคร่ำครวญบางทีดูเกินจริง ดูมากเกินถึงขนาดจ้างนางร่ำไห้มาร้องคร่ำครวญ ยังมีที่อื่นๆในโลกที่ยังทำแบบนี้อยู่ และถ้าดูภาพข่าวเหตุการณ์ในตะวันออกกลาง เราเห็นคนร่ำไห้เพราะสูญเสียคนในครอบครัว โดนระเบิดหรือโศกนาฏกรรมอื่นๆ เราเห็นแต่อาการภายนอกที่พวกเขาแสดงออกถึงความเสียใจอย่างที่สุด ที่พูดขึ้นมาเพราะพวกเราบางคนอาจไม่คิดเยอะ แต่ผมอยากจะบอกว่าสำหรับครอบครัวของผม ไม่มีใครพูดได้ว่า “ผู้ชายไม่ควรร้องไห้”

จำได้ตอนที่ลูกชายของเราตาย พ่อของผมออกไปที่สนามแล้วเอาแต่เข็นรถตัดหญ้าไปมา ท่านเข็นไปจนทั่วสนามหลังบ้านเพราะต้องการปลดปล่อยความเศร้าโศก แต่นี่ไม่ใช่อารมณ์เศร้าโศกในแบบเดียวกับที่เรามักพบในพระคัมภีร์ นี่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ของเรา ไม่ใช่สติปัญญา แต่เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับอารมณ์ที่อ่อนไหวที่สุด ไม่ใช่ความพยายามที่จะผ่านไปให้ได้ ไม่ใช่สิ่งที่เราหาทางชดเชย ความโศกเศร้าในความเป็นจริง คือความเสียใจที่ลึกที่สุด เราจะสัมผัสได้เมื่อไปถึงจุดนั้น เป็นการตอบสนองทางอารมณ์ต่อการสูญเสีย บางคนอาจบอกว่าไม่ใช่ แต่ตามที่เข้าใจ ทุกครั้งที่เห็นความโศกเศร้าในพระคัมภีร์ ผมสัมผัสได้ถึงการสูญเสียบางสิ่ง อาจไม่ใช่สูญเสียชีวิตหรือความสัมพันธ์ ที่อาจเป็นความโศกเศร้าที่สุดก็เป็นได้ อาจเป็นการสูญเสียสิทธิประโยชน์ เช่นชาวอิสราเอลคร่ำครวญที่คาเดชบาร์เนีย เพราะรู้ว่าไม่มีโอกาสเข้าแผ่นดินพันธสัญญาแล้ว เป็นความสูญเสียที่เจ็บปวดอย่างล้ำลึก ดาวิดสูญเสียอับซาโลมไปเมื่อเขาหนีออกจากบ้านไปอาศัยอยู่กับญาติ ท่านรู้สึกเศร้าเสียใจกับการสูญเสียครั้งนั้น

2) เราอาจพูดได้ว่าท่าทีความโศกเศร้าบางทีไม่เหมาะสมเสมอไป ทุกท่าทีที่แสดงออกถึงความโศกเศร้าอาจไม่เหมาะสม เช่นดาวิดคร่ำครวญถึงการตายของอับซาโลม เป็นสิ่งที่ไม่สมควร จำได้หรือไม่ว่าโยอาบทำอย่างไร ถ้าทำได้เขาคงอยากเขย่าตัวท่านให้ได้สติคืนมา แต่ไม่อาจทำได้ จึงพูดกับดาวิดด้วยความนุ่มนวล โยอาบพูดทำนองว่า “ดาวิด ตั้งสติหน่อย ที่ทำอยู่นี่ไม่ถูกต้อง ประชาชนสัมผัสได้ว่าท่านโศกเศร้ามากเกินไป ทำให้พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาน่าจะตายเพื่อให้อับซาโลมได้อยู่ ความโศกเศร้าของท่านไม่ถูกต้อง การตายของอับซาโลมทำให้กอบกู้ราชอาณาจักรกลับคืนมาได้ ตั้งสติให้ดีดาวิด ความโทมนัสของท่านนั้นไม่สมควรอย่างยิ่ง”

ส่วนอัมโนนที่แสดงท่าที เสียใจก็ไม่ถูกต้อง เพราะไม่ได้ครอบครองทามาร์น้องสาวต่างมารดา อาหับเสียใจเพราะไม่ได้ครอบครองสวนองุ่นของนาโบท ซามูเอลเสียใจที่ซาอูลต้องเสียอาณาจักรไป การแสดงออกถึงความเสียใจเช่นนี้ไม่สมควร และความเสียใจไม่ใช่ว่าจะดีเสมอไป เราจึงพูดได้ว่า “ไม่ใช่ทุกคนที่โศกเศร้า จะได้รับการปลอบประโลม” ใช่หรือไม่? เมื่อพระเยซูตรัสว่า "บุคคลผู้ใดโศกเศร้า ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับการทรงปลอบประโลม” (มัทธิว 5:4) พระองค์กำลังตรัสถึงคนพวกหนึ่ง และความโศกเศร้าในอีกแบบหนึ่ง

3) ไม่มีการปลอบประโลมใดในโลกนี้ที่ให้ได้กับผู้ที่โศกเศร้าทุกคน ผมเคยไปงานศพหลายครั้ง เหมือนกับที่พวกคุณเคย มีผู้ไม่เชื่อนับไม่ถ้วนมาร่วมงาน พวกเขาโศกเศร้า แต่ไม่มีการปลอบประโลมใดที่ช่วยได้นอกจากในองค์พระเยซูคริสต์ และข่าวประเสริฐแห่งพระกิตติคุณ เมื่อเราอ่านพระวจนะในคำเทศนาบนภูเขา เรากำลังพูดถึงคนที่โศกเศร้า พูดถึงคนที่ขัดสนฝ่ายวิญญาณ คนที่ใจอ่อนโยน คนที่หิวกระหายความชอบธรรม ผมไม่คิดว่าคุณจะดึงแค่บางตอนออกมาจากคำเทศนาบนภูเขา และกล่าวว่าทุกคนที่โศกเศร้าจะได้รับการปลอบประโลม แต่คุณต้องพูดว่า “ผู้โศกเศร้าทุกคนที่ขัดสนฝ่ายวิญญาณและหิวกระหายความชอบธรรม จะได้รับการทรงปลอบประโลม” ครับ มีการปลอบประโลม แต่ไม่ใช่สำหรับทุกคน

4) เราต้องเข้าใจถึงท่าทีของความโศกเศร้าที่เหมาะสม นี่คือหัวใจสำคัญของบทเรียนนี้ และผมออกจะกังวล (ต้องขอสารภาพว่าเป็นกังวลมาก) ยิ่งเมื่อได้อ่านพระคำที่ตรัสว่า “"บุคคลผู้ใดมีใจอ่อนโยน ผู้นั้นเป็นสุข” ไม่ใช่เพราะมีความชอบใจเป็นพิเศษในพระวจนะข้อนี้ แต่รู้สึกสบายใจมากกว่าความโศกเศร้า ผมออกจะกังวลมากในเรื่องความโศกเศร้า จะทำให้เข้าใจได้อย่างไร เข้าใจและสามารถนำไปใช้ให้ถูกต้อง เราต้องเข้าใจว่าอะไรคือท่าทีของความโศกเศร้าที่เหมาะสม ผมพยายามแยกแยะองค์ประกอบของความโศกเศร้าตามพระคัมภีร์ – ความโศกเศร้าในแบบที่ได้รับการทรงปลอบประโลม

ขอถามสักสองสามข้อเพื่อทดสอบเรื่องความโศกเศร้าของผู้มีความเชื่อ

A)นี่เป็นบางสิ่งที่ผู้ชอบธรรมโศกเศร้าหรือไม่? ความ โศกเศร้าของเราชอบธรรมในแบบของพระคัมภีร์หรือไม่? แน่นอนเราต้องเริ่มต้นที่พระเยซูคริสต์ ตามที่ผมเข้าใจในคำเทศนาบนภูเขา สิ่งที่พระเจ้าตรัสว่า “ผู้เป็นสุข” เป็นคุณลักษณะของพระเจ้าที่ต้องสำแดงชัดเจนในชีวิตของธรรมิกชนของพระองค์ คุ้นกับตัวย่อ WWJD3 มั้ยครับ? (What would Jesus do? – พระเยซูจะทรงทำอย่างไร) ในเรื่องความโศกเศร้า พระเยซูจะโศกเศร้าในเรื่องนี้หรือไม่? มีความโศกเศร้ามากมายในปัจจุบันที่พระเยซูคงไม่เห็นชอบด้วย แต่มีสองกรณีหลักอยู่ในความโศกเศร้าของพระองค์ – อันแรกอยู่ในยอห์น 11:35-36 ที่อุโมงค์ฝังศพของลาซารัส และข้อพระคำที่โด่งดังไปทั่วโลกในข้อ 35 “พระเยซูทรงพระกันแสง” ผู้คนได้เห็นและกล่าวว่า “ดูซิพระองค์ทรงรักเขาเพียงไร”

ผม ไม่แน่ใจว่าจะมีคำตอบต่อคำถามนี้หรือไม่ แต่จะขอถามอยู่ดี พวกเขาพูดถูกหรือไม่? ไม่ใช่ในแง่ที่พระเยซูทรงรักลาซารัส – แน่นอนพระองค์ทรงรักเขา พวกเขาถูกต้องหรือไม่ที่สรุปว่าความโศกเศร้าของพระเยซูนั้นเชื่อมโยงและเป็น ผลโดยตรงจากความรักที่พระองค์มีต่อลาซารัส? มันยากที่เราจะรู้เรื่องทั้งหมดภายในไม่กี่วินาที ลาซารัสกำลังจะออกมาจากอุโมงค์ฝังศพในสภาพกายที่ถูกพันไว้ มันยากที่จะเห็นพระเยซูเต็มไปด้วยความโศกเศร้า อาจจะดีกว่าที่พูดว่า “ดูสิ พระเยซูทรงรักมารีและมาร์ธาเพียงไร” ทั้งคู่เป็นพี่สาวของลาซารัส อย่างน้อยเรามีข้อพระคำ จงร้องไห้กับผู้ที่ร้องไห้ และจงชื่นชมยินดีกับผู้ที่ชื่นชมยินดี” พระเยซูทรงอยู่กับผู้ที่โศกเศร้าเพราะการจากไปของลาซารัส ผมรู้สึกว่าน่าจะมีเรื่องของความบาปและผลของมันด้วย เมื่อมองไปที่ใบหน้าของความตาย เราควรเห็นการเชื่อมโยงระหว่างความตายและความบาปที่ส่งผลให้เกิดขึ้นหรือ ไม่?

ผมเคยคุยกับบางคนเรื่องการเผาศพว่าถูกต้องหรือไม่ที่จัดการกับ ร่างผู้ตายแบบนั้น มีความเห็นหลากหลาย ขอบอกว่าผมมีส่วนเกี่ยวข้องกับงานศพและพิธีไว้อาลัยมากมาย เคยไปงานศพที่มีการเผาร่างผู้เสียชีวิต แต่ไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องเจ็บปวดจนรับไม่ได้ แต่อยากบอกว่า สิ่งหนึ่งที่สำคัญในพิธีไว้อาลัยคือร่างผู้เสียชีวิตที่นอนอยู่ที่นั่น — เมื่อมีโลงศพตั้งอยู่ มีญาติพี่น้องมาร่วมงาน ผู้ใหญ่อาจอุ้มเด็กๆให้ดูใบหน้าของผู้ตายเป็นครั้งสุดท้าย — มีบางสิ่งที่มองด้วยตาเห็นว่าเชื่อมโยงกับความตาย ถ้าไม่มีร่างผู้ตาย ความหมายชัดเจนของความตายจะไม่มีวันสื่อออกไปแตะใจใครได้

ผมคิดเอน เอียงไปว่าที่พระเยซูทรงพระกันแสง อย่างน้อยมีบางส่วนที่เกิดเพราะความบาปและหายนะที่เป็นผลของบาป ในลูกา 19:41-44 พระเยซูเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็ม และทรงพระกันแสงเพราะเมืองนั้น ทรงพระกันแสงเพราะเมื่อพระองค์เสด็จมาสำแดงแก่อิสราเอลว่าทรงเป็นพระเมสซิยา ห์ และพวกเขาปฏิเสธพระองค์ เมืองนั้นและประชากรจะถูกทำลายจนพินาศ อีกครั้งที่ความโศกเศร้าของพระเยซูเกิดขึ้นเพราะผลของความบาป แต่จะพูดให้ถูก ความโศกเศร้าของพระองค์ต่อความบาปและต่อชีวิตของผู้คนนั้นเชื่อมโยงถึง พระองค์

พระวจนะสองตอนที่จำเป็นอย่างยิ่งเพื่อให้เข้าใจมัทธิว 5:4 ผมพยายามมองภาพกว้างเมื่อพูดว่า “คนชอบธรรมจะโศกเศร้าในเรื่องนี้หรือไม่? และ “ผู้เผยพระวจนะจะโศกเศร้าในเรื่องที่เรากำลังโศกเศร้าหรือไม่?” มีหลายกรณีสำหรับเรื่องนี้ พระวจนะที่เป็นกุญแจในเรื่องนี้คืออิสยาห์ 61 และอิสยาห์ 40 ผมไม่อาจอ่านมัทธิว 5:4 โดยไม่บอกกับตัวเองว่า “ท่านกำลังชี้ไปที่อิสยาห์ 61” ไม่อาจหลุดจากความคิดนี้ได้ ถ้าคิดว่าผมค้นมากไป ลองกลับไปดูพระกิตติคุณลูกาตอนที่พระเยซูเสด็จไปที่นาซาเร็ธ ไปที่ธรรมศาลา รับหนังสือม้วนมาและอ่านข้อพระคำตอนนี้ (ลูกา 4:18-19) ผมคิดว่าพระองค์อ่านแล้วหยุดเพราะพระวจนะเอ่ยถึง “วันแห่งการพิพากษา” พระองค์ไม่ได้อ่านยาวลงไปถึงตอนที่พูดถึงความทุกข์โศกเศร้า แต่ในความเป็นจริง พระวจนะตอนนี้ที่พระเยซูทรงเลือกชี้ไปที่พระองค์เอง แน่นอน เมื่อพระเยซูตรัสถึงตรงนี้ เราคงพูดได้เต็มปากว่านี่เป็นตอนหนึ่งที่บ่งว่าพระองค์คือใคร และตรัสเรื่องอะไร ลองมาดูกัน:

1 พระวิญญาณแห่งพระเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า
เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงเจิมข้าพเจ้าไว้
เพื่อนำข่าวดีมายังผู้ที่ทุกข์ใจ
พระองค์ทรงใช้ข้าพเจ้ามาให้เล้าโลมคนที่ชอกช้ำระกำใจ
และร้องประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย
และบอกการเปิดเรือนจำออกให้แก่ผู้ที่ถูกจำจอง
2 เพื่อประกาศปีแห่งความโปรดปรานของพระเจ้า (อิสยาห์ 61:1-2ก)

มีประโยคที่ซ้อนกัน เพราะในลูกา 4:19 พระเยซูทรงหยุด แต่ให้เรามาอ่านต่อ

และวันแห่งการแก้แค้นของพระเจ้าของเรา
เพื่อเล้าโลมบรรดาผู้ที่ไว้ทุกข์
3 เพื่อจัดให้บรรดาผู้ที่ไว้ทุกข์ในศิโยน
เพื่อประทานมาลัยแทนขี้เถ้าให้เขา
น้ำมันแห่งความยินดีแทนการไว้ทุกข์
ผ้าห่มแห่งการสรรเสริญแทนจิตใจที่ท้อถอย
เพื่อคนจะเรียกเขาว่าต้นก่อหลวงแห่งความชอบธรรม
ที่ซึ่งพระเจ้าทรงปลูกไว้เพื่อพระองค์จะทรงสำแดงพระสิริของพระองค์ (อิสยาห์ 2ข-3)

เมื่อ อ่านมัทธิว 5:4 ผมพูดกับตัวเองว่า “คนที่โศกเศร้าคร่ำครวญ แน่นอนต้องมาจากเนื้อหาของพระวจนะตอนนี้” จำบริบทในอิสยาห์ 61 ได้หรือไม่ เรารับรู้เรื่องความบาปของอิสราเอล รับรู้เรื่องการพิพากษาที่จะตกลงมาเหนือชนชาตินี้ และตอนนี้เรากำลังจะได้รู้เกี่ยวกับการช่วยกู้ที่จะมาถึง การปลอบประโลมที่พบคือการปลอบประโลมมาถึงบรรดาคนที่ยอมรับในความบาปของตน ยอมรับการพิพากษาของพระเจ้า เราพูดได้เต็มที่ในแง่นี้ ขณะอิสยาห์มองไปที่ความบาปของอิสราเอลที่ส่งผลในทันที การถูกจับไปเป็นเชลย และการคืนสู่สภาพดี ที่สุดแล้วท่านกำลังมองไปที่ความบาปของมนุษย์ การแบกรับพระอาชญาของพระคริสต์ที่บนกางเขน และการไถ่ที่กำลังมาถึงเราทุกคน นั่นคือคำเทศนาในตัวของมันเอง ต่อไปให้เรามาดูอิสยาห์ 40:1

1 พระเจ้าของเจ้าตรัสว่า จงเล้าโลม จงเล้าโลมชนชาติของเรา
2 จงพูดกับเยรูซาเล็มอย่างเห็นใจ
และจงบอกเมืองนั้นว่า การสงครามของเธอสิ้นสุดลงแล้ว และความบาปผิดของเธอก็อภัยเสียแล้ว
และได้รับโทษจากพระหัตถ์ของพระเจ้าแล้ว เป็นสองเท่าของความบาปผิดของเธอ (อิสยาห์ 40:1-2)

บริบท ตอนนี้คือการลงโทษต่อบาปของอิสราเอลเมื่อตกไปเป็นเชลย แต่ถ้ามองเลยออกไปอีก คือการลงโทษที่ตกลงบนพระเยซูคริสต์ที่บนกางเขน (อิสยาห์ 53) เพื่อให้เกิดการอภัย เพื่อนำสู่การฟื้นฟูคืนมาสู่เรา และประทานพระพรให้แก่เรา กลับไปที่อิสยาห์ 40:3 อีกครั้ง (เป็นถ้อยคำที่ผู้อ่านมัทธิวคุ้นหูกันดี) "จงเตรียมมรรคาแห่งพระเจ้าในถิ่นทุรกันดาร จงทำทางหลวงสำหรับพระเจ้าของเราให้ตรงไปในทะเลทราย..” หมายถึงอะไร? หมายถึงยอห์นผู้ใหบัพติศมา ผู้ไปป่าวร้องถึงการเสด็จมาของพระเมสซิยาห์ ดังนั้นศูนย์กลางของความโศกเศร้าเกี่ยวข้องกับความบาป เกี่ยวข้องกับการพิพากษาของพระเจ้า การปลอบประโลมต้องเป็นการปลอบประโลมที่มาในพระเมสซิยาห์ พระองค์ผู้ทรงแบกรับการลงโทษ และทรงเตรียมการช่วยกู้ และความช่วยเหลือ เพื่อที่สุดแล้วเราจะได้รับการปลอบประโลมในองค์พระเยซู และสิ่งที่พระองค์ทรงเสียสละเพื่อเรา ข้อพิสูจน์แรกถึงความโศกเศร้าในแบบของพระเจ้า แล้ว “พวกผู้เผยพระวจนะ และที่สำคัญกว่านั้นพระเยซูคริสต์ พวกเขาโศกเศร้าในเรื่องอะไร?” พวกเขาคร่ำครวญเพราะความบาป และการปลอบประโลมที่พระกิตติคุณและความรอดจะนำมาให้

B)ความเกี่ยวข้องกันระหว่างความโศกเศร้าและเสียงหัวเราะ อะไรคือสิ่งที่ตรงข้ามกับความโศกเศร้า? สิ่งที่ตรงข้ามกับความโศกเศร้าคือความชื่นชมยินดี ใช่หรือไม่? แต่พระเยซูไม่ได้ตรัสว่า “บุคคลผู้ใดโศกเศร้า ผู้นั้นจะชื่นชมยินดี” มัทธิวไม่ได้บันทึกแบบนั้น พระเยซูตรัสว่าพวกเขาจะได้รับการทรงปลอบประโลม แปลว่าพระองค์ไม่ได้สัญญาว่าความเจ็บปวดจะหายไป พระองค์กำลังบอกว่าในสถานการณ์ที่โศกเศร้านั้น เราจะได้รับการปลอบประโลมเพื่อให้ผ่านไปได้ – เพราะไม่จำเป็นที่เราจะต้องหนีไปจากสาเหตุที่ทำให้โศกเศร้า แต่ให้เราได้พบการปลอบประโลมในองค์พระผู้เป็นเจ้า

อาจมีบางคนพูดว่า “แล้วลูกาล่ะ?” ครับ ผมจึงต้องพูดถึง “เสียงหัวเราะ”

"ท่านทั้งหลายที่อดอยากเวลานี้ก็เป็นสุข เพราะว่าท่านจะได้อิ่มหนำ”
"ท่านทั้งหลายที่ร้องไห้เวลานี้ก็เป็นสุข เพราะว่าท่านจะได้หัวเราะ” (ลูกา 6:21)

ทีนี้มาดูข้อ 25 ในลูกา 6:

"วิบัติแก่เจ้าทั้งหลายที่อิ่มหนำเวลานี้ เพราะว่าเจ้าจะอดอยาก”
"วิบัติแก่เจ้าทั้งหลายที่หัวเราะเวลานี้ เพราะว่าเจ้าจะเป็นทุกข์และร้องไห้” (ลูกา 6:25)

ผม จำได้ว่ามาร์ทิน ลอยด์-โจนส์ พูดถึงประเด็นนี้ไว้ค่อนข้างหนักแน่น (และนับไม่ถ้วนที่ผมได้ยินคนพูดกัน) “พระเยซูนี่มีอารมณ์ขัน” คิดว่าผมเคยพูดไปแล้ว และมันอาจเป็นความจริง แต่มาร์ทิน ลอยด์-โจนส์ กล่าวว่ามีอยู่หลายกรณีที่พระเยซูทรงพระกันแสง แต่เราไม่เห็นมีการบันทึกว่าพระองค์ทรงพระสรวล อย่างน้อยเราควรต้องจำไว้ และระวังให้ดีว่าไม่ควรไปลดคุณลักษณะของความอ่อนโยนและถ่อมสุภาพในชีวิตของ พระองค์ลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพระองค์ทรงตอบสนองต่อความบาป แต่ผมจะเตือนว่าซาตานมีอารมณ์ขันเหลือเฟือ ผมเองก็ชอบเรื่องขำขัน แต่จะบอกว่าซาตานชอบพลิกความจริงกลับด้าน มันต้องการให้เราหัวเราะทั้งๆที่เราควรโศกเศร้า

ผมจะเล่าเรื่องท่าที ของผมตอนไปงานไว้อาลัยของคุณครูเดวิดสันให้ฟัง ผมพยายามหัวเราะเพราะไม่อยากจะโศกเศร้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนๆอยู่กันที่นั่น ผมจะดูเป็นอย่างไรถ้าต้องเช็ดน้ำตา ต้องแสดงความโศกเศร้าแก่คุณครูที่จากไป? ผมพบการปลอบใจในอารมณ์ขัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง แต่ซาตานอยากให้เราเป็นแบบนั้น ในหนังสือสุภาษิตกล่าวว่า “คนโง่เยาะเย้ยความบาป” แต่การเยาะเย้ยมีมากกว่านั้น ทำให้ผมคิดถึงฮามในปฐมกาลบทที่ 9 มันยากที่จะเจาะในรายละเอียดของเหตุการณ์นั้น แต่ภาพรวมคือโนอาห์ทำไร่และทำสวนองุ่น และเมื่อทำเหล้าองุ่นท่านก็ดื่มจนเมามาย นอนเปลือยกายไม่รู้ตัวอยู่ในเต็นท์ เผอิญฮามโผล่เข้าไปเห็น (คานาอันน่าจะมีส่วนในเรื่องนี้ เพราะคำสาปแช่งตกที่เขา) สิ่งหนึ่งที่เราเห็นได้ชัดเจนคือฮามไม่ได้มีท่าทีที่สุภาพและให้เกียรติบิดา อย่างสมควร และน่าจะไม่สบายใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมคิดว่าเขาอาจจะยืนมองแล้วเรียกพี่น้องมา “มา มาดูสิ” แต่พี่และน้องกลับเดินถอยหลังเข้าไป เอาผ้าไปคลุมร่างที่เปลือยอยู่ของบิดา โดยไม่คิดแม้แต่จะมองดู

ผมอยากบอกว่าในทุกวันนี้มีการหัวเราะมากมาย ต่อความบาป และซาตานชอบใจ เราควรต้องโศกเศร้าต่อบาปและผลที่จะเกิดตามมา แต่เรากลับหัวเราะขำกัน ขอยกตัวอย่างให้ฟัง ผมไม่ค่อยดูรายการทอล์คโชว์ตอนดึกมากนัก แต่บอกได้ว่าเท่าที่ดูผ่านๆ มีการหัวเราะสนุกสนานต่อสิ่งที่ไม่สมควรนำมาหัวเราะ บางทีภาพยนตร์ หรือละครโทรทัศน์ ถ้าเราเป็นพ่อแม่ เราอาจตกใจพูดว่า “ตายแล้ว ดาราคนนี้เล่นเป็นผู้หญิง ที่จริงก็ตลกดี แต่ไม่ควรเป็นรายการที่อนุญาตให้เด็กดู” แต่ทราบหรือไม่ ผู้กำกับเก่งมากที่สร้างเรื่องราวและสีสันจนทำให้คนขำได้ทั้งๆที่มันไม่ถูก ต้อง?” ไม่ว่าจะเป็นชายแต่งหญิง หรือหญิงปลอมเป็นชาย มันเป็นการบิดเบือนหรือไม่ครับ? ทุกคนดูแล้วสนุกสนานเพราะพวกเขาไม่เห็นว่ามันผิดที่ตรงไหน

ความเป็น จริงคือซาตานมีชัยชนะเพราะเราหัวเราะต่อความบาปได้ ทั้งๆที่เราควรโศกเศร้า สิ่งนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ว่าจะเป็นตลกลามกทั้งภาพหรือเรื่องเล่า ถ้าซาตานมันทำให้เราหัวเราะต่อบาปได้แต่แรก เราก็กำลังก้าวลงไปตามเส้นทางนั้น – ก้าวยาวๆลงไปตามหนทางที่ยอมรับในความบาป ผมจึงอยากย้ำกับพวกคุณ เราต้องระมัดระวังมากๆ ที่ผมพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะลูกาเปิดประตูไว้ เตือนเราให้ระวังเรื่องความคึกคะนองที่เกี่ยวกับความโศกเศร้า บางทีการหัวเราะอาจปลดปล่อยสิ่งที่เราไม่ควรรู้สึกดีเกี่ยวกับมัน แต่เป็นสิ่งที่เราควรรู้สึกเศร้าใจ

C)เป็นความรู้สึกสูญเสีย หรือได้มา? ผมได้อธิบายเรื่องความโศกเศร้าว่าเป็นการสูญเสียที่จมลึก มีพระวจนะหลายตอนที่ชี้ไปในทิศทางนั้น ตัวอย่างเช่น ดาวิดโศกเศร้าถึงลูกชาย อับซาโลมที่ตายจากไป โยอาบพยายามบอกกับท่านว่า “ดาวิด ท่านกำลังเสียจุดยืน วันนี้ไม่ใช่เป็นวันแห่งความโศกเศร้า แต่เป็นวันที่ต้องเฉลิมฉลอง ท่านเกือบจะสูญเสียอาณาจักรและราชบัลลังก์ไปแล้ว และถ้าไม่ตั้งสติให้ดี อาจต้องเสียไปจริงๆ ตอนนี้เมื่อท่านได้อาณาจักรกลับคืนมา แม้มีการสูญเสียบ้าง จงเปลี่ยนมุมมองใหม่ จริงๆแล้วนี่คือการสูญเสียหรือได้มา?” ซามูเอลโศกเศร้าเพราะสูญเสียซาอูลใน 1ซามูเอล 15:35: แต่ซามูเอลได้โศกเศร้าเพราะซาอูล” พระ เจ้าเหมือนกำลังบอกซาอูลว่า “เจ้าต้องพิจารณาให้ดีๆ” เป็นการสูญเสียของอิสราเอลหรือที่ขาดซาอูลไปแล้วได้ดาวิดมา? เป็นการสูญเสียจริงหรือ? ซามูเอลเป็นผู้เผยพระวจนะที่เจิมตั้งดาวิด นี่เป็นการสูญเสียหรือได้มาครับ?

ความโศกเศร้าที่เหมาะสมคือรู้สึกสูญ เสียแทนที่จะรู้สึกว่าได้รับมา สิ่งที่น่าสนใจใน 1ซามูเอล 16 คือเมื่อพระเจ้าสั่งให้ซามูเอลไปเจิมตั้งดาวิด สิ่งแรกที่ซามูเอลตอบคือ "ข้าพระองค์จะไปอย่างไรได้ ถ้าซาอูลได้ยิน เขาคงฆ่าข้าพระองค์เสีย" คือถ้าซาอูลรู้เข้า จะมาฆ่าท่านแน่ คุณคงอยากพูดว่า "แล้วยังไงล่ะซามูเอล รู้สึกว่าสูญเสียมากหรือ? ในเมื่อคนที่ท่านกำลังโศกเศร้าถึงคือคนที่จะมาฆ่าท่านถ้าท่านไปเจิมตั้ง กษัตริย์องค์ใหม่?” ผมว่าท่านคงกำลังเสียศูนย์

คิดถึงฟีลิปปี 3 ที่ อ.เปาโลกล่าว แต่ว่าสิ่งใดที่เคยเป็นคุณประโยชน์แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าถือว่าสิ่งนั้นไร้ประโยชน์แล้ว” สิ่ง ที่ครั้งหนึ่งท่านเคยมอง – ระบอบฟาริสี ตำแหน่งที่เคยครอง สิทธิและอำนาจที่เคยมี – เดี๋ยวนี้ท่านเข้าใจแล้ว มันเป็นแค่ข้อด้อยของท่าน เป็นสิ่งที่ท่านต้องละทิ้ง ซาตานมีวิธีพลิกแพลงสิ่งต่างๆ ดูเรื่องการล่อลวง เมื่อซาตานล่อลวง มันจะบอกคุณว่าคุณมีแต่ได้ คุณจะเป็นเหมือนพระเจ้า รู้ผิดชอบชั่วดี จะช่วยรักษาชีวิตตัวเองไว้ คุณจะได้ทำงานเพื่อพระเจ้า ซาตานจะนำเสนอสิ่งที่คุณกำลังจะสูญเสียว่าเป็นสิ่งที่คุณกำลังจะได้มา และความเป็นจริงคือทุกครั้งที่มนุษย์พ่ายแพ้ต่อการล่อลวงของมาร พวกเขามีแต่สูญเสียครับ

อีกเรื่องที่ต้องสังเกตุให้ดีคือจุดพลิกผัน ของการสูญเสียและการได้มา วัยรุ่นสมัยนี้รู้สึกว่าพรหมจารีเป็นเรื่องน่าอาย เป็นเรื่องที่ต้องจัดการ ไม่ใช่สิ่งสวยงาม หรือสิ่งยอดเยี่ยมที่พวกเขาจะได้ถวายเกียรติพระเจ้าและมอบให้คู่สมรสในวัน แต่งงาน กลับมองว่าเป็นเรื่องน่าอายที่ต้องรีบจัดการในทันที ซาตานพลิกข้างจากสูญเสียให้เป็นได้มา — ความอ่อนน้อม มีเอกลักษณ์เฉพาะ และอื่นๆอีกหลายอย่าง เราพบอะไรในวัฒนธรรมของวัยรุ่น? กระแสที่ใครๆเขาก็ทำกัน เราสลัดความเป็นเอกลักษณ์ทิ้งไปราวกับเป็นเชื้อโรคร้าย เมื่อพระเจ้าเรียกเราให้มามีเอกลักษณ์ มีความต่าง เป็นเกลือและเป็นความสว่างในฐานะผู้เชื่อ เรากลับสลัดทิ้งไปเพราะเราต้องการเข้าได้กับวัฒนธรรมที่กำลังเป็นอยู่

D)ความอ่อนน้อม หรือความอัปยศ vs. ความเย่อหยิ่ง และความภูมิใจ ใน 1โครินธ์ 5:1-2 อ.เปาโลกล่าวว่า:

1 มีข่าวเล่าลือว่า ในพวกท่านมีการผิดประเวณี และการผิดนั้นถึงแม้ในพวกต่างชาติก็ไม่มีเลย คือเรื่องมีว่า คนหนึ่งได้เอาภรรยาของบิดามาเป็นเมียของตน 2 และพวกท่านยังผยองแทนที่จะเป็นทุกข์เป็นร้อน (1โครินธ์ 5:1-2ก)

“คุณ ควรรู้สึกเศร้าใจหรือไม่?” และคริสตจักรที่นั่นกลับนั่งนิ่งหยิ่งผยอง ความโศกเศร้าของเราเป็นความสำนึกหรือความอัปยศ? พูดถึงความอัปยศ คนโศกเศร้าควรดูเป็นอย่างไร? ย่ำแย่ดูไม่ได้ ฉีกเสื้อผ้า เอาขี้เถ้าโรยหัว ไม่น่าดูเลย คุณคงไม่ได้ขึ้นหน้าแฟชั่นเมื่อคุณกำลังโศกเศร้า เพราะเมื่อคุณโศกเศร้า คุณดูไม่ดีเลย คุณไม่พยายามทำให้ดูดีด้วย คุณกลับถ่อมลง และสำนึกด้วยความโศกเศร้า แต่ซาตานอยากให้เราทำตรงข้าม เมื่อคุณมองไปที่ความโศกเศร้าในคำเทศนาบนภูเขา พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีทำอย่างไรเมื่อโศกเศร้า? พวกเขาจะเดินไปมานุ่งห่มผ้าขี้ริ้ว มีฝุ่นเลอะทั้งตัว อาจมีฝุ่นบ้าง แต่นั่นเป็นสัญลักษณ์ที่พวกเขาภูมิใจสวมใส่ราวกับเป็นเหรียญแห่งเกียรติยศ ดังนั้นในความโศกเศร้า เราควรต้องแสดงความถ่อม สำนึกผิดและรู้สึกอับอายเพราะความบาปหรือไม่?

ในโรม 1:32 จะพูดว่ายังไง มันน่าขันเมื่อคุณไต่บันไดลงไปถึงขั้นสุดท้าย อ.เปาโลกล่าวว่า เขาก็ไม่เพียงประพฤติเท่านั้น แต่ยังเห็นดีกับคนอื่นที่ประพฤติเช่นนั้นด้วย” มอง ไปที่ฮอลลีวู้ดครับ - ไม่ใช่แค่ฮอลลีวู้ดเท่านั้น - พวกเขาสวมใส่ความบาปอย่างภาคภูมิใจ พวกเขาไม่เพียงแต่ทำบาปในห้องมืดลับตาคน แต่กลับทำในที่สาธารณะ และภาคภูมิใจด้วย บางครั้งกลับเป็นงานที่ขายได้ มีคนสนใจ

E)สุดท้าย ความโศกเศร้าก่อให้เกิดการกลับใจหรือไม่? ถ้า เป็นความโศกเศร้าแท้จริง ตามการประเมินของผม เป็นสิ่งที่นำไปถึงและเป็นแรงจูงใจที่ทำให้เกิดการกลับใจ เป็นเงื่อนไขสู่การกลับใจ ถ้ากลับใจหมายถึงหยุดและหมุนตัวกลับ สำหรับผมหมายถึงเราต้องยอมรับว่าสิ่งแรกที่มองเห็น ไม่ใช่แค่ทางที่กำลังมุ่งไปนั้นผิด แต่มันน่าเกลียดน่ากลัว และเป็นบางสิ่งที่เราต้องเกลียดชัง เหมือนเราอยู่บนถนนมุ่งหน้าไปที่ชายหาด พอเข้าไปใกล้ๆถึงเห็นว่าเป็นทางไปโรงงานกำจัดขยะ แล้วคุณบอกกับตัวเอง “อี๊ย ไม่ได้อยากไปที่นั่น ต้องหันหลังกลับ” แต่ถ้าคุณชอบสิ่งที่เห็นตรงปลายถนน คุณก็จะไปต่อเรื่อยๆ ความโศกเศร้าจึงเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นที่คุณตระหนักได้ ไม่ใช่แค่ปัญญา เป็นกระบวนการความคิดที่บอกว่า “พระเจ้าเรียกว่าบาป” ตัวคุณและอารมณ์ของคุณเกลียดชังจนต้องหันกลับ ไม่ไปต่อ ใน 2โครินธ์ 7:5-10 กล่าวว่า:

5 เพราะแม้ว่าเมื่อเรามาถึงแคว้นมาซิโดเนียแล้ว ร่างกายของเราไม่ได้พักผ่อนเลย เรามีความลำบากอยู่รอบข้าง ภายนอกมีการต่อสู้ ภายในมีความกลัว 6 แต่ถึงกระนั้นก็ดี พระเจ้าผู้ทรงหนุนน้ำใจคนที่ท้อใจ ได้ทรงหนุนน้ำใจของเรา โดยทรงให้ทิตัสมาหาเรา 7 และมิใช่เพียงการมาของทิตัสเท่านั้น แต่โดยการที่ท่านได้หนุนน้ำใจทิตัสด้วย ตามที่ทิตัสได้มาบอกข้าพเจ้าถึงความอาลัยและความโศกเศร้าของท่าน และใจจดจ่อของท่านที่มีต่อข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้ามีความชื่นชมยินดีมากยิ่งขึ้น 8 เพราะถึงแม้ว่าข้าพเจ้าจะได้ทำให้ท่านเสียใจเพราะจดหมายฉบับนั้น ข้าพเจ้าก็ไม่เสียใจ ถึงแม้ว่าเมื่อก่อนนี้ ข้าพเจ้าจะเสียใจบ้างเพราะข้าพเจ้าเห็นว่า จดหมายฉบับนั้นทำให้ท่านมีความเสียใจเพียงชั่วขณะเท่านั้น 9 แต่บัดนี้ข้าพเจ้ามีความชื่นชมยินดี มิใช่เพราะท่านเสียใจ แต่เพราะความเสียใจนั้นทำให้ท่านกลับใจใหม่ เพราะว่าท่านได้รับความเสียใจอย่างที่ชอบพระทัยพระเจ้า ท่านจึงไม่ได้ผลร้ายจากเราเลย 10 เพราะว่าความเสียใจอย่างที่ชอบพระทัยพระเจ้า ย่อมกระทำให้กลับใจใหม่ ซึ่งนำไปถึงความรอดและไม่เป็นที่น่าเสียใจ แต่ความเสียใจอย่างโลกนั้นย่อมนำไปถึงความตาย (2โครินธ์ 7:5-10)

มี ความโศกเศร้าในแบบโลกที่ไม่ได้ก่อให้เกิดความชอบธรรม ผมไม่ได้หมายถึงความโศกเศร้าของเรา เป็นความโศกเศร้าคนละแบบกับของพระเจ้า นั่นคือความเห็นแก่ตัว คุณจะพบว่าบางคนโศกเศร้าจนกลายเป็นคนที่คิดแต่เรื่องของตัวเอง พวกเขาคิดถึงแต่ตัวเองเมื่อมองเข้าไปภายในตัวเองในสิ่งที่สูญเสียไป ยิ่งโศกเศร้าเท่าไร ยิ่งคิดถึงแต่ตัวเองเท่านั้น ความโศกเศร้าที่เรากำลังพูดถึงคือเมื่อคุณตระหนักได้ในอารมณ์ และในสติปัญญาถึงความน่าเกลียด และความสกปรกของบาป คุณจะหันหลังกลับ หันกลับมาหาพระคริสต์ เพื่อรับการปลอบประโลมที่พระองค์ผู้เดียวเท่านั้นให้ได้

บทสรุป

ความโศกเศร้าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต สังเกตุดู "บุคคลผู้ใดโศกเศร้า ผู้นั้นเป็นสุข” เป็นประโยคปัจจุบันกาล และดำเนินต่อ ไม่ได้เจาะจงเฉพาะบางคน หรือบางช่วงเวลาที่เผชิญกับความโศกเศร้า แต่เป็นสิ่งที่ดำเนินไป ซึ่งสอดคล้องกับโรม 8:18 เมื่อ อ.เปาโลพูดถึงการคร่ำครวญและเผชิญความทุกข์ยากของชีวิต ที่เป็นอยู่เพราะเราเป็นส่วนหนึ่งในโลกที่ล่มสลาย พี่น้องครับ เราต้องไม่ลืมคำเตือนสอน ผมกลัวแทนคนอื่นๆและกลัวว่าตัวเองจะคุ้นชินกับบาป กลายเป็นเรื่องคุ้นเคย เช่นการทำแท้ง หรือสงครามในที่ต่างๆ จำนวนคน ... ที่ถูกฆ่าตาย และยังดำเนินต่อไป ทำให้เราเริ่มคุ้นเคย เลิกโศกเศร้าอย่างแรกๆที่เกิดขึ้น บางสิ่งผิดปกติแล้วครับ ความโศกเศร้าควรเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ดำเนินไป อย่างที่ อ.เปาโลพูดไว้ในโรมบทที่ 8

มาพิจารณาเรื่องสุดท้ายกัน ความโศกเศร้าเป็นการตอบสนองที่เหมาะสมต่อความบาป และการสำแดงความโศกเศร้าที่สมควรคือการสำนึกผิด แต่เหรียญยังมีอีกด้าน ขณะที่ความโศกเศร้าเป็นสิ่งสมควรต่อความบาป การนมัสการเป็นสิ่งที่สมควรต่อพระเจ้าผู้ทรงสมบูรณ์ครบถ้วน เป็นเรื่องผิดที่มีประสบการณ์เผชิญหน้ากับความบาปและไม่รู้สึกโศกเศร้า แต่ก็เป็นเรื่องผิดด้วยเมื่อเข้าเฝ้าจำเพาะพระพักตร์ของพระเจ้าผู้ทรงสม บูณณ์พร้อมแล้วไม่นมัสการพระองค์ แต่ที่น่าสนใจ เพราะเมื่อเรากำลังพูดถึงความโศกเศร้า แต่มาพร้อมกับเรื่องความปิติและความชื่นชมยินดี แล้วคุณพูดว่า “เป็นโรคจิตหรือเปล่า?” คุณรู้คำตอบหรือไม่? อาจใช่ อย่าลืมว่า “จงร้องไห้กับผู้ที่ร้องไห้ และจงชื่นชมยินดีกับผู้ที่ชื่นชมยินดี” ทั้งสองสิ่งนี้ไปด้วยกัน และที่เป็นความเป็นจริงคือ ที่ผมเข้าใจ เราคงไม่ชื่นชมยินดีและสรรเสริญพระเจ้าอย่างที่ควรเป็น เว้นเสียแต่ความโศกเศร้าที่ตอบสนองต่อความบาป ความโศกเศร้าของเราเพราะความบาป คือสิ่งที่ทำให้เราชื่นชมยินดีได้ยิ่งกว่า เพราะการช่วยกู้นำเราพ้นจากผลโทษของความบาป และเมื่อถึงเวลาที่เราเข้าเฝ้านมัสการพระเจ้า ผมอยากบอกคุณว่า “อย่าสูญเสียมิติของความโศกเศร้าไป แต่เมื่อเราคิดถึงพระเจ้า เป็นการสมควรยิ่งที่เราจะสรรเสริญและชื่นชมยินดีในพระองค์”


1 159 เป็นต้นฉบับของบทเรียนต่อเนื่องของ “พระกิตติคุณมัทธิว” จัดทำโดย Robert L. Deffinbaugh 4 พฤษภาคม 2003

2 160 นอกจากที่กล่าวไปแล้ว พระวจนะที่นำมาอ้างอิงทั้งหมดมาจาก NET Bible (The NEW ENGLISH TRANSLATION) เป็น ฉบับแปลใหม่ทั้งหมด ไม่ใช่นำฉบับเก่าในภาษาอังกฤษมาเรียบเรียงใหม่ ใช้ผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการพระคัมภีร์มากกว่า ยี่สิบคน รวบรวมข้อมูล ทั้งจากภาษาฮีบรูโดยตรง ภาษาอาราเมข และภาษากรีก โครงการแปลนี้เริ่มมาจากที่เราต้องการนำ พระคัมภีร์ เผยแพร่ผ่านสื่ออีเลคโทรนิค เพื่อรองรับการใช้งานทางอินเตอร์เน็ท และซีดี (compact disk) ที่ใดก็ตามในโลก ที่ต่อเข้าอินเตอร์เน็ทได้ ก็สามารถเรียกดู และพริ้นทข้อมูลไว้เพื่อใช้ศึกษาเป็นการส่วนตัวได้โดยไม่คิดมูลค่า นอกจากนี้ ผู้ใดก็ตาม ที่ต้องการนำข้อมูลเกี่ยวกับพระคัมภีร์ไปเผยแพร่ต่อโดยไม่คิดเงิน สามารถทำได้จากเว็บไซด์ : www.netbible.org.

3 161 WWJD เป็นอักษรย่อของ “What Would Jesus Do?” พระเยซูจะทำอย่างไร? วัยรุ่นหลายคนนำอักษรย่อนี้ไปทำสร้อยคอใส่กัน

Related Topics: Suffering, Trials, Persecution

11. “บุคคลผู้ใดหิวกระหาย ความชอบธรรม” (มัทธิว 5:6)

Related Media

1คำนำ

“บุคคลผู้ใดหิวกระหายความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงให้อิ่มบริบูรณ์” (มัทธิว 5:6)2

อีกครั้งที่ บทเรียนคำเทศนาบนภูเขาตอนนี้ด้วยข้อเขียนของ มาร์ทิน ลอยด์-โจนส์:

ขอเริ่มคำเทศนาบนภูเขาเป็นไปตามหลักการที่สมเหตุสมผล และสอดคล้องจากที่มีนำร่องมาก่อน เป็นบทสรุปตามตรรกะที่ดำเนินตามกันมา และเป็นบางสิ่งที่เราควรต้องขอบคุณอย่างซาบซึ้งต่อพระคุณของพระเจ้า ผมไม่รู้จักบททดสอบไหนที่ดีกว่า ที่ใครก็ตามสามารถนำมาใช้กับตนเองในความเป็นคริสเตียนเท่ากับพระวจนะข้อนี้ ถ้าพระวจนะข้อนี้เป็นหนึ่งในข้อที่คุณได้รับพระพรมากจากพระคัมภีร์ แน่ใจได้ว่าคุณเป็นคริสเตียนแท้ ถ้าไม่ คุณควรกลับไปสำรวจรากฐานชีวิตคริสเตียนของคุณอีกครั้ง3

พระวจนะสั้นๆตอนนี้นำข่าวแห่งความหวังใจมาให้เราอย่างเหลือเชื่อ เป็นข่าวที่ควรจุดประกายแห่งความปิติล้ำลึกในเราผู้เชื่อทุกคน เป็นความหวังแก่คนที่แสวงหาพระเยซูที่จะได้รับความอิ่มใจเต็มเปี่ยมที่มีแต่ ในองค์พระเยซูคริสต์เท่านั้น

ในแง่มุมหนึ่ง เราต่างก็มีส่วนสัมผัสกับพระวจนะตอนนี้ – เราหิวกระหาย เราไม่อาจสัมผัสได้ถึงความหิวกระหายลึกล้ำของคนในยุคนั้น ในสิ่งที่พวกเขากำลังเผชิญ แต่เราต่างมีประสบการณ์ความหิวกระหายที่ต้องการการเติมเต็ม แล้วก็กลับมาหิวใหม่ กลับมาใหม่ทุกๆวัน ผมจำได้ตอนที่อยากกินอาหารบางอย่าง ทั้งหิวและกระหายบอกไม่ถูก นึกถึงเวลาไปประเทศที่ไม่คุ้นเคย เช่นตอนไปเดินป่าหกวันในเขตอิเรียนชวาในอินโดนีเซีย เรามีแค่หมี่อินโดกิน เป็นหมี่กึ่งสำเร็จรูปเหมือนราเม็ง หลังจากหกวัน ผมมีภาพแฮมเบอร์เกอร์ สเต็ก และอาหารอื่นๆลอยไปมาในหัว ผมหิวและอยากกินอาหารแบบนี้จริงๆ ครั้งหนึ่งตอนกลับจากรัสเซีย ทีมพันธกิจของเราต้องพักค้างคืนที่กรุงโซล ประเทศเกาหลี เราถามนักเรียนที่ไปด้วยว่าอยากกินอะไรเป็นอาหารเที่ยง คิดว่าพวกเขาอาจอยากลองอาหารชั้นเลิศของเกาหลี แต่พวกเขากลับยืนยันจะกินแมคโดนัลด์และไอศครีมบาสกินรอบบินส์เท่านั้น เพราะไม่ได้กินอาหารอเมริกันมาหกสัปดาห์เต็ม พวกเขาเบื่ออาหารที่ไม่คุ้นลิ้น และกระหายหาอาหารที่ไม่ได้กินมาพักใหญ่ เราต่างก็คุ้นเคยกับเรื่องหิวกระหายดี และนี่คือสิ่งที่พระเยซูนำมาใช้อธิบายในคำเทศนาบนภูเขาตอนนี้

ให้เราอ่านบริบทจาก มัทธิว 5:1-12

ครั้นทอดพระเนตรเห็นคนมากดังนั้น พระองค์ก็เสด็จขึ้นไปบนภูเขาและเมื่อประทับแล้ว เหล่าสาวกของพระองค์มาเฝ้าพระองค์ แล้วพระองค์จึงตรัสสอนเขาว่า:

3 “บุคคลผู้ใด รู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข
เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา
4 “บุคคลผู้ใดโศกเศร้า ผู้นั้นเป็นสุข
เพราะว่าเขาจะได้รับการทรงปลอบประโลม
5 “บุคคลผู้ใดมีใจอ่อนโยน ผู้นั้นเป็นสุข
เพราะว่าเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก
6 “บุคคลผู้ใดหิวกระหาย ความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข
เพราะว่าพระเจ้าจะทรงให้อิ่มบริบูรณ์
7 “บุคคลผู้ใดมีใจกรุณา ผู้นั้นเป็นสุข
เพราะว่าเขาจะได้รับพระกรุณาตอบ
8 “บุคคลผู้ใดมีใจบริสุทธิ์ ผู้นั้นเป็นสุข
เพราะว่าเขาจะได้เห็นพระเจ้า
9 “บุคคลผู้ใดสร้างสันติ ผู้นั้นเป็นสุข
เพราะว่าพระเจ้าจะทรงเรียกเขาว่าเป็นบุตร
10 “บุคคลผู้ใดต้องถูกข่มเหงเพราะเหตุความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข
เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา

“เมื่อเขาจะติเตียนข่มเหง และนินทาว่าร้ายท่านทั้งหลายเป็นความเท็จเพราะเรา ท่านก็เป็นสุข จงชื่นชมยินดี เพราะว่าบำเหน็จของท่านมีบริบูรณ์ในสวรรค์ เพราะเขาได้ข่มเหงผู้เผยพระวจนะทั้งหลาย ที่อยู่ก่อนท่านเหมือนกัน (มัทธิว 5:1-12)

ข่าวประเสริฐแห่งความหวังใจ!

ทำไมความหิวและกระหายจึงเป็นภาพสาธิตได้อย่างดี? เพราะน้ำและอาหารสำคัญต่อร่างกายอย่างไร ความชอบธรรมก็สำคัญต่อชีวิตฝ่ายวิญญาณเท่านั้น เราที่เป็นมนุษย์มีความหิวและกระหายไม่เพียงแต่อาหาร แต่ยังหิวกระหายความพอใจในชีวิตด้วย เราค้นหาส่วนต่างๆเพื่อจะได้รับการเติมเต็ม ได้รับความอิ่มใจ แต่กลับจบลงด้วยความผิดหวัง ไม่เคยพอใจ

11 พระองค์ทรงกระทำให้สรรพสิ่งงดงามตามฤดูกาลของมัน พระองค์ทรงบรรจุนิรันดร์กาลไว้ในจิตใจของมนุษย์ แต่มนุษย์ยังมองไม่เห็นว่า พระเจ้าทรงกระทำอะไรไว้ตั้งแต่ปฐมกาลจนกาลสุดปลาย (ปัญญาจารย์ 3:11)

จอห์น ไพเพอร์ กล่าวว่า: “พระเจ้าทรงใส่นิรันดร์กาลไว้ในหัวใจของเรา และเรามีความโหยหาที่ไม่อาจเติมเต็มได้”4 เบลส พาสคาล กล่าวว่าเราต่างก็มี ช่องว่างของพระเจ้า” อยู่ในชีวิต มนุษย์ทุกคนหิวและกระหาย แต่ปัญหาคือเราพยายามเติมช่องว่างที่กระหายนั้นด้วยสิ่งอื่นๆที่ไม่ใช่ความ ชอบธรรมของพระเจ้า คุณบางคนที่กำลังอ่านพระวจนะตอนนี้ อาจมีความว่างเปล่าและไม่เคยมีความพอใจเลย คุณพยายามเติม “ช่องว่างของพระเจ้า” ในชีวิตด้วยสิ่งสารพัด แต่ก็ยังว่างเปล่า ไม่เคยอิ่มใจ มีข่าวล้ำเลิศแห่งความหวังใจให้คุณ ถ้าคุณกำลังแสวงหาคำตอบ

1 “เชิญทุกคนที่กระหาย จงมาถึงน้ำ และผู้ที่ไม่มีเงิน มาซื้อกินเถิด มาซื้อเหล้าองุ่นและน้ำนมเถิด โดยไม่ต้องเสียเงินเสียค่า 2 ทำไมเจ้าจึงใช้เงินของเจ้าเพื่อของซึ่งไม่ใช่อาหาร และใช้ทรัพยากรซื้อสิ่งซึ่งมิให้อิ่มใจ จงเอาใจใส่ฟังเรา และรับประทานของดี และให้ตัวปีติยินดีในไขมัน (อิสยาห์ 55:1-2)

11 มีประชาชาติใดเคยได้เปลี่ยนพระของตน ถึงแม้ว่าพระเหล่านั้นไม่เป็นพระ แต่ประชากรของเราได้เอาศักดิ์ศรีของเขา แลกกับสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์อย่างใด” 12 พระเจ้าตรัสว่า “สวรรค์ทั้งหลายเอ๋ย จงตกตะลึงด้วยสิ่งเหล่านี้ จงสยดสยองและจงเริศร้างเสียเลย 13 เพราะว่าประชากรของเราได้กระทำ ความชั่วถึงสองประการ เขาได้ทอดทิ้งเราเสีย ซึ่งเป็นแหล่งน้ำเป็น แล้วสกัดหินขังน้ำไว้สำหรับตนเอง เป็นแอ่งแตกที่ขังน้ำตาย ซึ่งขังน้ำไม่ได้ (เยเรมีย์ 2:11-13)

พระวจนะสองตอนด้านบนมีพลังมาก เรากำลังจ่ายเงินของเราไปในสิ่งที่ไม่อาจทำให้อิ่มใจ เรากำลังดื่มจากบ่อที่ขังน้ำไว้ไม่ได้ ความอิ่มใจของเราไม่อาจเติมได้ด้วยสิ่งของๆโลกนี้ เราพยายามเติมความพอใจด้วยเงินทอง อำนาจ การศึกษา เรื่องเพศ ภาพโป๊ คนรักทั้งชายและหญิง ของเล่นแบบผู้ใหญ่ ได้ครอบครองทรัพย์สินของโลกที่อาจทำให้เรามีความสุขเพลิดเพลินได้เพียงชั่ว คราว แต่ทุกสิ่งเหล่านี้นำไปสู่ความกระหายที่ลึกลงไปอีก โหยหาความอิ่มใจ เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่อาจดับความกระหายเราได้ ซี เอส ลูวิส กล่าวว่า:

เราเป็นสิ่งทรงสร้างที่มีหัวใจครึ่งเดียว วิ่งวนไปมา มึนเมาด้วยเหล้า เรื่องเพศ และความทะเยอทะยาน ทั้งๆที่มีผู้หยิบยื่นความอิ่มเอิบใจไม่รู้จบให้ เหมือนเด็กไม่ประสาที่อยากเล่นดินโคลนอยู่ในสลัม เพราะนึกไม่ออกว่าการได้ไปเที่ยวพักร้อนที่ชายทะเลเป็นอย่างไร เราเป็นพวกที่หลงไหลอะไรๆได้ง่ายดาย157

เป็นถ้อยคำจาก ซีเอส ลูวิสที่มีพลังมาก เราที่เป็นมนุษย์ เป็นพวกที่หลงไหลอะไรๆได้ง่ายดาย เราวิ่งวุ่นไปมาด้วยหลายสิ่งที่ไม่เคยให้ความพอใจ สิ่งที่ไม่สามารถและไม่อาจเติมช่องว่างและความว่างเปล่าในชีวิตได้ ทั้งหมดเป็นเพราะเราหลงไหลอะไรๆได้ง่ายดาย เราคิดว่าสิ่งของๆโลกจะทำให้เราอิ่มใจ แต่กลับจบลงที่ไม่เคยได้ตามใจปรารถนา และส่วนใหญ่เป็นเพราะเราแสวงหาสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ความชื่นชมยินดีที่เสนอให้เรา สันติสุขที่มอบให้เรา ความอิ่มเอิบใจที่มีให้เรา เป็นสิ่งเหลือเชื่อถ้าเพียงแต่เรายึดเอาองค์พระเยซูคริสต์และข้อเสนอของ พระองค์เท่านั้น

อีกตัวอย่างที่ยิ่งใหญ่สำหรับเรื่องนี้คือบุตรน้อยหลงหายในลูกา 15:11-32 บุตรคนเล็กเอามรดกที่พ่อแบ่งให้ ออกจากบ้านไปอยู่เมืองไกล ล้างผลาญมรดกที่พ่อให้ อยู่อย่างหรูหราฟุ่มเฟือย ไม่เคยพอใจ จนเงินทองหมดสิ้น เขาเป็นพวกหลงไหลอะไรๆได้ง่ายดาย โง่พอที่จะคิดว่าชีวิตคือสิ่งเหล่านี้ แต่ไม่เป็นอย่างนั้น ตอนที่มีเงินเยอะ เพื่อนก็เยอะและมีปาร์ตี้เยอะ แต่เมื่อเงินหมด เพื่อนก็หมด ถึงจุดนี้ เขาเริ่ม “ดิ่งลง” อย่างแรง ต้องไปอาศัยเลี้ยงหมูและกินอาหารหมู มาร์ทีน ลอยด์-โจนส์ นำคำของ เจ เอ็น ดาร์บี้มาพูดถึง:

แค่หิวกระหายยังไม่พอ คงต้องอดอยากจนใกล้ตายถึงจะรู้ว่าหัวใจเขาเป็นอย่างไร เมื่อบุตรน้อยหิวโหย ต้องไปกินแกลบ แต่เมื่อหิวจัดจนใกล้ตาย ต้องกลับไปหาบิดาของตน158

ในมัทธิว 5:6 พระเยซูไม่ได้ตรัสถึงความหิวกระหายตามปกติ แต่ตรัสถึงความหิวในความชอบธรรมจนแทบจะใกล้ตาย

นึกภาพผู้ฟังที่นั่งฟังพระเยซูอยู่ที่นั่น เป็นชาวกาลิลี ซึ่งไม่เป็นที่ชอบใจของชาวยิวกลุ่มอื่นๆ เป็นพลเมืองชั้นต่ำ ถูกมองเหมือนกับที่ชาวยิวมองชาวสะมาเรีย คุณอาจจำสิ่งที่ผมพูดไว้ในบทเรียนก่อนหน้าที่เรียกว่า “ทฤษฎีผกผัน”159 ได้ อยากให้คุณกลับไปดูสิ่งที่ผมอธิบายถึงชาวกาลิลี

มองไปที่ฝูงชนที่ห้อมล้อมพระเยซู คุณคิดว่าพวกเขามองเรื่องความชอบธรรมเป็นอย่างไร? ผมรับรองว่ามุมมองเรื่องความชอบธรรมของพวกเขาน่าจะแฉลบออกไปจนถึงขั้นผิด พลาด เพราะฝีมือของพวกผู้นำศาสนาที่นำเสนอจนผิดเพี้ยน เมื่อได้อ่านและศึกษามัทธิว 5:6 คุณต้องมองข้ามไปที่มัทธิว 5:20 เพื่อจะเห็นการเชื่อมโยงของพระเยซู มุมมองในเรื่องความชอบธรรมของคนเหล่านี้เป็นมุมมองที่ผิด พระเยซูกำลังแก้ไขมุมมองพวกเขาใหม่ แสดงให้พวกเขาเห็นว่าเป็นเรื่องของจิตใจ

เพราะเราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าความชอบธรรมของท่าน ไม่ยิ่งกว่าความชอบธรรมของพวกธรรมาจารย์ และพวกฟาริสี ท่านจะไม่มีวันได้เข้าสู่แผ่นดินสวรรค์ (มัทธิว 5:20)

ผมมองเห็นว่านี่เป็นภาพความชอบธรรมของผู้ที่ฟังอยู่ ภาพผู้นำศาสนาที่ภายนอกดูว่าชอบธรรมและเคร่งครัดศรัทธา แต่ภายในเต็มด้วยความบาป ทุจริตและฉ้อฉล พวกเขามองเห็นทัศนคติที่ชอบตัดสินของพวกฟาริสี ความหน้าซื่อใจคดของคนพวกนี้ซึ่งอาจจะดูดีจากภายนอก แต่ภายในพวกเขาผิดพลาดทำในสิ่งที่กำลังทำอยู่ พวกฟาริสีทำราวกับว่าการกระทำของพวกเขาทำให้เกิดความชอบธรรมและถูกต้องในสาย พระเนตรพระเจ้า พระวจนะตรงนี้ พระเยซูทรงแสดงให้เห็นถึงระยะห่างระหว่างพระเจ้าและมนุษย์ และตรัสถึงความชอบธรรมของตนเองของพวกฟาริสี รวมถึงเรื่องที่อยู่ภายในใจของฝูงชนที่นั่งฟังอยู่ด้วย ตรงนี้ที่พระเยซูทรงยกระดับขึ้น และพูดถึงเรื่องของจิตใจ พระองค์บอกกับฝูงชนว่าพระองค์คือความชอบธรรมเที่ยงแท้นั้น เป็นผู้ที่คนต่างก็กระหายหา และเป็นผู้เดียวที่สามารถเติมเต็มความว่างเปล่าภายในพวกเขาได้ พระองค์กำลังบอกว่าพระองค์เองคือข่าวประเสริฐแห่งพระกิตติคุณ พระกิตติคุณมาถึงแล้ว และอยู่ในพระองค์ พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่าพระองค์คือเหตุและหนทางแห่งความอิมใจที่สมบูรณ์

ถ้ามองไปที่พระวจนะตอนอื่นๆ เราจะเห็นพระองค์พูดในเรื่องเดียวกัน พระเยซูทรงเป็นทางเดียวไปสู่ความชอบธรรม และความชอบธรรมของพระองค์มอบความอิ่มเอิบพึงพอใจได้

หญิงที่บ่อน้ำ – พระเยซูทรงตอบและบอกกับเธอว่า “ทุก คนที่ดื่มน้ำนี้จะกระหายอีก แต่ผู้ที่ดื่มน้ำซึ่งเราจะให้แก่เขานั้น จะไม่กระหายอีกเลย น้ำซึ่งเราจะให้เขานั้น จะบังเกิดเป็นบ่อน้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์” (ยอห์น 4:13-14)

เลี้ยงคน 5000 – พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เรา บอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านทั้งหลายตามหาเรามิใช่เพราะได้เห็นหมายสำคัญ แต่เพราะได้กินขนมปังอิ่ม อย่าขวนขวายหาอาหารที่เสื่อมสิ้นไป แต่จงหาอาหารที่ดำรงอยู่คืออาหารแห่งชีวิตนิรันดร์ ซึ่งบุตรมนุษย์จะให้แก่ท่าน เพราะพระเจ้าคือพระบิดาได้ทรงประทับตรามอบอำนาจแก่พระบุตรแล้ว” (ยอห์น 6:26-27)

พระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้เดียวที่เติมเต็มความพึงพอใจได้ และพระวจนะข้อนี้ในมัทธิว พระองค์เสนอประเด็นนี้ให้กับผู้ที่กำลังนั่งฟัง สำหรับบางคน คำสอนนี้นำความสดชื่นใจมาให้ เพราะพวกเขาเห็นฟาริสีและความชอบธรรมของคนเหล่านี้ที่ทำให้ “หมดศรัทธา” เดี๋ยวนี้พวกเขามีมุมมองใหม่ในพระคริสต์ ได้รับความพึงพอใจผ่านทางพระองค์ เป็นความชอบธรรมเที่ยงแท้ แต่คนอื่นๆในกลุ่มผู้ฟังก็ยัง “หมดศรัทธา” ผมเชื่อว่ามีพวกผู้นำศาสนาฟังอยู่ด้วย และรู้สึกโกรธแค้นไม่พอใจ เพราะพระเยซูตรัสว่าพวกเขาไม่อาจทำให้พระเจ้าพอพระทัยได้ด้วยบทบัญญัติและ ความชอบธรรมของตนเอง ความพอพระทัยของพระเจ้ามีในความชอบธรรมของพระเยซูคริสต์เท่านั้น

นี่เป็นข่าวแห่งความหวังใจเที่ยงแท้สำหรับผู้หลงหายและกำลังจะพินาศ สำหรับคนในสมัยของพระเยซูและในสมัยของเรา ความว่างเปล่าที่มีในชีวิตพวกเขาและพวกเรา จะเติมเต็มได้ในองค์พระคริสต์เท่านั้น เป็นความชอบธรรมเที่ยงแท้ มีได้ด้วยความหิวกระหายในสิ่งที่พระเยซูเติมเต็มช่องว่างในใจให้ได้ สิ่งต่างๆในโลกไม่อาจทำได้ มีแต่ในพระเยซูเท่านั้น นี่เป็นคำสอนทั้งในสมัยนั้นและในสมัยนี้ สำหรับคนที่ยังไม่รู้จักกับพระเยซูคริสต์ นี่คือข่าวแห่งกำลังใจ แล้วทำไมเราถึงยังวิ่งวนไปมา หลงไหลในสิ่งที่มีแต่จะสร้างความเจ็บปวดและความว่างเปล่ามากขึ้น? ข้อเสนอที่ให้ความชื่นชมยินดี สันติสุข และความพึงพอใจในท่ามกลางสิ่งอื่นๆมีในองค์พระเยซูคริสต์ – และในพระองค์เพียงผู้เดียว

สำหรับผู้เชื่อ

นี่เป็นข่าวแห่งความหวังใจสำหรับผู้ไม่เชื่อ แต่สิ่งนี้กำลังบอกอะไรแก่ผู้เชื่อ? ผมเชื่อแน่ว่าเป็นข่าวที่ยิ่งใหญ่ และสำคัญสำหรับพวกเราผู้เชื่อ คำถามแรกนั้นง่ายมาก –ชีวิตคุณในปัจจุบัน คุณหิวกระหายหรือกำลังติดตามสิ่งใด? ใจคุณอยู่ที่ไหน? ในแง่มุมหนึ่ง มันง่ายสำหรับเราผู้เชื่อที่เห็นว่าเราได้รับการเติมเต็มด้วยความอิ่มใจ เมื่อรับของขวัญแห่งความรอดที่ประทานให้ แต่บ่อยครั้งนี่กลับเป็นสิ่งที่ทำให้ความหิวกระหายของเราหยุดลง ผู้เชื่อหลายคนกำลังต่อสู้กับความบาป และพยายามเติมช่องโหว่ด้วยสิ่งอื่นที่ไม่ใช่พระเยซูคริสต์ ศิษยาภิบาลหลายคนตกลงไปในหล่มโศกนาฎกรรมเรื่องบาปทางเพศ หลายครอบครัวถูกทำลายเพราะไม่ได้หิวกระหายความชอบธรรมอีกต่อไป และจบลงที่การหย่าร้าง บางคนนั่งอยู่ในโบสถ์อาทิตย์แล้วอาทิตย์เล่าเฝ้ามองหาความพึงพอใจมาเติมให้ เต็ม เราในฐานะผู้เชื่อยังหิวกระหายความชอบธรรมอยู่หรือเปล่าครับ?

ความหิวและกระหายเป็นสิ่งที่มีและดำเนินไปต่ออย่างเนื่อง ทุกวันผมยังหิว พอใกล้ 11 โมง หรือบางวันก็ก่อนนั้น ท้องผมเริ่มร้อง คิดว่าถ้าไม่มีอะไรตกถึงท้องกะเพาะคงต้องพัง นี่เป็นชีวิตประจำวันที่เราแต่ละคนต้องเผชิญ เพราะร่างกายเราต้องการอาหาร เป็นเรื่องเดียวกับความกระหายและเป็นเรื่องเดียวในมิติชีวิตฝ่ายวิญญาณด้วย เราต้องหิวและกระหาย จนแทบจะตายเพื่อได้ความชอบธรรมในชีวิต เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นและต่อเนื่องไปแต่ละวัน เหมือนไปกินสเต็กที่ภัตตาคาร เนื้อหนานุ่มชิ้นใหญ่ มันฝรั่งอบ เฟรนช์ฟรายด์ เสิร์ฟพร้อมสลัด คุณทานจนอิ่ม แต่พอเช้าวันรุ่งขึ้น ก็อยากจะกินอีก รวมถึงวันต่อไปและต่อๆไปด้วย ความชอบธรรมก็เช่นกัน เมื่อได้ลิ้มรสและหิวกระหายความชอบธรรม เราควรหมั่นเติมความปรารถนาเพื่อให้ชีวิตเราเต็มอิ่มด้วยความชอบธรรม เราถูกเรียกให้ดำเนินชีวิตที่บริสุทธิ์ในฐานะผู้เชื่อ เราถูกเรียกให้มาดำเนินชีวิตในฐานะผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้า เป็นดังกลิ่นหอมถวายแด่พระองค์

มาดูตัวอย่างจากพระวจนะในพระคัมภีร์เดิมสำหรับผู้ที่หิวกระหายความชอบธรรม

สดุดี 63:1-11

1 ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์
ข้าพระองค์แสวงพระองค์ จิตวิญญาณของข้าพระองค์กระหายหาพระองค์
เนื้อหนังของข้าพระองค์กระเสือกกระสนหาพระองค์ ในดินแดนที่แห้งและอ่อนโหย ที่ที่ไม่มีน้ำ
2 เช่นนั้นแหละ ข้าพระองค์จึงเคยเห็น พระองค์ในสถานนมัสการ
เห็นฤทธานุภาพและพระสิริของพระองค์
3 เพราะว่าความรักมั่นคงของพระองค์ดีกว่าชีวิต
ริมฝีปากของข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์
4 เช่นนั้นแหละข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์ ตราบเท่าชีวิตของข้าพระองค์
ข้าพระองค์ชูมือต่อพระนามของพระองค์
5 จิตใจของข้าพระองค์จะอิ่มหนำดังกินเนื้ออย่างดี และไขมัน
และปากของข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์ด้วย ริมฝีปากที่ชื่นบาน
6 เมื่อข้าพระองค์คิดถึงพระองค์ ขณะอยู่บนที่นอน
และภาวนาถึงพระองค์ทุกๆยาม
7 เพราะพระองค์ทรงเป็นความอุปถัมภ์ของข้าพระองค์
ข้าพระองค์เปรมปรีดิ์อยู่ในร่มปีกของพระองค์
8 จิตวิญญาณของข้าพระองค์เกาะติดอยู่ที่พระองค์
พระหัตถ์ขวาของพระองค์ ชูข้าพระองค์ไว้
9 แต่บรรดาผู้แสวงชีวิตของข้าพระองค์เพื่อทำลาย
จะลงไปในที่ลึกแห่งแผ่นดินโลก
10 เขาจะถูกมอบไว้กับฤทธิ์ของดาบ
เขาจะเป็นเหยื่อของสุนัขจิ้งจอก
11 แต่พระราชาจะทรงเปรมปรีดิ์ในพระเจ้า
ทุกคนที่สาบานในพระนามของพระองค์จะ อวดอ้างพระนามนั้น
เพราะปากของคนมุสาจะถูกปิด

สดุดี 42:1-11

1 กวางกระเสือกกระสนหาลำธาร ที่มีน้ำไหลฉันใด
ข้าแต่พระเจ้า จิตวิญญาณของข้าพระองค์ ก็กระเสือกกระสนหาพระองค์ฉันนั้น
2 จิตวิญญาณของข้าพระองค์กระหายหาพระเจ้า หาพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์
เมื่อไรข้าพระองค์จะได้มาเห็นพระพักตร์พระเจ้า
3 ข้าพระองค์กินน้ำตาต่างอาหารทั้งวันคืน
ขณะที่คนพูดกับข้าพระองค์ วันแล้ววันเล่าว่า “พระเจ้าของเจ้าอยู่ที่ไหน”
4 เมื่อข้าพระองค์ระบายความในใจออกมา ข้าพระองค์ระลึกถึงสิ่งเหล่านี้ได้
คือข้าพระองค์ไปกับประชาชน และนำเขาไปเป็นกระบวนแห่ถึงพระนิเวศของพระเจ้า
ด้วยเสียงโห่ร้องยินดีและเสียงเพลงโมทนา คือมวลชนกำลังมีเทศกาลฉลอง
5 จิตใจของข้าพเจ้าเอ๋ย ไฉนเจ้าจึงฝ่ออยู่ ไฉนเจ้าจึงกระสับกระส่ายภายในข้าพเจ้า
จงหวังใจในพระเจ้า เพราะข้าพเจ้าจะถวายสดุดีแด่พระองค์อีก
ผู้ทรงเป็นความอุปถัมภ์ และพระเจ้าของข้าพเจ้า
6 จิตใจของข้าพระองค์ฝ่ออยู่ภายในข้าพระองค์
เพราะฉะนั้นข้าพระองค์จึงระลึกถึงพระองค์
ตั้งแต่แผ่นดินแห้งแม่น้ำจอร์แดนและแห่งภูเขาเฮอร์โมน ตั้งแต่เนินมิซาร์
7 เมื่อเสียงน้ำแก่งตก ที่ลึกก็กู่เรียกที่ลึก
บรรดาคลื่นและระลอกของพระองค์ ท่วมข้าพระองค์แล้ว
8 กลางวันพระเจ้าทรงบัญชาความรักมั่นคงของพระองค์
และกลางคืนเพลงของพระองค์อยู่กับข้าพเจ้า
เป็นคำอธิษฐานต่อพระเจ้าแห่งชีวิตของข้าพเจ้า
9 ข้าพเจ้าทูลพระเจ้าพระศิลาของข้าพเจ้าว่า
“ไฉนพระองค์ทรงลืมข้าพระองค์เสีย
ไฉนข้าพระองค์จึงต้องไปอย่างเป็นทุกข์ เพราะการบีบบังคับของศัตรู”
10 ปรปักษ์ของข้าพระองค์เยาะเย้ยข้าพระองค์ ประดุจแผลร้ายภายในร่างของข้าพระองค์
ในเมื่อเขากล่าวแก่ข้าพระองค์เสมอๆ อยู่ว่า “พระเจ้าของเจ้าอยู่ที่ไหน”
11 จิตวิญญาณของข้าพเจ้าเอ๋ย ไฉนเจ้าจึงฝ่ออยู่
ไฉนเจ้าจึงกระสับกระส่ายภายในข้าพเจ้า
จงหวังใจในพระเจ้า เพราะข้าพเจ้าจะถวายสดุดีแด่พระองค์อีก
ผู้ทรงเป็นความอุปถัมภ์ และพระเจ้าของข้าพเจ้า

พระวจนะด้านบน ผู้เขียนสดุดีขยายความถึงความโหยหา ความหิวกระหายในความชอบธรรม กวางกระเสือกกระสนหาลำธาร ที่มีน้ำไหลฉันใด ข้าแต่พระเจ้า จิตวิญญาณของข้าพระองค์ ก็กระเสือกกระสนหาพระองค์ฉันนั้น” คุณ มีความโหยหาและหิวกระหายความชอบธรรมเช่นนี้หรือไม่? เป็นสิ่งที่คุณขาดจากชีวิตไม่ได้หรือเปล่า? ขอบอกว่านี่คือสิ่งที่ผู้เชื่อทุกคนควรจะหิวกระหาย เราต้องกระหายหาพระเจ้าในแต่ละวัน ทุกเวลานาทีในชีวิต หิวและกระหายควรเป็นส่วนสำคัญที่สุดของชีวิตเรา ในแบบที่เราไม่อาจดำเนินต่อไปได้ถ้าขาดความอิ่มใจแบบนี้ หลายสิ่งที่เราทำ เราคิดว่าจะไม่ส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเยซู แต่ที่จริงแล้วใช่ ทำไมเราที่เป็นผู้เชื่อถึงสนุกสนานกับการไปดูหนังที่มีเต่เรื่องผิดทางเพศ การหย่าร้าง ความรุนแรง อุทานพระนามและล้อเลียนพระเจ้าอย่างไม่สมควร ที่เป็นการลดตัวลงต่ำของมนุษยชาติ? ทำไมเราใส่ไว้ในสมอง ภาพและเนื้อเพลงที่เต็มไปด้วยเรื่องเพ้อฝันโกหกพกลม? สิ่งเหล่านี้ขัดขวางการดำเนินชีวิตระหว่างเรากับพระเจ้า มันดึงเราออกนอกทางแห่งความชอบธรรม หิวกระหายหาความชอบธรรมเป็นสิ่งที่ไม่ง่าย ที่จริงเป็นสิ่งที่ยากมาก เพราะเราต้องหักห้ามใจ ต้องตัดสินใจอย่างลำบาก ตัดสินใจที่จะแตกต่าง ไม่ทำในสิ่งที่ใครๆเขาก็ทำกัน ตั้งใจเหมือนที่ดาเนียลยืนหยัดตามลำพังท่ามกลางผู้คนรอบข้างในทุกแบบและทุก วัย ไม่ต้องสงสัยเลยในช่วงชีวิตเรา มีสงครามต่อสู้กับเนื้อหนังและความบาปเกิดขึ้นตลอดเวลา อย่างที่ผู้เขียนหนังสือฮีบรูกล่าวใน 12:3-4:

3 ท่านทั้งหลายจงคิดถึงพระองค์ผู้ได้ทรงยอมทนต่อคำคัดค้านของคนบาป เพื่อว่าท่านทั้งหลายจะได้ไม่รู้สึกท้อถอย 4 ในการต่อสู้กับบาปนั้น ท่านทั้งหลายยังไม่ได้สู้จนถึงกับต้องเสียโลหิตเลย

ไม่ได้หมายความว่าเราต้องเอาตัวออกไปจากโลกนี้ – แต่หมายถึงเราที่อาศัยอยู่ในโลก และดำเนินชีวิตในความชอบธรรมในท่ามกลางเพื่อนร่วมงาน เพื่อนฝูง และศัตรู ที่ชีวิตอยู่ห่างไกลจากความชอบธรรม หมายถึงเราที่ต้องเป็นเกลือและแสงสว่างที่สำแดงความรักของพระคริสต์ทั้งใน การกระทำและในคำพูด นี่เป็นความหิวกระหายในชีวิตของคุณหรือเปล่า? คนที่เขียนบทสดุดีมีความหิวกระหายในพระคริสต์เช่นนั้น และสิ่งนี้ครอบคลุมอยู่ในชีวิตพวกเขา เป็นสิ่งที่พวกเขาโหยหา ผู้เดียวที่จะมาเติมเต็มความพึงพอใจได้

ในพระคัมภีร์ใหม่ อ.เปาโลขยายความไว้ในหนังสือฟีลิปปี 3:1-21 ที่เราจะเห็นจากข้อ 8-12 ของพระวจนะตอนนี้:

8 ที่จริงข้าพเจ้าถือว่าสิ่งสารพัดไร้ประโยชน์ เพราะเห็นแก่ความประเสริฐแห่งความรู้ถึงพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า เพราะเหตุพระองค์ ข้าพเจ้าจึงได้ยอมสละสิ่งสารพัด และถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนหยากเยื่อเพื่อข้าพเจ้าจะได้พระคริสต์ 9 และจะได้ปรากฏอยู่ในพระองค์ ไม่มีความชอบธรรมของข้าพเจ้าเอง ซึ่งได้มาโดยธรรมบัญญัติ แต่มีมาโดยความเชื่อในพระคริสต์ เป็นความชอบธรรมซึ่งมาจากพระเจ้าซึ่งขึ้นอยู่กับความเชื่อ 10 ข้าพเจ้าต้องการจะรู้จักพระองค์ และได้รับประสบการณ์ในฤทธิ์เดช เนื่องในการที่พระองค์ทรงคืนพระชนม์นั้น และร่วมทุกข์กับพระองค์ คือยอมตั้งอารมณ์ตายเหมือนพระองค์ 11 ถ้าเป็นไปได้ข้าพเจ้าก็จะได้เป็นขึ้นมาจากความตายด้วย 12 มิใช่ว่าข้าพเจ้าได้แล้ว หรือสำเร็จแล้ว แต่ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไป เพื่อข้าพเจ้าจะได้ฉวยเอาไว้เป็นของตน อย่างที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงฉวยข้าพเจ้าไว้เป็นของพระองค์แล้ว

อ.เปาโลกำลังบอกว่า : (a) ไม่ใช่เป็นความชอบธรรมของท่านเอง แต่เป็นความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ และ (b) ท่านกำลังบากบั่นมุ่งไปเพื่อคว้าพระคริสต์ไว้เหมือนที่พระองค์ได้คว้าท่าน ไว้แล้ว ท่านละทุกสิ่งที่เป็นของโลก และต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งความชอบธรรมในการดำเนินไปกับพระเยซู สิ่งที่ท่านปรารถนาเหนือสิ่งอื่นใดคือได้รู้จักพระคริสต์และฤทธิอำนาจในการ คืนพระชนม์ของพระองค์ เรามองสิ่งของๆโลกนี้ว่าเป็นหยากเยื่อเพื่อจะได้มาซึ่งองค์พระคริสต์หรือ ไม่? เราดิ้นรนเพื่อมีชีวิตที่ดำเนินในพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์หรือ? เราไม่ได้พูดถึงภาพลักษณ์ภายนอกที่แสดงออกถึงความชอบธรรม แต่พูดถึงจิตใจภายใน สิ่งใดที่ใจคุณโหยหา? ใจคุณหิวกระหายในเรื่องใด? อย่างที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็น และอย่างที่ อ.เปาโลกล่าวไว้ ข้าพเจ้าต้องการจะรู้จักพระองค์ และได้รับประสบการณ์ในฤทธิ์เดช เนื่องในการที่พระองค์ทรงคืนพระชนม์นั้น และร่วมทุกข์กับพระองค์” (ฟีลิปปี 3:10)

บทสรุป

มัทธิว 5:6 เป็นพระวจนะตอนที่มีพลังมาก เป็นตอนที่ค่อยๆเปิดเผยและส่งผ่านความหวังมาถึงเรา บุคคลผู้ใดหิวกระหายความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงให้อิ่มบริบูรณ์” เราจะได้รับพระพรอย่างล้นเหลือเมื่อเราหิวกระหายความชอบธรรม เป็นไปได้อย่างไร? เพราะเมื่อเราอิ่มบริบูรณ์ เราก็จะไม่หิวเหมือนอย่างที่โลกนี้หิวกระหายอีกต่อไป เพราะเราได้รับความอิ่มใจแล้วในองค์พระเยซูคริสต์ หิวกระหายความชอบธรรมเป็นทั้งข่าวประเสริฐที่ต้องประกาศออกไปสำหรับผู้ที่ ยังไม่รู้จักกับพระเยซู และเป็นข่าวที่มาถึงผู้เชื่อในพระองค์แล้ว ผมขอสรุปด้วยคำถามธรรมดาๆ “คุณกำลังหิวกระหายในเรื่องใดในชีวิต?” ขอภาวนาให้คำตอบของเราคือ “ความชอบธรรม” ครับ


1 153 เป็นต้นบับบจากบทเรียนที่ 13 ในบทเรียนต่อเนื่องของพระกิตติคุณมัทธิว จัดเตรียมโดย เลนนี่ คอร์เรล 18 พฤษภาคม 2003

2 154 นอกจากที่แจ้งไปในบทเรียนอื่นๆก่อนหน้า พระวจนะ (ภาษาอังกฤษ) นำมาจากหลากหลายฉบับแปล

3 155 Martyn Lloyd-Jones, Studies in the Sermon on the Mount (Grand Rapid, Michigan: Eerdmans Publishers, 1971), Vol. 1, pp. 73-74.

4 156 John Piper, “Blessed Are Those Who Hunger and Thirst for Righteousness,” (Desiring God Ministries, 1986),

Related Topics: Basics for Christians, Sanctification

From the series: La Revue Des Pasteurs

La Revue Internet Des Pasteurs, Fre Ed 18, Edition de l’hiver 2016

Edition de l’hiver 2016

Auteur: Dr. Roger Pascoe, Président de:

The Institute for Biblical Preaching

(L’Institut pour la Prédication Biblique)

Cambridge, Ontario, Canada

C:\Users\Roger\Documents\My Documents\Institute for Biblical Preaching\Forms, Binder Cover Page, Logo\IBP Logos\IBP Logo.jpg

“Renforcer les capacités de l’Eglise dans La Prédication Biblique et le Leadership”

1ère Partie: La Puissance Pour La Predication, Point 3

“La Puissance du Saint Esprit”

Le célèbre prédicateur puritain, John Owen disait dans ses écrits: «Le péché du mépris (de la personne du Saint-Esprit) et du rejet de son œuvre actuellement, est de la même nature que l’idolâtrie des anciens, et le rejet de la personne du Fils par les Juifs.»1 Dr. Olford, lui, déclarait: «Si le péché de l’Ancien Testament était le rejet de Dieu le Père, et le péché des temps du Nouveau Testament, le rejet de Dieu le Fils, alors le péché de notre temps est le rejet de Dieu le Saint-Esprit.»2

Il y a deux manières par lesquelles le Saint-Esprit est rejeté à notre époque (surtout quand il s’agit de mettre l’accent sur le Saint-Esprit dans certains cercles). A un bout de la gamme, le Saint-Esprit est rejeté par le péché de l’évasion – certains prédicateurs ne feront même pas mention du Saint-Esprit. A l’autre bout de la gamme, le Saint-Esprit est rejeté par le péché de l’extrémisme – c’est-à-dire des ministères superficiels, des manipulations subtiles et des manifestations absurdes qui ne cadrent pas avec les Saint Ecritures, et qui ne sont pas pour la gloire de Dieu.

Nous devons nous assurer que nous maintenons un équilibre biblique concernant le Saint-Esprit. Il est impossible pour tout prédicateur d’être efficace, fécond ou équilibré dans son ministère sans reconnaître et donner place à la souveraineté, la conduite, l’éclairage et l’inspiration du Saint-Esprit. Seul le Saint-Esprit peut transformer toute votre préparation (étude du texte, le plan de votre message, etc.) en un message de la part de Dieu, et qui est accompagné de la puissance de Dieu. Vous pouvez correctement diviser la parole de vérité; vous pouvez correctement étudier et analyser le texte (le sujet, la structure et la substance d’un texte) et vous pouvez prêcher ce que vous avez préparé logiquement et de manière irréprochable, mais seul le Saint-Esprit peut donner à votre message le pouvoir d’apporter une transformation spirituelle dans la vie d’une personne.

Ceci est parfois appelé «l’onction» du Saint-Esprit ou «l’extrême onction» de l’Esprit, ou «l’inspiration» de l’Esprit. Nous avons besoin du Saint-Esprit pour nous conduire dans l’étude intellectuelle du texte en préparation pour la prédication. Nous devons aussi rechercher la bénédiction et la puissance du Saint-Esprit afin d’utiliser le message pour accomplir son œuvre.

Donc, qu’est-ce qu’une prédication avec onction? Que signifie prêcher avec «onction?» Comment un prédicateur obtient-il cette inspiration de l’Esprit?

Premièrement, regardons la définition du terme lui-même. Par le terme «onction», nous faisons ici référence à cette inspiration spéciale du Saint-Esprit sur le prédicateur. Il ne s’agit pas de l’inspiration générale du Saint-Esprit qui nous permet de vivre la vie chrétienne. Il s’agit de l’accès du prédicateur à une puissance spéciale pour la prédication à travers le Saint-Esprit, de telle sorte que ce que nous prêchons a des conséquences surnaturelles. Comme le dit Or, de même que Dr. Lloyd-Jones: «c’est une puissance donnée par Dieu… qui l’élève (ce que nous prêchons) au-dessus des efforts et des tentatives de l’homme, à une position à laquelle le prédicateur est utilisé par le Saint-Esprit et devient le canal à travers lequel l’Esprit œuvre.»3 E.M. Bounds l’exprime de la manière suivante: «L’Onction divine soutient et féconde la vérité révélée avec toute l’énergie de Dieu. L’Onction c’est simplement présenter Dieu dans sa propre parole et à son propre prédicateur»4

A présent, regardons quelques références bibliques clés. Luc 4:18-19: 18 «L’Esprit du Seigneur est sur moi, parce qu’il m’a oint pour annoncer une bonne nouvelle aux pauvres; il m’a envoyé pour guérir ceux qui ont le cœur brisé, 19 pour proclamer aux captifs la livrance, et aux aveugles le recouvrement de la vue, pour renvoyer libres les opprimés, pour publier une année de grâce du Seigneur.» Ici, Jésus se trouve dans la Synagogue, lisant Es. 61:1-2. Qu’est-ce que Jésus veut dire par l’Esprit de Dieu m’a oint?

Il n’y avait ici aucune preuve d’un changement physique particulier en lui, pas de changement dans sa manière de parler, encore moins une espèce de pratique spirituelle. Cela a eu l’air d’être une lecture normale des Saintes Ecritures. La seule différence avec toute autre lecture des Saintes Ecritures dans la Synagogue résidait dans la caractérisation de ce passage comme une prophétie de son ministère, et l’affirmation que cette prophétie a été accomplie ce jour-là.

De la manière dont Luc a organisé son récit, il apparait que cet événement (Lc. 4: 18-19) est directement lié au récit de la naissance (Lc. 1: 35) et à celui du baptême (Lc. 3: 21-22), qui, tous les trois sont conçus pour mettre l’accent sur le fait que Jésus est le Fils oint de Dieu – celui qui a été envoyé par Dieu, celui qui a été mis à part par Dieu, celui qui a reçu plein pouvoir de la part de Dieu pour proclamer (et en fait, pour inaugurer) son royaume.5

Ceci semble être alors la nature de l’onction de Jésus ici – à savoir l’affirmation de Jésus comme celui que Dieu a spécialement mis à part pour la tâche de prêcher la bonne nouvelle, et spécialement inspiré et investit pour son ministère. Ce qui est le plus frappant ici c’est que le Seigneur Jésus lui-même a reçu une onction spéciale de la part du Saint-Esprit pour remplir sa mission terrestre.

Luc 24:49: «... mais vous, restez dans la ville jusqu’à ce que vous soyez revêtus de la puissance d’en haut.» Actes 1:8: «Mais vous recevrez une puissance, le Saint-Esprit survenant sur vous, et vous serez mes témoins à Jérusalem, dans toute la Judée, dans la Samarie et jusqu’aux extrémités de la terre.» Ici, les disciples qui ont suivi le Seigneur Durant trois ans (ils l’ont entendu prêcher, ils ont écouté ses enseignements et absorbé ses commandements, ils ont été témoins de ses miracles, ils ont assisté à sa mort et à son ensevelissement et l’ont vu après résurrection) reçoivent la promesse maintenant qu’ils seront investis de la puissance du Saint-Esprit, et cela a eu lieu bien sûr à la pentecôte comme le relate Actes 2:4: «Et ils furent tous remplis du Saint-Esprit, et se mirent à parler en d’autres langues, selon que l’Esprit leur donnait de s’exprimer.»

Vous ne penseriez pas que des hommes comme ces derniers auraient besoin d’une puissance particulière pour leur ministère. Il n’avait pas besoin d’une connaissance supplémentaire ou d’une conviction de la vérité concernant Jésus. Ce dont ils avaient besoin c’était la puissance et la capacité de poursuivre leur ministère (le prolongement du ministère de Jésus), maintenant que Jésus était parti. Et c’est ce de quoi ils ont été investi dans Actes 2 – une puissance spéciale de la part du Saint-Esprit, pour particulièrement permettre à leur témoignage et à leur œuvre d’avoir un effet surnaturel.

L’effet de cette onction spéciale est incroyable. Pierre qui avait précédemment renié le Seigneur en jurant et en le maudissant est maintenant capable de prêcher avec hardiesse et autorité de sorte 3000 personnes se convertissent en un seul jour.

Actes 4:7-8: «Ils firent placer au milieu d’eux Pierre et Jean, et leur demandèrent: Par quel pouvoir, ou au nom de qui avez-vous fait cela? Alors Pierre, rempli du Saint-Esprit, leur dit: Chefs du peuple et anciens d’Israël…» Manifestement Pierre était «rempli du Saint-Esprit» à la Pentecôte. Alors, pourquoi avait-il besoin d’être rempli de nouveau? C’est parce que plénitude de l’Esprit est un processus répété par lequel l’Esprit recouvre de puissance le serviteur de Dieu afin d’accomplir un ministère spécifique. Une fois de plus il a reçu un approvisionnement frais de l’Esprit de Dieu qui l’a rempli pour la tâche particulière en cours ici dans ce chapitre – à savoir son procès pour avoir guéri un boiteux au chapitre 3. Il y a beaucoup d’autres références pour les mêmes phénomènes dans le livre des Actes (par exemples Actes 4:31; 6:3, 5; 7:55; 9:17; 11:24; 13:9, 52), mais celles-ci suffiront pour notre étude.

1 Cor. 2:1-5: 1 «Pour moi, frère, lorsque je suis allé chez vous, ce n’est pas avec une supériorité de langage ou de sagesse que je suis allé vous annoncer le témoignage de Dieu. 2 Car je n’ai pas eu la pensée de savoir parmi vous autre chose que Jésus-Christ, et Jésus-Christ crucifié. 3 Moi-même j’étais auprès de vous dans un état de faiblesse, de crainte et de grand tremblement; 4 et ma parole et ma prédication ne reposaient pas sur les discours persuasifs de la sagesse, mais sur une démonstration d’Esprit et de puissance, 5 afin que votre foi soit fondée non sur la sagesse des hommes, mais sur la puissance de Dieu

Ceci est le témoignage personnel de Paul sur sa manière de prêcher et d’enseigner qui nous révèle qu’une prédication spirituellement puissante n’est pas accompagnée de preuves extérieures et de pratiques subjectives intérieures d’une sorte de pouvoir mystique. En effet, ni le contenu du message de Paul, ni sa manière de prêcher étaient destinés, du moins à l’échelle humaine, à être des manifestations de pouvoir.

En fait, le message de Paul (à savoir Christ, et Christ crucifié) était, selon ses propres mots, «insensé» et sa méthode était marquée par la faiblesse, la crainte, le tremblement et l’absence remarquable de mots persuasifs de la sagesse humaine. Quoique ses propres ressources et capacités fussent faibles, son discours et sa prédication était cependant accompagnés de la démonstration de la puissance de l’Esprit; résultat, leur foi n’était pas dans la sagesse des hommes, mais dans la puissance de Dieu.

Donc, à quoi fait-il référence ici? Paul soutient que ni sa manière (ce n’est pas avec une supériorité de langage ou de sagesse, pas avec une présence ou un art oratoire persuasif), ni son message (Christ, et Christ crucifié) ne les convaincraient quant à la vérité de l’Evangile, mais que seul le Saint-Esprit pouvait le faire, et il le fit. Si son message et sa manière était destines à les persuader d’avoir confiance en lui, il aurait alors sans doute délivré un message différent (basé sur la sagesse humaine) et dans une façon différente (charismatique, éloquent, confiant, intimidant, visuellement et oralement puissant). Il n’existe de preuve dans aucun des récits bibliques de la prédication de Paul et de son comportement qui révèle qu’il aie déjà expérimenté des sentiments subjectifs (comme certains prédicateurs le prétendent) ou que sa prédication soit accompagnée de puissances ou de manifestations mystiques en lui. La seule fois qu’il fait référence à une expérience de «hors de son corps» c’est dans 2 Co. 12, où il relate sa vision du troisième ciel – difficilement applicable à la prédication et aux prédicateurs aujourd’hui.

Au contraire, la puissance de la prédication de Paul était manifeste non pas par ses émotions ou ses pratiques, mais par la puissance du Saint-Esprit dans la vie des destinataires, de sorte que ceux-ci étaient transformés – leur foi n’était pas fondée sur la sagesse des hommes, mais sur la puissance de Dieu; et alors que Pierre prêchait, ils dirent: «Que faut-il que je fasse pour être sauvé?» Dans le cas des Thessaloniciens, par exemple, ils sont passés d’adeptes et adorateurs d’idoles, à de serviteurs du Dieu vivant et vrais et à l’attente de son Fils qui viendra du ciel (1 Th. 1:9-10). Ce fut là la manifestation de l’onction de l’Esprit dans la prédication de Paul au milieu d’eux, non pas une sorte de pratique subjective ou de phénomène mystique de sa part.

Aussi dans le cas des Corinthiens, la preuve de la puissance du témoignage de l’apôtre au milieu d’eux était que leurs vies sont devenues des lettres écrites de Christ, servies certes par Paul, mais écrites par l’Esprit du Dieu vivant sur leurs cœurs (2 Cor. 3:3). En d’autres termes, ce fut un changement de vie radicale qui témoignait de l’œuvre transformatrice de l’Esprit en eux à travers la prédication ointe de Paul. Pour Paul, manifestement, l’œuvre pratique de l’onction de l’Esprit dans son ministère était précisément que ses ressources et ses capacités étaient faibles, mais l’Esprit était puissant afin que «votre foi soit fondée, non sur la sagesse des hommes, mais sur la puissance de Dieu.»

Ceci est soutenu plus loin par 2 Cor. 4:7: «Nous portons ce trésor dans des vases de terre, afin que cette grande puissance soit attribuée à Dieu, et non pas à nous.» Et aussi 2 Cor. 12:9: «Et il m’a dit ma grâce te suffit, car ma puissance s’accomplit dans la faiblesse. Je me glorifierai donc bien plus volontiers de mes faiblesses, afin que la puissance de Christ repose sur moi.»

Ces textes démystifient toute notion selon laquelle l’onction du Saint-Esprit à un lien avec des preuves externes de puissance humaine ou de pratique émotionnelle externe. Paul soutient longuement ici que la puissance de Dieu est manifestée dans la prédication, précisément parce que les vases par lesquels Dieu se plait à proclamer son message ne sont rien d’autres que des vases bon marché, fissurés, des vases d’argile, qui ironiquement présentent le magnifique et puissant trésor qu’ils contiennent. En d’autres mots, Paul déclare énergiquement que la prédication ointe n’est pas criarde, verbeuse, arrogante, sûre de soi, autoritaire ou linguistiquement impressionnante. Elle est non plus tiède, ni confuse, ni avec des pratiques hors de son corps, ou toute autre phénomène de ce genre sur le prédicateur. C’est plutôt tout le contraire.

La prédication avec onction c’est des agents humains en qui Dieu a déversé la lumière de son Evangile sur la face de Jésus-Christ et qui, dans leurs expériences quotidiennes de faiblesse, de souffrance, d’afflictions, donne la certitude aux auditeurs quant à la source divine et la vérité du message. C’est cela la prédication ointe.

Paul ne fait allusion à aucune sorte de sensation de forte progression sur l’exercice de la prédication par le prédicateur, ou aucune sorte de discours intensifiée, etc.…, mais plutôt le contraire. «Ma puissance» déclare Dieu à Paul le prédicateur, «s’accomplit dans la faiblesse.» Paul fut encouragé par ses faiblesse, ses infirmités, ses reproches, ses besoins, ses persécutions, ses afflictions, pour la cause de Christ, précisément pour que la puissance de Dieu repose sur lui.

Nous avions étudiés Ephésiens 5:18 dans une des éditons précédentes de cette revue. Vous pouvez encore relire ce texte dans le contexte de notre étude concernant la puissance du Saint-Esprit en nous.

Regardons brièvement deux autres textes qui traitent de ce même sujet. Col. 1:28-29, «C’est lui que nous annonçons, exhortant tout homme, et instruisant tout homme en toute sagesse, afin de présenter à Dieu tout homme, devenu parfait en Christ. C’est à quoi je travaille, en combattant avec sa force qui agit puissamment en moi Bien que Paul «combattait» aussi dur comme il le pouvait pour l’accomplissement de son ministère, ce qui a rendu ce combat efficace était «sa force qui agit puissamment en lui.» Et c’est cela l’onction du Saint-Esprit.

1 Th. 1:5, «Notre Evangile ne vous a pas été prêché en parole seulement, mais avec puissance, avec l’Esprit-Saint, et avec une pleine persuasion; car vous n’ignorez pas que nous nous sommes montrés ainsi parmi vous, et à cause de vous.» La puissance que Paul décrit ici est encore celle que le Saint-Esprit a forgée en eux. Il ne s’agit pas d’une sorte de puissance propre à lui, qu’elle soit spirituelle ou physique. Avant tout, c’était la Parole qu’ils ont reçue par le Saint-Esprit, qui a transformé leur pensée et leur comportement. La plus grande assurance provenait bien sûr de l’exemplarité des apôtres. «Car vous n’ignorez pas nous nous sommes montrés ainsi parmi vous, et pour vous.» Evidemment, le mode de vie des apôtres était d’une telle consistance qu’il n’affirmait pas simplement la vérité de ce qu’ils disaient, mais rendait les Thessaloniciens des «imitateurs de Paul et ceux du Seigneurs.» (1 Th. 1:6).

Le changement était tellement radical dans leurs vies que toute personne dans la région savait ce qui s’était produit en eux. Ils étaient devenus des témoins efficace de l’Evangile de vérité envers ceux qu’ils rencontraient; ce fut là le témoignage extérieur de leur conversion, «en abandonnant les idoles pour servir le Dieu vivant et vrai» (1 Th. 1:9). C’est là la preuve et le résultat d’une prédication sous l’onction du Saint-Esprit.

Dans l’édition prochaine de cette revue des pasteurs, nous tirerons une conclusion sur ce qu’est l’onction de l’Esprit, et ce qu’elle n’est pas.

2ème Partie: Preparation Pour La Predication

“Identification de la structure du texte: Point 1, Sujets et Compléments”

L’identification du sujet et de son complément est un pas crucial dans le processus de préparation de la prédication. Comme nous l’avons vu dans des éditions précédentes de cette revue, le processus de préparation du message (ou sermon) - que je présente dans ses grandes lignes - implique: (1) l’étude du texte, (2) la compréhension du texte, et maintenant (3) identification de la structure du texte. Toute cette préparation conduira finalement à sortir un aperçu du message à partir du texte.

Toute idée complète (unité synthétique) doit y avoir un sujet et un complément. Le complément exprime quelque chose sur le sujet – Ex. l’action accomplit par le sujet ou l’attribut du sujet.

Par l’exemple, vous ne direz jamais simplement, «l’oiseau» – c’est le sujet, mais ce n’est pas une idée complète. Vous devez ajoutez quelque chose concernant l’oiseau, c’est-à-dire un complément d’objet. Qu’est-ce que vous voulez dire au sujet de l’oiseau? Vous pouvez dire par exemple: «Regardez l’oiseau.» Ou bien, «L’oiseau est beau.» Ou bien, «L’oiseau vole comme un aigle.» Vous allez non plus dire: «est beau», ou «vole». Ces compléments ont besoin d’un sujet. Qu’est-ce qui est beau? «L’oiseau est beau.» Qu’est-ce qui vole? «L’oiseau vole.» Comment l’oiseau vole? “L’oiseau vole comme un aigle.”

Donc, le sujet et le complément (parfois appelé prédicat) sont les deux  principaux composants structuraux d’une phrase simple, qui, lorsque exprimés ensembles forme une idée complète. Sans l’un ou l’autre, vous ne pouvez pas communiquer une des idées que vos interlocuteurs comprendront correctement.

De ce fait, chaque passage biblique a un sujet (aussi appelé le «thème dominant») et un complément (aussi appelé «les pensées intégrantes»). Le sujet / thème dominant est ce de quoi parle l’auteur. Après avoir étudié le texte, vous devez décider quel est le sujet / l’enseignement du texte? Quel est la vérité première du passage. Il s’agit de ce que vous allez prêcher. Le thème dominant / sujet du texte doit être le thème / sujet de votre message. Nous aborderons le sujet sur comment identifier le thème plus tard. C’est suffisant ici de dire que notre approche herméneutique générale de la question de préparation du message inclut l’identification du thème du texte car ceci constitue la base de ce que vous allez prêcher. C’est l’une des premières choses à faire quand vous préparez une prédication.

En outre, non seulement chaque passage a un sujet, mais chaque sujet a des compléments / pensées intégrantes. Le complément c’est ce que l’auteur dit à propos du sujet.

L’ensemble de votre message doit concerner le sujet du passage, et les compléments constituent les points que votre message va évoquer à propos de ce sujet. En identifiant le sujet et les compléments, vous identifiez (1) le sujet de votre message (ce de quoi vous allez parler), et (2) ce que vous allez dire à propos de ce sujet. C’est la structure de base du texte.

1ère Etape . Identifier Le «Sujet» Theologique Du Texte 6             

Ne prêcher jamais un message sans comprendre ce de quoi le passage parle, en particulier le sujet théologique. De ce fait, nous devons vraiment comprendre le sujet théologique du passage. La structure du passage et son courant de pensée ne peuvent pas êtres correctement développés ou exactement déterminés sans que vous ne cerniez le sujet, c’est-à-dire ce sur quoi l’auteur écrit. Connaitre le sujet dont traite le passage est le point de départ de tout message. Vous ne pouvez pas prêcher sur un passage si vous ne connaissez pas ce sur quoi l’auteur écrit. Non plus vous ne pouvez pas correctement et avec exactitude déterminer la structure du passage et son courant d’idée sans que vous ne cerniez le sujet.

Pour déterminer le sujet, posez-vous la question suivante: «Sur quoi (ou à propos de quoi) l’auteur écrit?» – pas «l’événement» ou «l’histoire raconté», mais le sujet théologique qui se cache derrière l’événement ou l’histoire raconté. Parfois, le sujet théologique est le même ou proche de la structure du texte. – surtout dans les épitres où les auteurs écrivent dans une théologie classique. Mais dans les passages narratifs, nous devons regarder derrière l’histoire racontée pour comprendre la théologie que nous prêcherons à partir de cette histoire. En répondant à la question «sur quoi l’auteur écrit» (le thème dominant), assurez-vous de ne pas rendre le sujet trop large – par exemple, ne dites pas «L’amour». Qu’est-ce que l’auteur dit à propos de l’amour. Essayez toujours de limiter le sujet par ce que l’auteur dit de manière spécifique et non de manière générale.

Par exemple, dans Psaume 1, le sujet au sens large est «l’homme qui craint Dieu et le méchant.» nous pouvons limiter cette définition en disant que c’est un contraste établi entre ces deux types de personne. Donc vous pouvez définir le sujet comme le contraste entre l’homme pieux et le méchant.

Un autre exemple pourrait être Ph. 2:1-11. Le sujet au sens large est «l’unité.» Nous pouvons limiter cette définition au sens large en disant que c’est «dépendre d’une attitude à l’image de Christ.» Par conséquent nous pourrons définir le sujet comme suit: «une attitude à l’image de Christ qui produit l’unité»

Comment obtenir ce thème dominant / sujet? Un moyen c’est de chercher dans le texte une déclaration qui exprime le sujet. Par exemple, 1 Ti. 4:6-16 «veille sur toi-même et sur ton enseignement» (16). La première partie est développée dans les versets 6 à 10, et la seconde partie dans les versets 11 à 15. Dans Ga. 6:1-10, Paul déclare que son sujet c’est “faire du bien aux saints” quand il dit: “pratiquons le bien envers tous, et surtout envers les frères en la foi» (10).

Un moyen pour identifier le sujet c’est de chercher un thème général, ou chercher un mot récurrent.

Puisqu’une idée a besoin des deux éléments, c’est-à-dire le sujet et le complément, la prochaine étape consistera à identifier les compléments.

2ème Etape: Identifier Les «Complements» Theologiques Du Texte

Le sujet ne peut pas exister seul. Il a besoin d’un ou de plusieurs compléments. Alors que l’auteur développe son passage, il dira différentes choses à propos du sujet sur lequel il écrit (les compléments). Le sujet et son complément forment une idée complète. Les compléments sont ce que nous appellerons les «points» qui divisent le passage en parties de message. Habituellement, l’auteur développe 2 à 3 points sur le sujet.

Chaque point dans le message évoquera quelque chose de différent sur le même sujet. Par chaque point lié au même sujet, le passage constitue une unité de pensée – c’est-à-dire qu’il est cohérent dans son unité. Et par chaque point évoquant quelque chose de différent, sur le même sujet, le passage a un mouvement, c’est-à-dire une progression, un courant de pensée.

Le sujet est donc ce de quoi parle le passage, et le complément est ce que l’auteur dit du sujet. Ainsi, une fois que vous avez découvert le sujet en vous posant la question «sur quel ou à quel sujet l’auteur écrit?», posez-vous maintenant la question à savoir «qu’est-ce que l’auteur dit sur le sujet sur lequel il écrit ?» la réponse à cette question produit les compléments.

Un moyen pour identifier le complément c’est de retourner le sujet en une question en se demandant: «Qu’est-ce que?» «Quand?» «Pourquoi?» (Réponse: «parce que» ou «afin que»), «comment?» (Réponse: «par»…), «Ou?» «Qui?» Ceci vous aide à déterminer les compléments.

Donc, quand nous prêchons le passage, nous prêchons sur un sujet et nous évoquons plusieurs points (compléments) à propos de ce sujet, tous ces points étant liés au même sujets. Ces points (compléments) sortent de vos recherches sur le texte (lecture, étude approfondie), également de vos analyses grammaticales et structurelles du texte.

3ème Etape: Exprimer En Bloc L’idee Du Texte

Après avoir identifié le sujet et ses compléments, vous devez être capable d’exprimer en une phrase l’idée complète du texte (c’est-à-dire ce de quoi parle le texte dans son ensemble).

Exemples De Sujet, Complements, Et Idee Du Texte

  • Psaume 1:1-2

Sujet: L’homme béni de Dieu (ou l’homme pieux)

Question: Qui / Quel genre d’homme est béni de Dieu?

Compléments:

1. L’homme qui (négativement) ne…

a) … marche pas selon le conseil des méchants

b) … s’arrête pas sur la voie des pécheurs

c) … s’assied pas en compagnie des moqueurs

2. L’homme qui (positivement) …

a) … trouve son plaisir dans la loi de l’Eternel

b) … la médite jour et nuit

Idée du texte: L’homme qui est béni de Dieu se sépare du monde et se consacre à la parole de Dieu

  • Jacques 1:5-8 (De Robinson, page 67-68)

Sujet: pas simplement la «sagesse» ou «comment obtenir la sagesse», mais «comment obtenir la sagesse au milieu des épreuves»

Question: Comment obtient-on la sagesse au milieu des épreuves?

Complément: La demander à Dieu avec foi.

Idée du texte: La sagesse dans les épreuves s’obtient en la demandant à Dieu par la foi.

3ème Partie: Leadership De Piete

1 Thessaloniciens 2:7-12 nous fait le portrait du leadership biblique. C’est un portrait de paternité et de masculinité biblique comme Dieu le désire, spécifiquement quand il s’agit du leadership de l’église.

Thessalonique est une ville que Paul a visitée avec Silas et Timothée lors de son deuxième voyage missionnaire (Actes 17:1-9). Paul y a prêché dans la synagogue et des Juifs, de même que beaucoup de Grecques furent sauvés; et de ce fait l’Eglise naquit dans cette ville.

Paul a eu beaucoup de souvenirs agréables de ses jours passés là-bas avec cette jeune église pleine de vie, dont la foi, l’espérance, l’amour et la persévérance était manifestes malgré la persécution à cause de leur foi. Je pense que nous voyons dans cette lettre qu’en tant que leur père spirituel, Paul était fier de ces jeunes chrétiens, et sa relation parentale avec eux est non moins manifeste dans ces versets.

Le point central de ce passage est qu’un bon leader chrétien est doux et un vrai père spirituel. Paul lui-même présente les traits d’un bon père-leader dans ses relations avec ces chrétiens de Thessalonique

Premièrement, notons qu’UN BON LEADER CHRETIEN DONNE DE TENDRES SOINS (7-9). «De même qu’une nourrice prend un tendre soin de ses enfants» (7). Remarquons cette première métaphore que Paul emploie pour décrire le leader chrétien. Premièrement, c’est une métaphore qui établit un contraste entre la tendresse maternelle au verset 7, et l’autorité apostolique de Paul au verset 6. Deuxièmement, c’est une métaphore qui rompt avec l’image de «patron» impassible, inflexible, partisan d’une discipline stricte qu’incarne le leader du 21ème siècle. La première image de cette métaphore est que….

1. Les bons leaders spirituels nourrissent leurs enfants spirituels avec douceur

Ils ne produisent pas simplement des enfants, ils en prennent soin. Leur soin est marqué par la douceur, «de même qu’une nourrice prend un tendre soin de ses enfants» Une nourrice c’est l’incarnation de soins tendres, de l’affection et de la protection. Littéralement, elle “tient au chaud son enfant” en le berçant, en le serrant dans ses bras contre son corps. Une nourrice est source de nourriture – elle transmet sa propre vie à l’enfant. Son corps transforme la nourriture qu’elle consomme en lait maternel pour son enfant, ce qui ne peut être fait par nulle autre personne. Elle tient l’enfant près de son cœur, où un lien d’unité prend place. Elle assure la sécurité, le confort, la chaleur et la protection.

De bons leaders chrétiens nourrissent leurs enfants spirituels avec douceur. Ils s’occupent d’eux comme une nourrice, leur fournissant de la nourriture physique, émotionnelle et spirituelle. Physiquement, ils fournissent les aliments de base – la chaleur, une bonne nourriture, la sécurité. Emotionnellement, ils soutiennent et encouragent leurs enfants, leur donnant de la confiance pour faire face aux défis de la vie. Spirituellement, ils enseignaient la parole à leurs enfants, afin qu’ils croissent dans le Seigneur (1 Pet. 2:1-3), se rappelant que les enfants ont besoin du lait avant la viande, et en prenant soin de ne pas mal nourrir leurs enfants.

Ce n’est pas facile d’être une «nourrice». Ecoutez Moise qui s’adresse aux Israelites à propos d’un tel rôle: «Est-ce moi qui ai conçu ce peuple? Est-ce moi qui l’ai enfanté, pour que tu me dises: porte-le sur ton sein, comme le nourricier porte un enfant jusqu’au pays que tu as juré à ses pères de lui donner». Où prendrais-je de la viande pour donner à tous ce peuple? Car ils pleurent auprès de moi, en disant: Donne-nous de la viande à manger! Je ne puis pas, à moi seul, porter tout ce peuple, car il est trop pesant pour moi. Plutôt que de me traiter ainsi, tues-moi, je te prie si j’ai trouvé grâce à tes yeux, et que je ne voie pas mon malheur. (No.11:12-15). Ceci explique combien pesant et frustrant peuvent être les responsabilités du leadership parental parfois. Mais ces fardeaux et frustrations sont vaincus par la seconde caractéristique de la métaphore. Non seulement les bons leaders spirituels nourrissent leurs enfants avec douceur, mais…

2. Les bon leaders spirituels aiment profondément leurs enfants spirituels (8-9)

Ils les aiment si profondément qu’ils les désirent avec affection«… dans notre vive affection pour vous» (8a). Ce terme est unique dans le Nouveau Testament. Il signifie se sentir rapprocher de quelque chose ou de quelqu’un». C’est un terme d’une forte intensité, un terme d’affection – à la fois masculin et tendre. C’est l’image de l’amour profond d’un père pour ses enfants. C’est son union avec ses enfants dont il se sent proche avec affection. A cause de son amour profond pour eux, il a une vive affection pour eux – il ne peut pas supporter la séparation d’avec eux. Il désire entendre leurs rires et de recevoir leurs baisers, et aussi leur donner du réconfort et de l’affection.

La tendresse d’un père peut baisser avec le temps. Alors que les enfants grandissent, ils deviennent moins dépendants, croissent plus et n’ont pas besoin d’être retenus comme c’était le cas auparavant. Plus tard ils sont plus grands en taille que nous. Mais cela ne diminue pas leur besoin d’être en contact avec nous, leur besoin d’amour, de réconfort, d’encouragement. De même, les leaders spirituels doivent continuellement manifester de la tendresse et de la compassion envers leurs enfants spirituels. La tendance parfois c’est les critiques acerbes et les jugements – partisan de la discipline rigide au lieu de l’attitude de la «nourrice».

Il n’était jamais venu à l’esprit du fils prodigue que son père ne le laisserait pas renter à la maison, malgré toutes les insultes et les blessures qu’il a infligées à son père. C’est pourquoi il a dit: «je me lèverai, j’irai vers mon père.» (Lu. 15:18-19). Mais il s’attendait à la colère et à la punition de son père, d’où sa proposition, «traite-mois comme l’un de tes ouvriers.» Mais aucune punition ne lui a été infligée. Au contraire, «comme il était encore loin, son père le vit et fut ému de compassion, il courut se jeter à son cou et l’embrassa.» (20). C’est là une affection profonde – sans hésitation, sans aucun interrogatoire, sans mise en sursis, mais seulement la compassion.

Ne pensez-vous pas que les enfants spirituels que Dieu nous a donné pour que nous puissions en prendre en soin ont besoin d’être traités avec compassion? Comment y arriver correctement? C’est en affirmant leur appartenance à Dieu et en appréciant ce qu’ils font.

Les bons pères spirituels aiment donc leurs enfants spirituels si profondément qu’ils ont une vive affection pour eux. Et ils les aiment si profondément qu’ils s’offrent en sacrifice – «… non seulement vous donner l’Evangile de Dieu, mais encore notre propre vie, tant vous nous étiez devenus chers.» (8b). Paul les a aimé si profondément qu’en plus de leur donner l’Evangile du salut, il s’est donné lui-même à eux. Il était prêt à mourir pour eux s’il le fallait. Il n’était pas tiède dans son ministère parmi eux. Il était intensément engagé à les servir. Il s’est donné en sacrifice pour eux parce qu’ils lui étaient «chers.»

Ce n’était pas assez de pourvoir simplement à leur besoin au plan physique. Ce n’était même pas assez de leur enseigner simplement les vérités spirituelles, aussi important que cela soit. La vérité de l’Evangile est nécessaire, mais nous devons aussi leur transmettre nos vies, leurs donner des parts de nos vies, les servir avec sacrifice – afin que nos vies deviennent des parties des leurs; et afin qu’ils puissent continuer ce que nous leur léguons.

Comment transmettrons-nous nos vies à nos enfants spirituels? Nous leur transmettrons nos vies en influençant leurs pensées et leurs valeurs, en leur démontrant comment prendre une bonne décision, en se présentant comme modèle de soutien de ce qui est juste, en leur enseignant comment gérer les finances de manière responsable, en leur accordant notre de temps, notre attention et affection, en reconnaissant nos torts et en demandant des excuses, en nous investissant en eux. Nous leur transmettons nos vie en vivant l’Evangile à travers nos pratiques quotidiennes, en étant transparents devant eux afin qu’ils puissent voir nos faiblesses aussi bien que nos force, nos peurs aussi bien que notre courage, nos espoirs aussi bien que nos déceptions.

Les bons pères spirituels aiment leurs enfants spirituels si profondément qu’ils ont une vive affection pour eux; ils se sacrifient pour eux et les aiment profondément; ils œuvrent, pour leurs enfants avec diligence«vous vous rappelez, frères, notre travail et notre peine: nuit et jour à l’œuvre, pour n’être à la charge d’aucun de vous, nous vous avons prêché l’Evangile de Dieu.»

Servir ses enfants spirituels implique «travail et peine» pour l’apôtre Paul. Les églises macédoniennes étaient très pauvres, aussi Paul a travaillé pour n’être à la charge de personne. Travail et peine signifie lassitude privations et durs labeurs, surtout dans le cas de Paul lorsqu’il lui fallait confectionner des tentes et prêcher l’Evangile en même temps. Les leaders spirituels doivent faire preuve de diligence dans leur œuvre, surtout quand c’est facile de relâcher au moment où personne ne vous suit. Les leaders spirituels ont le devoir d’œuvrer à la satisfaction des besoins spirituels de leurs assemblées – pour leur montrer la voie du salut, pour leur montrer l’exemple dans le christianisme. C’est un dur labeur.

La diligence dans ces choses illustre une éthique de travail par laquelle vous enseignez votre assemblée au travail, à la responsabilité, au dévouement, à la consécration à la fierté par rapport à un travail bien fait, à la loyauté. Accorder un soutien émotionnel, social et spiritual est une tâche difficile. Etre un père spiritual leader nécessite une diligence énorme. Et ceux-là qui peuvent faire l’équilibre entre leurs vies de travail et familiales et leurs vies d’église sont à honorer.

Dans l’édition prochaine de cette revue, nous poursuivrons notre étude de ce passage et un sujet sur «Le portrait biblique d’un bon leader spirituel».

4ème Partie: Plan De Predication

Pour la version audio de ces message en Anglais, cliquez sur ces liens:   Link 1 - Jn. 6:22-34; Link 2 - Jn. 6:34-40

Titre: Jésus, le Pain de Vie (6:22-40)

Point 1: Ce que les hommes veulent est temporel (26-34)

1. Les gens veulent de la nourriture périssable (26-27)

2. Les gens veulent accomplir des œuvres religieuses (28-34)

Point 2: Ce que Jésus offre est éternel (34-40)

1. Jésus offre la vie éternelle (35-36)

2. Jésus offre la sécurité éternelle (37-40)

a) La sécurité éternelle c’est par le don de Dieu (37)

b) La sécurité éternelle c’est par la volonté de Dieu (38-40)


1 Cité dans Anointed Expository Preaching, de Stephen Olford, page 29

2, Dans Anointed de Olford, pages 29-30.

3 Dans Preaching and Preachers de Martin Lloyd-Jones, page 305.

4 Under the Dew of Heaven de E.M. Bounds; Preaching Pure and Simple de Stuart Olyott, page 158

5Luke (Baker) de Darrel L. Bock, page 407.

6 Cette procédure est tirée de Biblical Preaching de Haddon Robinson page 39-41.

From the series: La Revue Des Pasteurs

Related Topics: Pastors

The Net Pastors Journal, Rus Ed 18, Зимнее Издание 2016

Зимнее Издание 2016

Составлено

Др. Роджер Паскоу, президент

Институт Библейского проповедования

Кембридж, Онтарио, Канада

(http://tibp.ca/)

C:\Users\Roger\Documents\My Documents\Institute for Biblical Preaching\Forms, Binder Cover Page, Logo\IBP Logos\IBP Logo.jpg

“Укреплять Церковь через Библейскую Проповедь и Руководство”

ЧАСТЬ I: Сила Проповеди, Часть 3

"Сила Святого Духа"

Великий пуританин-проповедник, Джон Оуэн, пишет: "Грех в том, что сегодня презирается (личность Святого Духа) и отвергается Его служение - это то же, что и идолопоклонство старым вещам в ранние времена, и отказ евреев от личности Бога-Сына.1 Доктор Олфорд утверждает:" Если грех в Ветхом Завете был в том, что отвергли Бога - Отца, а грех времен Нового Завета в том, что отвергли Бога-Сына, тогда грех нашего времени сейчас в том, что мы отвергаем Бога - Святого Духа."2

Есть два способа, как Святой Дух отвержен всеми в наше время (особенно как представляют Святого Духа в некоторых кругах). С одной стороны, Святой Дух отвергается из-за греха эскапизма или пропущения - некоторые проповедники не упоминают Святого Духа вообще. С другой стороны, Святой Дух отвергается путем греха экстремизма - т.е. поверхностным служением, хитрыми манипуляциями, и бессмысленными проявлениями, которые не согласуются с Писанием и не несут славы Божьей.

Мы должны убедиться, что мы поддерживаем библейское основание знаний о Святом Духе. Для любого проповедника невозможно быть эффективным, плодотворным, или сбалансированным в своем служении без признания силы Духа Святого и без того, чтобы давать место Его господству, водительству, освещению, и Его праву двигаться так, как и где Он хочет в Своей силе. Только Святой Дух может обратить всю вашу подготовку (изучение текста, наброски вашей проповеди и т.д.) в послание от Самого Бога, которое будет сопровождаться Его силой. Вы можете правильно понимать слово истины; Вы можете правильно изучать и анализировать тексты (предмет, структуру и содержание текста), и вы можете проповедовать то, что вы подготовили, логично и безупречно, но только посредством Святого Духа Бог сможет наполнить вашу проповедь силой к изменениям и духовному преобразованию чьей-либо жизни.

Иногда это называется "помазанием" Святого Духа, или "помазание" от Духа, или «свобода действий и проявлений" Духа. Нам необходим Святой Дух, чтобы мы могли провести тщательное исследование текста при подготовке к проповеди, и мы также должны искать благословения и силы Святого Духа, чтобы использовать послание для того, чтобы исполнить Его служение.

Итак, что же такое “помазанная проповедь”? Что это значит проповедовать с "помазанием"? Как проповедник получает эту силу Духа?

Во-первых, давайте посмотрим на определение самого термина. "Елейность" старомодное слово является синонимом "помазания". Для целей настоящей статьи, мы будем называть "помазание" в качестве особой силы и возможностей Святого Духа на проповеднике. Это не обычная сила и способности Духа, что позволяют нам жить христианской жизнью. Это доступ проповедника к специальной власти через проповедь через Святого Духа, так что то, что мы проповедуем имеет сверхъестественные последствия. Или, как профессор Ллойд-Джонс пишет: "Эту власть Бог дает ... она раскрывает то, что проповедник говорит без особых усилий с его стороны, в котором проповедник используется Духом и становится каналом, через который Дух движется." Е. M Баундс говорит об этом так: "(Божественное помазание) поддерживает и пропитывает открытую истину всей энергией Бога. Помазание просто утверждает Бога в Его собственном Слове и находится на Его проповеднике". 3

Теперь, давайте посмотрим на некоторые ключевые библейские ссылки. Луки 4: 18-19, 18 "Дух Господень на Мне, ибо Он помазал Меня благовествовать нищим; Он послал Меня исцелять сокрушенных сердцем, проповедовать пленным освобождение и прозрение слепым, отпустить измученных на свободу, 19 проповедывать лето Господне благоприятное ". Вот, Иисус в синагоге, читает из Ис. 61: 1-2. Что имеет в виду Иисус говоря, что “Дух Господень "помазал" Его?”

Не было никаких доказательств какого-либо физического, телесного изменения в Нем, не было изменений в Его манере говорить, ни в какой-либо Его духовности. Кажется, что это было обычным чтением Писаний. Единственное отличие от любых других Писаний в синагоге был Его характеристика текста, как пророческого служения, и утверждения того, что пророчество было в тот день исполнено.

То, как Лука построил свое повествование, тем не менее, становится очевидным, что это событие (Лк. 4: 18-19) напрямую связано с повествованием о младенчестве и крещении (Лк 1:35), Лк 3: 21- 22), все три события предназначены для того, чтобы подчеркнуть, что Иисус - Помазанный Божий Сын - Тот, кто послан Богом; Тот, кто отделен Богом, тот, кто уполномочен Богом, чтобы провозгласить (и также явить) Свое царство. 4

Похоже, что сущность помазания Иисуса состоит именно в утверждении Иисуса как того, кого Бог отделил специально для задания рассказать Благую весть и специально определить на служение. Что самое удивительное - это то, что даже сам Господь Иисус принял особое помазание от Святого Духа, чтобы выполнить свою миссию на земле.

Лука 24:49, "оставайтесь в городе Иерусалиме, доколе не облечетесь силою свыше." Деяния 1:8, "Но вы примете силу, когда Святой Дух сойдет на вас; и вы будете свидетелями мне в Иерусалиме и во всей Иудее и Самарии и даже до края земли." Здесь мы видим учеников, которые следовали за Господом в течение трех лет (они слышали Его проповедь, знали Его учение, знали Его заповеди, были свидетелями Его чудес, видели Его смерть и погребение, и видели Его после воскресения) и теперь им дано обещание, что они будут "наделены" силой Святого Духа, который, сойдет на них в день Пятидесятницы, как говорится в Деяниях 2: 4 "и все они были исполнены Духа Святого и начали говорить на иных языках, как Дух давал им провещевать".

Вы не думаете, что таким людям могли потребоваться какие-то особые права и возможности для служения. Им не нужно было дополнительное знание или убежденность в истине об Иисусе. Что им было нужно, это сила и способность выполнять свое служение и миссию (расширить служение Иисуса) в момент, когда Иисус ушел. И это то, чем они были наделены в Деяниях 2 - особой силой от Святого Духа, специально для того, чтобы их свидетельство и работа имели сверхъестественную силу.

Эффект от этой особой силы поражает. Петр, который ранее отрекался от Господа, теперь может проповедовать со смелостью и властью, так что 3000 человек обращены в христианство за один день.

Деяния 4:7-8 И, поставив их посреди, спрашивали: какой силой или каким именем вы сделали это? Тогда Петр, исполнившись Духа Святого, сказал им, "Начальники народа и старейшины Израильские!... ». Очевидно, что Петр был "исполнен Духа Святого" в день Пятидесятницы. Так, почему ему нужно было снова наполнение? Поскольку наполнение Духом это повторный процесс, в котором Дух наделяет служителей Божьих, чтобы выполнить конкретное служение, то он вновь получает наполнение от Духа Божия, чтобы исполнить конкретную задачу, в этой главе, а особенно - его испытание для исцеления хромого в гл. 3. Есть намного больше ссылок на эти же явления в Деяниях ( н-р Деян 4:31; 6: 3, 5; 7:55; 9:17; 11:24; 13: 9, 52), но этого будет достаточно для нас.

1 Кор. 2: 1-5 " И когда я приходил к вам, братия, приходил возвещать вам свидетельство Божие не в превосходстве слова и мудрости, ибо я рассудил быть у вас незнающим ничего, кроме Иисуса Христа, и притом распятого, и я был у вас в немощи и в страхе и в великом трепете. И слово мое и проповедь моя не в убедительных словах человеческой мудрости, но в явлении духа и силы, чтобы вера ваша утверждалась не на мудрости человеческой, но на силе Божией.”

Это личное свидетельство Павла о том, как он проповедовал и учил, показывает нам, что духовно сильная проповедь не сопровождается внешними доказательствами и внутренними субъективными переживаниями какой-то мистической силы. На самом деле, ни содержание послания Павла, ни методы его проповеди не выражались посредством проявления какой-то силы.

На самом деле, послание Павла (а именно, о Христе и притом распятом) было, по его собственным словам, "глупым" и его манера была отмечена слабостью, страхом, дрожью, и заметным отсутствием убедительных слов человеческой мудрости. Хотя его собственные ресурсы и способности были слабыми, но его речь и проповедь сопровождались, и демонстрировались, силой Духа, в результате чего их вера не должна была совершаться в мудрости человеческой, но на силе Божией.

Итак, что же он имеет здесь ввиду? Павел говорит, что его посыл был (ни в превосходстве слова или мудрости, ни в убедительном ораторском искусстве), ни в его послании (о Христе и притом распятом), которым можно было бы убедить людей в истинности Евангелия, но только Святой Дух мог сделать это. Если его послание и подача были сформированы, чтобы убедить их, в том, что у них есть уверенность в нем, то он, вероятно, написал бы иное послание (основанное на человеческой мудрости) и в иной форме (харизматичное, свободное, уверенное, впечатляющее; визуально и устно яркое). Нет доказательств ни в одной библейской проповеди и поведении Павла, что он когда-либо испытывал субъективные чувства (как утверждают некоторые проповедники), ни то, что его проповедь когда-либо сопровождалась сильными переживаниями или мистикой. Единственный раз, когда он обращается к опыту "вне тела" во 2 Кор. 12, где он делится видением третьего неба - но это вряд ли применимо к сегодняшним проповедям.

Напротив, сила проповеди Павла была очевидной, она была ни в его чувствах или опыте, но в силе Святого Духа в тех, кто получил преобразование в жизни - их вера выражалась ни в человеческой мудрости, но в силе Божьей и, как в проповеди Петра, они говорили: "Что мне сделать, чтобы спастись?" В случае с фессалоникийцами, например, их жизни были изменены: они перешли от поклонения идолам к служению Живому и Истинному Богу и ожиданию Его Сына с небес (1 Фес 1: 9-10.) Так проявилось помазание Духа Святого на проповеди Павла среди них, это не был какой-то субъективный опыт с его стороны или какое-то мистическое явление.

Опять же, в случае с коринфянами, сила свидетельств апостолов среди них послужила тому, что их жизнь стала как “письмо Христово”, которое было написано Духом Бога живого в их сердцах (2 Кор. 3: 3). Другими словами, это радикальное изменение в их жизни свидетельствовало о преобразующей работе Духа Святого в них через помазанную проповедь Павла. Для Павла, по-видимому, практическое выражение помазания Духа в его служении казалось ярче, чем его собственные ресурсы и малые способности, но Дух был силен ,чтобы "вера ваша утверждалась не на мудрости человеческой, но на силе Божьей."

Это подтверждается еще во 2 Кор. 4: 7. "Но сокровище сие мы носим в глиняных сосудах, чтобы преизбыточная сила была приписываема Богу, а не нам." И опять же, во 2 Кор. 12: 9, "И Он сказал мне:" Моей благодати довольно для тебя, ибо сила Моя совершается в немощи ". Поэтому я более гораздо охотнее буду хвалиться моими немощами, чтобы сила Христова обитала во мне".

Эти тексты развенчивают любое понимание того, что помазание Святого Духа связано с внешними проявлениями человеческой силы или внутренними переживаниями и эмоциями. Павел делает акцент на то, что сила Божия проявляется в проповеди именно потому, что сосуды, через которые Бог рад принести Свое послание, и они - не более, чем дешевые, потрескавшиеся, глиняные горшки, которые, по иронии судьбы, являют великолепное и сильное сокровище внутри себя. Другими словами, Павел решительно заявляет, что помазанная проповедь - ни громкая, ни многословная, ни высокомерная, ни уверенная в себе, ни авторитарная, ни лингвистически обогащенная, а также ни теплая, ни пушистая, ни связанная с опытом вне тела или какими-либо другими подобными проявлениями. Скорее всего, такая проповедь - полная противоположность всему выше сказанному.

Помазаннная проповедь - это когда слабые люди, в которых Бог излил свет Своего Евангелия в лице Иисуса Христа, и также те, кто в своих повседневных слабостях, страданиях и скорбях, полагаются, без сомнения, на божественный источник и истину послания. Вот это и есть помазанная проповедь.

Павел не дает ни единого намека на какое-либо чувства "парения" у проповедника над проповедью или какой-либо усиленной речью и т.д., но совсем наоборот. "Моя сила," Бог говорит Павлу, "совершается в немощи». Павел черпал мужество в его слабостях, немощах, упреках, потребностях, гонениях, огорчениях, ради Христа, именно так, что сила Божия могла пребывать на нем. "Ибо, когда я немощен, тогда я силен" (2 Кор. 12: 4).

Мы изучили Ефесянам 5:18 в предыдущем издании этого журнала. Вы можете посмотреть на этот текст снова в контексте нашего исследования о силе Святого Духа в нас.

Давайте кратко рассмотрим два других места Писания, которые говорят на эту же тему. Кол 1: 28-29, "Которого мы проповедуем, вразумляя всякого человека и научая всякой премудрости, чтобы представить всякого человека совершенным во Христе Иисусе. Для чего я и тружусь, и подвизаюсь силою Его, действующею во мне могущесвенно. "Хотя Павел " старался " настолько сильно, как он мог, выполнять свое служение, но то, что сделало его эффективным была "Его сила, действующая во мне могущественно ". Это было помазание Святого Духа.

1 Фес. 1: 5 "Потому что наше благовествование у вас было не только в слове, но и в силе и во Святом Духе, и со многим удостоверением, как вы сами знаете, каковы были мы для вас между вами." Сила, которую Павел описывает здесь, опять же, силу Святого Духа среди слушателей. Он не претендует на какую-то присущую ему власть, духовную или физическую. В первую очередь это было "Слово", что пришло к ним в силе Святого Духа, которое преобразило их мышление и поведение. Дополнительная уверенность в том, конечно, была получена из наблюдений "каковы были мы для вас между вами". Очевидно, что образ жизни апостолов был таким, что произвел такое впечатление, что он не только подтвердил истину о том, что они сказали, но также и обвинил Фессалоникийцев в том, что они стали “подражателями /последователями нам и Господу" (1 Фес 1: 6).

Такой радикально измененной стала их жизнь, что все, кто жили в тех местах, знали, что с ними произошло. Они стали эффективными свидетелями истины Евангелия для каждого, с кем они общались, внешнее проявление их обращения выразилось через то, что они "обратились к Богу от идолов, чтобы служить Богу живому и истинному" (1 Фес 1: 9).. Это стало свидетельством и результатом помазанной Духом проповеди.

В следующем издании этого пасторского журнала мы сделаем некоторые выводы о том, что является проявлением силы Духа Святого, а что - нет.

Часть II: Подготовка К Проповеди

"Определение структуры текста: ч. 1 Тема и Дополнения

Определение предмета и его дополнений является важным шагом в процессе подготовки к проповеди. Как мы видели в предыдущих изданиях этого журнала, процесс подготовки к проповеди, как я вижу, включает: (1) изучение текста, (2) понимание текста, и также (3) определение структуры текста. Вся эта подготовка приведет в конечном итоге к оформлению проповеди из текста.

Всякая полная идея (синтаксический блок) должна иметь как предмет действия, так и дополнение к нему. Определение выражает что-то, связанное с предметом - например, действие выполняется через предмет действия или относится как-то к предмету.

Например, вы никогда бы не сказали, "Птица" - это тема, но это не полное представление данной темы. Вы должны добавить что-то о птице - то есть дать больше информации., как например, кто такая птица, почему вы хотите говорить о ней... Вы можете сказать: "Посмотрите на птиц." Или, "Эта птица - красивая". Или, "Птица летит, как орел". Но вы не будете говорить: "красивая". Или, "летит". Или, "как орел." Эти дополнения должны соотноситься как-то с предметом. Что красиво?" - “Птица - красива!”; “Кто летит?“ - “Птица летит” "Как летит птица? - Птица летит, как орел."

Таким образом, предмет и дополнение (иногда называется предикат) являются двумя основными структурными компонентами простого предложения, которые вместе образуют полную картину. Без того или другого компонентов, вы не сможете передать свою мысль так, чтобы другие ее правильно поняли.

Таким образом, каждое место Писания имеет тему - (также известный как "доминирующая тема") и дополнение (также известное как "объединение мыслей вокруг темы»). Предмет / доминирующая (главная) тема - это то, о чем автор говорит. После изучения текста, вы должны решить, что является основной темой / учением из данного текста? Что является главной истиной в отрывке места Писания? Именно об этом вам и следует проповедовать. Главная тема / тема вашего текста и должна стать темой / предметом в вашей проповеди. Мы поясним, как вам определиться с темой позже. Здесь достаточно сказать о том, что наш общий герменевтический подход при подготовке к проповеди включает в себя определение темы текста, потому что он формирует основу для того, о чем вы собираетесь проповедовать. Это - одна из первых вещей, которую вам нужно сделать, когда вы готовите проповедь.

Кроме того, не только каждое место Писания имеет тему, но каждая тема имеет дополнение / оъединение мыслей. Дополнением является то, что автор говорит относительно темы.

Целостноность вашей проповеди должна быть выражена в основной теме вашего текста, и дополнения сформируют пункты, которые будут выражены через вашу проповедь по вашей теме. Определившись с темой и дополнениями, вы определите (1) тему вашей проповеди (то, о чем вы хотите сказать), (2) то, что вы собираетесь сказать в контексте этой темы. Это и будет основная структура текста.

Шаг 1. Определите Богословскую "Тему" Текста5

Никогда не проповедуйте, если вы не знаете, о чем этот отрывок Писания, в частности, если речь идет о его теологическом обосновании. Таким образом, нам действительно важно иметь богословское понимание темы. Структура текста и ход мыслей в контексте не могут быть точно определены до тех пор, пока вы не знаете темы - то есть того, о чем пишет автор. Зная о чем этот отрывок, вы сможете начать готовить любую проповедь. Вы не можете проповедовать об отрывке Писания, если вы не знаете, о чем в нем идет речь. И вы не можете должным образом и точно определить структуру отрывка и его контекст, пока вы не знаете темы.

Чтобы определить тему, спросите себя: "О чем пишет автор?" - Не о "событии" или "истории", но какой богословский вопрос лежит в основе событий или истории. Иногда богословская тема такая же или близкая к текстовой структуре - особенно в посланиях, где авторы пишут прямое богословие. Но в повествовательных отрывках Писания, мы должны смотреть поверх историй, чтобы найти богословские моменты, которые мы и осветим в проповеди. Отвечая на вопрос “О чем пишет автор?”(главная тема) убедитесь в том, чтобы тема не была слишком обобщенной - например, “о любви", то есть что конкретно “о любви” пишет автор? Всегда старайтесь оформить тему, о которой автор говорит, в конкретные утверждения, а не высказывайтесь обобщенно.

Например, в Псалме 1, обобщенная тема в том, что речь в нем идет о благочестивых и нечестивых. Мы можем сузить это широкое определение темы сказав, что в тексте имеется противопоставление между ними. Таким образом, вы бы определили тему отрывка "Противопоставление благочестивых к нечестивым".

Другим примером может быть Фил. 2: 1-11. Общая тема - "Единство". Мы можем сузить эту обширную тему, сказав, что единство зависит от правильной позиции и поведения христиан. Таким образом, мы бы определили тему, как "Правильное отношение и поведение христиан производит единство».

Что вы думаете о главной теме? Ну, во-первых, мы поищем одно утверждение в тексте, которое хорошо раскрывает тему. Например, 1 Тим. 4: 6-16 "Вникай в себя и в учение" (стих 16). 1-я часть находится в 4: 6-10 и 2-я часть - в 4: 11-15. В Гал. 6: 1-10, Павел утверждает тему "Делать добро святым", когда он говорит, "Давайте делать добро всем людям и особенно своим по вере" (стих 10).

По другому можно определить главную идею через поиск общей темы. Или поиск повторяющихся слов.

Поскольку основная идея нуждается как в теме, так и в дополнениях, следующим шагом будет - определение дополнений (контекста).

Шаг 2. Определите Богословские “Дополнения” Текста

Тема не может быть по отдельности. Она нуждается в дополнении или нескольких дополнениях. По мере того, как автор ракрывает отрывок, он говорит о теме, которую он описывает. Тема и ее дополнения образуют полное представление. Дополнения - это то, что мы бы назвали «точками», которые разбивают отрывок на сегменты проповеди. Как правило, автор выделит 2 или 3 пункта по теме.

Каждый пункт в отрывке иначе обозначит тему. По каждому пункту в теме проповеди, отрывок Писания объединит мысль - то есть он имеет согласование, единство. И каждый пункт проповеди будет раскрывать что-то новое по той же теме, у отрывка будет развитие, динамика - то есть развитие, поток разных мыслей.

Тема, а затем и отрывок, и дополнения - это то, что автор говорит о теме. Итак, когда вы обнаружили тему, спросите себя "О чем пишет автор?", Затем задайте себе другой вопрос; "Что автор говорит по поводу выбранной темы?" Ответ на этот вопрос производит дополнения.

Один из способов определить дополнения в том, чтобы превратить тему в вопрос, спрашивая "Что? Когда? Почему? (ответ будет: "потому что", или "так, как"), Как? (ответ: "посредством"), где? кто? "Эти вопросы помогут вам найти дополнения. Таким образом, если тема об "испытании характера человека", вы можете задать вопрос, "Что это за испытание характера человека?" Ответы на этот вопрос сформируют дополнения.

Поэтому, когда мы проповедуем отрывок Писания, мы проповедуем об одной теме, и мы выделяем несколько пунктов (дополнений) по теме, и все они относятся к той же теме. Эти дополнительные пункты выводятся из вашего исследования текста (чтения и изучения) и вашего грамматического и структурного анализа текста.

Шаг 3. Определите Идею Текста В Целом

После определения темы и ее дополнений, вы должны суметь сформулировать полную текстовую идею в одно предложение (т.е. то, о чем повествует отрывок).

Примеры Темы, Дополнений И Общей Текстуальной Идеи

  • Псалом 1:1-2

Тема: Человек, благословленный Богом(или благочестивый муж)

Вопрос: Кто / Какой человек благословлен Богом?

Дополнения:

1. Человек, который не (негативно) …

a) … ходит на совет нечестивых

б) … стоит на пути грешных

в) … сидит в собрании развратных

2. Человек, который (позитивно) …

a) … в законе Господа воля его

b) … о законе размышляет день и ночь

Текстуальная идея: Человек, который благословлен Богом, отделяет себя от мира и посвящен Божьему Слову

  • Иакова 1:5-8 (из Робинсона, с. 67-68)

Тема: Не просто ”мудрость”, но “как получить мудрость”, но “как обрести мудрость в испытаниях”

Вопрос: Как обрести мудрость посреди испытаний и искушений?

Дополнение: Попросить Бога с верой

Текстуальная идея: Мудрость в испытаниях достигается через прошение Бога с верой

Часть Iii: Размышление О Лидерстве

1-е Фессалоникийцам 2: 7-12 дает нам портрет библейского руководства. Это - портрет отцовства и библейского мужества, которого желает Бог, особенно когда речь идет о лидерстве в церквях.

Фессалоники - был город, который Павел посетил с Силой и Тимофеем в своем втором миссионерском путешествии (Деяния 17: 1-9). Павел проповедовал в синагоге, и некоторые из евреев покаялись, и много греков было спасено, и, таким образом, появилась церковь в этом городе.

У Павла много приятных воспоминаний о днях с этой молодой, энергичной, живой церковью; чья вера, надежда, любовь, и долготерпение были очевидны, несмотря на гонения за веру. Я думаю, что мы видим в этом послании, что Павел, как духовный отец, гордился этими молодыми христианами, и его “родительские” отношения с ними очень ясно видны в этих стихах.

Главным моментом в этом отрывке является то, что сильный христианский лидер - нежный и истинный духовный отец. Здесь Павел сам моделирует черты сильного христианского лидера-отца в его отношениях с этими христианами.

Во-первых, обратите внимание, что сильный христианский лидер - любящий и несущий щедрую заботу (7-9). "Мы были тихи среди вас, как кормилица нежно обходится с детьми своими» (7). Обратите внимание на первую метафору, что Павел использует, чтобы описать христианского лидера. Во-первых, это метафора - “нежность матери”, в стихе 7 с апостольской властью Павла в стихе 6. Во-вторых, это метафора, разрушает образ лидера в 21 веке, как «босса», бесстрастного, трудно управляемого, дисциплинирующего. Первая картина в этой метафоре следующая …

1. Сильные духовные лидеры относятся к духовным детям с нежностью

Они не просто производят детей, но они заботятся о них. Их забота выражается в нежности, как "кормилица нежно обходится с детьми своими". Кормящая мать - воплощение нежной заботы, привязанности и защиты. Буквально, она "держит своего ребенка в тепле" прижимая ребенка к груди, держа его близко к телу. Кормящая мать является источником питания - она отдает свою собственную жизнь ребенку. Ее организм превращает пищу, что она ест, в молоко для ребенка, которое не может быть сделано кем-то другим. Она держит ребенка близко к сердцу, где единение с ним имеет место. Она обеспечивает ему безопасность, комфорт, тепло, защиту.

Сильные христианские лидеры питают их “духовных детей” нежно. Они, относятся к ним, как кормящая мать, обеспечивая их физической, эмоциональной и духовной пищей. Физически, они обеспечивают для них жизнь - тепло, хорошее питание, безопасность. Эмоционально, они поддерживают и поощряют своих “детей”, давая им уверенность, чтобы они могли противостоять вызовам, что бросает им жизнь. Духовно, они учат своих “детей” Слову, чтобы они могли возрастать в Господе (1 Пет. 2: 1-3), помня, что “дети” нуждаются в молоке до того, как начнут есть мясо, и быть осторожными, чтобы не давать своим детям неправильную пищу.

Не легко быть "кормящей матерью". Послушайте Моисея говорящего с Богом о израильтянах в этой роли: "Разве я носил во чреве весь народ сей? Разве я родил его, что Ты говоришь мне: "Неси его на руках твоих, как нянька носит ребенка..? ... Откуда мне взять мяса, чтобы дать всему народу сему? Ибо они плачут предо мною и говорят: "Дайте нам есть мяса" Я один не могу нести всего народа сего, потому что он тяжел для меня. Когда Ты так поступаешь со мной, то лучше умертви меня здесь и сейчас ... чтобы мне не видеть бедствия моего. "(Чис. 11:12). Мы видим из этого, как обременительны и сложны могут быть иногда “отцовские”, лидерские обязанности. Но эти неудобства и бремена могут быть преодолены с помощью второго момента в этой метафоре. Не только сильные духовные лидеры питают детей с нежностью, но ...

2. Духовно сильные лидеры глубоко любят своих духовных детей (8-9)

Они любят их так сильно, что они из усердия к ним, хотят - “... из усердия хотят быть с ними” (8a). Это - уникальный термин в Новом Завете. Это означает "почувствовать себя привязанным к чему-то или кому-то". Это - термин сильной нежности, глубокой любви, как отца, так и матери. Это - картина глубокой любви отца к своим детям. Таково его единство со своими детьми, когда он чувствует себя привязанным любовью к ним. Из-за его глубокой любви к ним он жаждет быть с ними - не может вынести разлуки с ними. Он жаждет услышать их смех, и получить от них поцелуи, и дать им свою любовь и комфорт.

Нежность отца может уменьшиться со временем. Поскольку дети растут, они становятся менее зависимыми, крепнут, не нуждаются в том, чтобы быть постоянно на руках папы и мамы, как когда-то раньше. Вскоре они становятся выше. Но это не умаляет их необходимости в нашем прикосновении, в нашей любви, в нашем комфорте, в нашей поддержке. Точно так же духовные лидеры должны постоянно показывать нежность и сострадание к своим духовным “детям”. Тенденция имеется иногда со стороны лидеров - быть грубыми и осуждающими - наказывающими вместо "кормящей матери".

Блудному сыну никогда не приходило в голову, что его отец не разрешил бы ему вернуться домой, несмотря на все оскорбления и боль, что он причинил своему отцу. Он сказал: "Я встану и пойду к отцу моему" (Лк. 15: 18-19). Но он ожидал гнев отца и наказание. Поэтому он и предложил в начале, "Возьми меня в число наемников твоих". Но наказание не последовало. Вместо этого, "Когда он был еще далеко, увидел его отец его и сжалился; и, побежав, пал ему на шею и целовал его" (20). Это глубокая любовь отца - без колебаний, без инквизиции, без пробации, только лишь сострадание.

Не кажется ли вам, что духовные “дети”, которых Бог дал нам, нам нужно заботиться о них с состраданием? Как мы можем это сделать правильно? Ободряя их в том, кто они есть, и ценя то, что они делают.

Сильные духовные отцы любят своих духовных детей настолько глубоко, что они скучают без них. И они любят их так глубоко, что они отдают им себя, как жертву - "Мы из усердия к вам восхотели передать вам не только благовестие Божие, но и души наши, потому что вы стали нам любезны" (8б). Павел любил их так глубоко, что он не только принес им Евангелие спасения, но он отдал им себя. Он был готов умереть за них, если это необходимо. Он не был теплым в его служении им. Он был сильно посвящен служению им. Он отдал себя, как жертву за них, потому что они были "любезны" ему.

Не было достаточно лишь обеспечить их физические нужды. Не было достаточно научить их духовным истинам, хотя это важно. Истина Евангелия - необходима, но мы также должны поделиться с ними нашими собственными жизнями - поделиться собой, служить им жертвенно - так чтобы наша жизнь стала частью их; так чтобы они продолжили в том наследии, что мы оставим им.

Как мы делимся нашей жизнью с нашими духовными детьми? Мы отдаем им нашу жизнь, влияем на их мышление и ценности, демонстрируя, как принимать верные решения; подаем пример им в том, как стоять за то, что правильно; обучаем их, как обращаться ответственно с финансами; отдаем им свое время, внимание и любовь; признаемся в ошибках и извиняемся, когда мы не правы, вкладываем в них. Мы делимся с ними своей жизнью, ходя в истине Евангелия в нашей жизни ежедневно, будучи прозрачными перед ними, чтобы они могли видеть как наши слабые, так и сильные стороны; как наши страхи, так и наше мужество; как наши надежды, так и наши разочарования.

Сильные духовные лидеры любят своих духовных детей, так сильно, что они жаждут быть с ними; они отдают себя жертвенно, и они любят их так глубоко, что служат им с усердием - "Ибо вы помните, братия, труд наш и изнурение: ночью и днем работая, чтобы не отяготить кого из вас, мы проповедывали у вас благовестие Божие "(9).

Служение своим духовным детям для Павла включало "труд и изнурение". Македонские церкви были крайне бедными, поэтому Павлу приходилось работать, чтобы быть финансово независимым от них. "Труд и изнурение" означает усталость, трудности и тяжелую работу, особенно в случае Павла, когда он делал палатки и проповедовал в то же самое время. Духовные лидеры должны быть прилежными в работе, особенно когда никто не смотрит, и легко начать бить баклуши. Духовные лидеры просто обязаны работать усердно ради духовных нужд своих прихожан - показать им путь к спасению, явить им пример христианства. Это - тяжелый труд!

Трудолюбие является примером хорошей трудовой этики, с помощью которой вы учите вашу паству быть трудолюбивыми, ответственными, посвященными, преданными, чтобы можно было гордиться хорошо выполненной работой, чтобы быть верными. Обеспечение эмоциональной, социальной и духовной поддержки - сложная работа. Необходимо огромное усердие, чтобы быть духовным отцом-лидером. А те, кто может сбалансировать свою жизнь с их семейной жизнью и церковной жизнью должны быть почитаемы.

В следующем издании этого журнала мы продолжим наше исследование этого отрывка и темы "Библейский портрет сильного духовного лидера."

Часть Iv: План Проповеди

Чтобы прослушать аудиоверсию проповедей на английском языке, щелкните мышью по ссылкам: Link 1 - Jn. 6:22-34; Link 2 - Jn. 6:34-40

Заголовок: Иисус, Хлеб жизни (6:22-40)

Пункт #1: То, что хотят люди, временно (26-34)

1. Люди хотят питаться тленной пищей (26-27)

2. Люди хотят религиозной деятельности (28-34)

Пункт #2: Что предлагает Иисус, вечно (34-40)

1. Иисус предлагает вечную жизнь(35-36)

2. Иисус предлагает вечную безопасность (37-40)

a) Вечная безопасность - это дар Бога (37)

б) Вечная безопасность - это воля Бога (38-40)


1 Олфорд, “Помазанный”, 29-30.

2 Олфорд, “Помазанный” 29-30.

3 E.M. Баундс, “Под росой Небес”, с. 158

4 Даррел Л. Бок. “Лука” 407.

5 Этот отрывок взят из книги Хаддона Робинсона, Библейская Проповедь, с. 39-41.

Related Topics: Pastors

Jurnalul Electronic Al Păstorilor, Rom Ed 18, Ediția de Iarnă 2016

Ediţia de Iarnă, 2016

Autor: Dr. Roger Pascoe, Preşedinte,

Institutul de Predicare Biblică

Cambridge, Ontario, Canada

(http://tibp.ca/)

Description: Description: Description: Description: C:\Users\Roger\Documents\My Documents\Institute for Biblical Preaching\Forms, Binder Cover Page, Logo\IBP Logos\IBP Logo.jpg

“Întărind Biserica în predicare biblică şi conducere”

Partea I: Putere Pentru Predicare, Pt. 3

“Puterea Duhului Sfânt”

Marele predicator puritan, John Owen scrie: „Păcatul disprețuirii (persoanei Duhului Sfânt) și respingerea lucrării Sale este de aceeași natură cu vechea idolatrie și cu respingerea Fiului de către evrei.”1 Dr. Olford afirmă: „Dacă păcatul din perioada Vechiului Testament consta în respingerea lui Dumnezeu Tatăl, în perioada Noului Testament a lui Dumnezeu, Fiul, atunci păcatul vremurilor noastre este respingerea lui Dumnezeu, Duhul Sfânt.2

Există două moduri în care Duhul Sfânt este respins în vremurile noastre (în special dat fiind accentul asupra Duhului Sfânt, în anumite cercuri). La un pol al discuției, Duhul Sfânt este respins prin păcatul evitării – unii predicatori nici măcar nu îl menționează pe Duhul Sfânt. La celălalt pol, Duhul Sfânt este respins prin păcatul extremismului - de ex. lucrări superficiale, manipulări subtile și manifestări iraționale care nu sunt în acord cu Scriptura și nici pentru gloria lui Dumnezeu.

Trebuie să ne asigură că păstrăm un echilibru biblic în ceea ce privește lucrarea Duhului Sfânt. Pentru un predicator, este imposibil să fie eficient, rodnic și echilibrat în lucrarea lui, fără să Îl recunoască și să îi acorde cinstea cuvenită Duhului Sfânt, în ceea ce privește călăuzirea, iluminarea și împuternicirea pe care le oferă. Doar Duhul Sfânt poate transforma toată pregătirea ta (studiul textului, structurarea predicii etc.) într-un mesaj din partea Domnului, însoțit de puterea Sa. Poți să împarți drept cuvântul adevărului, poți să studiezi și să analizezi textul în mod corespunzător (subiectul, structura și esența unui text) și poți predica ceea ce ai pregătit, într-un mod logic și fără erori, însă numai Dumnezeu, prin Duhul Sfânt, poate da predicii puterea de a produce o transformare spirituală în viața cuiva.

Acest aspect este numit uneori „ungerea” Duhului Sfânt, sau împuternicirea Duhului. Avem nevoie ca Duhul Sfânt să ne capaciteze să studiem textul și să pregătim mesajul într-un mod cât mai corect, dar și să căutăm binecuvântarea și puterea Duhului astfel încât Dumnezeu să-și ducă la îndeplinire lucrarea Sa.

Așadar, ce este predicarea cu ungere? Ce înseamnă să predici „cu ungere”? cum obține un predicator această împuternicire a Duhului Sfânt?

În primul rând, să privim la definiția termenului. „Ungerea” se referă la un cuvânt mai vechi. Nu avem în vedere acum acea împuternicire generală pe care Duhul ne-o oferă pentru a trăi viața creștină. Este vorba despre accesul predicatorului la o putere specială pentru predicare prin Duhul Sfânt, așa încât ceea ce predicăm să producă urmări supranaturale. Sau, după cum spune Dr. Lloyd-Jones: „Este o putere de la Dumnezeu.. care înalță (ceea ce predicăm) dincolo de strădaniile și eforturile omenești, până acolo încât predicatorul este folosit de Duhul și devine canalul prin care Acesta va lucra.” 3 E.M. Bound afirmă: „(Ungerea divină) susține și imprimă adevărul revelat, cu toată energia lui Dumnezeu. Ungerea înseamnă prezența lui Dumnezeu în Cuvântul Său și în viața predicatorului.” 4

Acum, să luăm aminte la câteva referințe biblice. Luca 4:18-19, "Duhul Domnului este peste Mine, pentru că M-a uns să vestesc săracilor Evanghelia; M-a trimis să tămăduiesc pe cei cu inima zdrobită, să propovăduiesc robilor de război slobozirea, şi orbilor căpătarea vederii; să dau drumul celor apăsaţi şi să vestesc anul de îndurare al Domnului." Isus se află, aici, în sinagogă și citește din Isaia 61:1-2. La ce se referă Isus când spune că Duhul Domnului l-a „uns”?

Nu s-a văzut nicio dovadă a vreunei schimbări fizice în el, nicio schimbare în modul în care vorbea, și nici un fel de experiență spirituală. Se pare că era vorba de o citire normală a Scripturii. Singura diferență, față de orice altă citire a Scripturii în sinagogă, a fost lumina adusă asupra aspectului profetică al textului și anume că a sosit ziua când profeția avea să fie împlinită prin lucrarea lui Hristos. Modul în care își construiește Luca narațiunea sa ne arată că aceste eveniment (Lc. 4:18-19) este legat direct de narațiunea nașterii (Lc. 1:35) și a botezului (Lc. 3:21-22), toate trei subliniind faptul că Isus este Unsul lui Dumnezeu - Cel trimis de Dumnezeu, Cel pus deoparte de Dumnezeu, Cel împuternicit de Dumnezeu să proclame (și să inaugureze) Împărăția Sa.5

Prin urmare, aceasta pare să fie natura ungerii lui Isus – confirmarea faptului că El este Cel pe care Dumnezeu l-a pus deoparte să predice vestea bună și să fie împuternicit pentru lucrare. Ceea ce este uimitor aici este că până și Domnul însuși a primit o ungere specială din partea Duhului Sfânt pentru a-și duce la îndeplinirea lucrarea Sa pe pământ.

Luca 24:49, „Rămâneți în cetatea Ierusalimului până când veți fi îmbrăcați cu putere de sus.” Fapte 1:8, „Ci voi veți primi o putere când se va coborî Duhul Sfânt peste voi și-Mi veți fi martori în Ierusalim, în toată Iudeea, în Samaria și până la marginile pământului.”. Aici, ucenicii care l-au urmat pe Domnul trei ani (au auzit predicile Sale, au ascultat învățăturile Lui, poruncile Lui, au fost martori la minuni, au văzut moartea, îngroparea și învierea Lui), primesc promisiunea că vor fi „îmbrăcați” (investiți) cu putere de la Duhul Sfânt, ceea ce s-a întâmplat la Rusalii, după cum scrie în Fapte 2:4Și toți s-au umplut de Duhul Sfânt și au început să vorbească în alte limbi, după cum le da Duhul să vorbească.”

Nu îți vine să te gândești că asemenea oameni ar avea nevoie de vreo împuternicire specială pentru lucrare. Ei nu aveau nevoie de cunoștințe în plus, sau de convingerea adevărului privitor la Isus. Ceea ce le trebuia, acum că Isus se înălțase la cer, era o putere de a duce la îndeplinire lucrarea și misiunea lor (o extindere a lucrării lui Isus). Cu aceasta au fost ei îmbrăcați în Fapte 2 – o putere specială de la Duhul Sfânt care să-i ajute în mod specific, astfel încât lucrarea și mărturia lor să aibă efecte supranaturale. Rezultatele aceste împuterniciri au fost uimitoare. Petru, cel care mai devreme se lepădase de Domnul, prin jurăminte și blesteme, este gata acum să predice cu autoritate și îndrăzneală, astfel încât 3000 de oameni să se convertească într-o singură zi.

Fapte 4:7-8, „ Au pus pe Petru şi pe Ioan în mijlocul lor şi i-au întrebat: "Cu ce putere sau în numele cui aţi făcut voi lucrul acesta?" Atunci Petru, plin de Duhul Sfânt, le-a zis: "Mai mari ai norodului şi bătrâni ai lui Israel! În mod cert, Petru a fost „umplut de Duhul Sfânt” la Rusalii. Deci, de ce a avut nevoie să fie umplut din nou? Din pricină că umplerea cu Duhul este un proces repetat prin care Duhul îi întărește pe slujitorii lui Dumnezeu să îndeplinească anumite lucrări specifice. El a primit din nou putere proaspătă de la Duhul lui Dumnezeu care l-a întărit pentru slujba specifică din acest capitol – adică acuzele aduse la adresa lui fiindcă l-a vindecat pe olog, în capitolul 3. Există multe alte referințe privitoare la acest fenomen, în cartea Faptele Apostolilor (4:31; 6:3, 5; 7:55; 9:17; 11:24; 13:9, 52), însă cele menționate sunt suficiente pentru scopul nostru.

1 Cor 2:1-5 „Cât despre mine, fraţilor, când am venit la voi, n-am venit să vă vestesc taina lui Dumnezeu cu o vorbire sau înţelepciune strălucită. Căci n-am avut de gând să ştiu între voi altceva decât pe Isus Hristos, şi pe El răstignit. Eu însumi, când am venit în mijlocul vostru, am fost slab, fricos şi plin de cutremur. Şi învăţătura şi propovăduirea mea nu stăteau în vorbirile înduplecătoare ale înţelepciunii, ci într-o dovadă dată de Duhul şi de putere, pentru ca credinţa voastră să fie întemeiată nu pe înţelepciunea oamenilor, ci pe puterea lui Dumnezeu.”

Aceasta este mărturia lui Pavel legată de maniera predicării și învățăturii sale, prin care ne arată că predicarea cu putere spirituală nu este însoțită de evidențe externe și de experiențe subiective lăuntrice, prin vreo putere mistică. De fapt, nici conținutul mesajului lui Pavel și nici prezentarea acestuia nu erau gândite , cel puțin la nivel uman, ca să fie manifestări ale puterii. Mesajul transmis de Pavel (Hristos, răstignit) era, după cum spune chiar el, „o nebunie”, iar prezentarea mesajului era marcată de slăbiciune, frică, și de absența cuvintelor persuasive omenești. Chiar dacă resursele și abilitățile sale erau slabe, vorbirea și predicarea lui erau însoțite de puterea Duhului, așa încât credința să nu fie în înțelepciunea oamenilor, ci în puterea lui Dumnezeu.

Așadar, la ce se referă el aici? Accentul lui Pavel este că nici prezentarea (nu elocvența omenească, discursul persuasiv, oratoric) și nici conținutul mesajului (Hristos cel Răstignit) nu îi poate convinge pe oameni de adevărul Evangheliei – doar Duhul Sfânt poate face aceasta.

Dacă mesajul său și modul de prezentare al acestuia erau alcătuite în așa fel încât să-i convingă pe oameni să aibă încredere în el, atunci Pavel ar fi oferit, probabil, un mesaj diferit (unul bazat pe înțelepciune omenească). El ar fi vorbit într-un mod diferit (cu carismă, fluent, cu încredere, inspirând uimire, puternic din punct de vedere vizual și auditiv). Nu avem vreo dovadă din relatările biblice ale predicilor lui Pavel că acesta ar fi experimentat anumite trăiri subiective (după cum susțin unii predicatori), nici că predicarea lui ari fi fost însoțite de elemente mistice. El se referă o singură dată la o experiență „afară-din-trup” în 2 Cor. 12, când relatează despre viziunea celui de-al treilea cer – lucru greu de aplicat predicatorilor de astăzi.

Dimpotrivă, puterea predicării lui Pavel a fost evidentă nu prin prisma sentimentelor și experiențelor sale, ci prin Duhul Sfânt. Viețile ascultătorilor au fost transformate – credința lor nu a fost în înțelepciunea omenească, ci în puterea lui Dumnezeu. Așa s-a întâmplat și când a predicat Petru – oamenii au întrebat „Ce să fac ca să fiu mântuit?”. În cazul tesalonicenilor, vedem că ei s-au întors de la slujirea idolilor, la slujirea Dumnezeului adevărat, așteptându-l pe Fiul Său din ceruri. (1 Tes. 1:9-10). Aceasta a fost manifestarea ungerii cu Duhul asupra predicării lui Pavel în mijlocul lor, și nu vreo experiență subiectivă din partea sa, în contextul unui fenomen mistic.

Tot astfel, în cazul corintenilor, dovada puterii mărturiei apostolului între ei, este că viețile lor au devenit epistole scrise ale lui Hristos. Pavel le-a slujit, însă Duhul Dumnezeului celui viu este cel care le-a scris în inimile lor (2 Cor. 3:3). Cu alte cuvinte, viața schimbată radical a mărturisit cu privire la lucrarea Duhului între ei, prin predicarea cu ungere a lui Pavel.

Desigur, pentru Pavel, demonstrația vizibilă a faptului că avea ungerea Duhului peste lucrarea sa, consta în faptul că resursele și abilitățile sale erau slabe, dar Duhul a fost puternic, așa încât „credința voastră să nu fie în înțelepciunea oamenilor, ci în puterea lui Dumnezeu.”

Acest adevăr este enunțat și în 2 Cor 4:7 Comoara aceasta o purtăm în nişte vase de lut, pentru ca această putere nemaipomenită să fie de la Dumnezeu, şi nu de la noi. 2 Cor. 12:9 "Harul Meu îţi este de ajuns; căci puterea Mea în slăbiciune este făcută desăvârşită." Deci mă voi lăuda mult mai bucuros cu slăbiciunile mele, pentru ca puterea lui Hristos să rămână în mine.

Aceste texte înlătură orice noțiune că ungerea Duhului Sfânt ar avea de-a face cu dovezile externe ale puterii omenești, sau cu experiențele sentimentale lăuntrice. Pavel clarifică fără echivoc faptul că puterea lui Dumnezeu este manifestată în predicare dat fiind faptul că vasele pe care Dumnezeule folosește în slujirea de proclamare sunt vase de lut, slabe, crăpate… Așa își arată Dumnezeu comoara conținută în aceste vase. Altfel spus, Pavel subliniază că predicarea cu ungere nu este gălăgioasă, arogantă, cu autoritate personală, sau impresionantă din punct de vedere lingvistic, nu este vorba despre căldura acesteia, nu experiențe-afară-din-trup, sau alte fenomene emoționale. Predicare cu ungere este exact opusul acestor lucruri.

Predicarea cu ungere se realizează atunci când agenți umani slabi, în care Dumnezeu a turnat lumina Evangheliei pe fața lui Isus Hristos, cu toate experiențele lor zilnice pline de suferințe, de durere, de slăbiciune, îi lasă pe ascultători într-o stare de certitudine legată de faptul că sursa mesajului este una divină. Aceasta este predicarea cu ungere. Pavel nu dă nici măcar un indiciu privitor la sentimente, intensificarea mesajului etc. etc. ci tocmai contrariul. „Puterea mea” îi spune Dumnezeu lui Pavel „este făcută desăvârșită în slăbiciune”. Pavel a avut curaj în slăbiciunea sa, în neputințe, în ofense, în nevoi, în prigoniri, în necazuri, de dragul lui Hristos, tocmai astfel încât puterea lui Dumnezeu să rămână peste el. „Căci atunci când sunt slab, sunt tare” (2 Cor. 12:4).

În una din edițiile precedente ale acestui Jurnal am studiat Efeseni 5:18 – poate veți dori să priviți din nou la acel text, în contextul discuției noastre despre puterea Duhului Sfânt în noi.

Să privim pe scurt la alte două texte care vorbesc despre același subiect. Col. 1:28-29, Pe El Îl propovăduim noi, şi sfătuim pe orice om, şi învăţăm pe orice om în toată înţelepciunea, ca să înfăţişăm pe orice om desăvârşit în Hristos Isus.

29. Iată la ce lucrez eu şi mă lupt după lucrarea puterii Lui care lucrează cu tărie în mine.” Aici este vorba despre ungerea Duhului Sfânt.

Puterea despre care Pavel vorbește aici este, din nou, cea a Duhului Sfânt, lucrată în ascultători. El nu pretinde că ar avea vreo putere prin sine, fie ea spirituală sau fizică. Întâi de toate, la ei a ajuns ”Cuvântul” prin puterea Duhului, transformându-le gândirea și purtarea. Mai departe, se oferă asigurări și prin aceea că „. În mod evident, viața apostolului a avut o asemenea consecvență și impact încât, nu doar că a confirmat mesajul, dar i-a determinat pe tesaloniceni să devină „(1 Tes. 1:6).

Schimbarea din viața lor a fost atât de radicală, încât toți cei ce locuiau în acea regiune știau ce s-a întâmplat. Ei au devenit eficienți în mărturia adevărului Evangheliei, la toți cei cu care au intrat în contact, dovada extern a convertirii lor fiind că „(1 Tes. 1:9). Acesta este rezultatul unei predicări caracterizate de ungerea Duhului.

În următoarea ediție a acestui Jurnal Pastoral vom trage câteva concluzii despre ce este împuternicirea cu Duhul, și ce nu este aceasta.

Partea II: Pregătire Pentru Predicare

“Identificarea structurii textului: Pt. 1, Subiectul și Complementele”

Identificarea subiectului și a complementelor sale constituie un pas crucial în procesul de pregătire al unei predici. Așa cum am văzut în edițiile precedente ale Jurnalului, procesul de pregătire al predicii implică: (1) studierea textului, (2) înțelegerea textului, iar acum (3) identificarea structurii textului. Toată această pregătire va duce în cele din urmă la structurarea unei predici pe baza textului.

Fiecare idee completă (unitate sintetică) trebuie să aibă atât un subiect, cât și un complement. Complementul exprimă ceva despre subiect – de ex. acțiunea făcută de subiect, sau statutul atribuit subiectului. De exemplu, nu vei spune niciodată „pasărea” – acesta este subiectul, însă nu e o idee completă. Trebuie să adaugi ceva despre pasăre – un complement. Ce dorești să comunici despre pasăre? Poți spune „Privește pasărea.” Sau, „Această pasăre este drăguță”. Sau „Pasărea zboară ca un vultur.” Nici nu vei spune doar: „este drăguță”, sau „zboară”, sau „ca un vultur”. Cum zboară pasărea? Pasărea zboară ca un vultur. Deci, subiectul și complementul (numit uneori predicat) sunt cele două părți structurale ale unei propoziții simple, care împreună formează o idee completă. Fără una dintre cele două nu putem comunica idei pe care alții să le înțeleagă corect.

Prin urmare, fiecare pasaj biblic are un subiect (tema dominantă) și un complement (ideile integratoare). Subiectul/tema dominantă este lucrul despre care vorbește autorul. După studierea textului, trebuie să decizi care este subiectul/învățătura textului.? Care este adevărul principal al pasajului? Acesta este lucrul pe care îl vei predica. Tema dominantă / subiectul pasajului trebuie să fie și tema / subiectul predicii tale. Mai târziu vom arăta cum se identifică tema unui pasaj. Deocamdată, este suficient să spunem că abordarea noastră hermeneutică în vederea pregătirii unei predici include și identificarea temei pasajului, din pricină că aceasta constituie baza a ceea ce urmează să predici. Acesta este unul din principalele lucruri pe care le faci când pregătești o predică. Mai mult, fiecare pasaj biblic are un subiect, însă fiecare subiect are și complemente / idei integratoare. Complementul este ceea ce spune autorul despre subiect. Întreaga ta predică trebuie să fie despre subiectul pasajului, iar complementele vor forma punctele pe care le vei dezvolta în predică, pentru a explica subiectul.

Prin identificarea subiectului și a complementelor sale vei găsi (1) subiectul predicii tale (despre ce vei vorbi) și (2) ce vei spune despre subiect. Aceasta este structura de bază a textului.

Pasul 1. Identifică „Subiectul” Teologic Al Textului6

Nu predica niciodată un mesaj până când nu ştii care este tema lui, în special, ideea sa teologică. Este neapărată nevoie să cunoaştem subiectul teologic al pasajului. Structura pasajului şi linia sa de argumentare nu pot fi determinate corespunzător şi dezvoltate bine, până când nu vei cunoaşte subiectul – despre ce vorbeşte autorul. Cunoaşterea temei abordate de un anumit pasaj constituie punctul de început al oricărei predici. Nu poţi predica un pasaj, dacă nu ştii despre ce scrie autorul respectiv. Nici nu poţi stabili corect structura pasajului şi linia de gândire, până când nu cunoşti subiectul.

Pentru a identifica subiectul, pune întrebare: „Despre ce scrie autorul?” – nu „evenimentul” sau „naraţiunea”, ci subiectul teologic care se află în spatele acestora. Uneori, subiectul teologic este acelaşi sau aproape de structura textuală – în special în epistole, acolo unde autorii abordează direct teme teologice. În textele narative este nevoie să privim în spatele povestirii spre teologica pe care trebuie să o predicăm din naraţiunea respectivă. Când răspundeţi la întrebarea „Despre ce scrie autorul” (tema dominantă) asigurați-vă că nu dați un răspuns prea larg. Nu spuneți despre „dragoste”. Ce anume scrie autorul despre „dragoste”? Încercați întotdeauna să limitați subiectul la ceea ce scrie autorul în mod specific, nu general.

Spre exemplu, în Psalmul 1, subiectul general este omul evlavios și cei răi. Putem limita această prezentară largă spunând că este vorba despre un contrast între două tipuri de persoane. Așadar, poți formula subiectul astfel: „Contrastul dintre cei evlavioși și cei răi”.

Un alt exemplu ar putea fi Filipeni 2:1-11. Tema generală este „unitatea”. Putem limita această tematică spunând că unitatea depinde de o atitudine christică. Astfel, vom formula așa subiectul: „Atitudinea christică va produce unitate”

Cum poți găsi această temă dominantă / subiect? Un mod de a face acest lucru este prin a căuta o afirmație singulară în text unde se afirmă subiectul. De exemplu, în 1 Tim. 4:6-16 „Fii cu luare aminte la tine… și la învățătura ta” (16). Prima parte este dezvoltată în 4:6-10 și cea de-a doua parte în 4:11-15. În Galateni 6:1-10, Pavel afirmă că subiectul său este „facerea de bine sfinților”: „Să facem bine la toți și mai ales fraților de credință” (10).

Un alt mod de a identifica subiectul este prin a căuta tema generală. Sau, caută cuvintele care se repetă.

De vreme ce o idee are nevoie atât de subiect, cât și de complement, următorul pas este să identificăm complementele.

Pasul 2. Identifică „Complementele” Teologice Ale Textului

Subiectul nu poate rămâne de unul singur; are nevoie de un complement, sau de mai multe. Când autorul dezvoltă un anumit pasaj, el va spune diferite lucruri despre subiectul abordat (complementele). Subiectul, alături de complementele sale, formează o idee completă. Complementele sunt ceea ce noi numi de obicei „puncte” – acestea divid textul în secțiunile predicii. De obicei, autorul va prezenta 2 sau 3 puncte despre subiect. Fiecare punct al pasajului trebuie să spună ceva diferit despre același subiect. Prin faptul că fiecare punct se leagă de subiect, textul păstrează o unitate de gândire – are coerență, unitate. Prin faptul că fiecare punct spune ceva diferit despre subiect, textul are mișcare – progresie, curgere a ideii.

În consecință, subiectul este ceea ce spune textul, iar complementul este ceea ce autorul ne spune despre subiect. După ce descoperi subiectul, întrebându-te „Despre ce scrie autorul?”, pune și a doua întrebare: „Ce spune autorul privitor la subiectul despre care scrie?” Răspunsul la aceste întrebări va furniza complementele textului.

Un mod prin care poți găsi complementele este să pui întrebări subiectului: „ce? Când? De ce? (răspunde: „fiindcă” sau „astfel încât”) Cum? (răspunde:„prin”) Unde? Cine?” Acestea te vor ajuta să determine complementele. Deci, dacă subiectul este „testul caracterului unei persoane” , ai putea pune întrebarea Care este testul caracterului unei persoane?” Răspunsul la această întrebare dezvăluie complementele.

Astfel, dar, când predicăm un text, vom predica un subiect și vom face mai multe puncte (complemente) despre acel subiect. Toate trebuie să fie legate de subiect. Aceste puncte complementare se nasc din studiul pe care îl faci asupra textului (citire și studiere), dar și din analiza gramaticală și structurală a acestuia.

Pasul 3. Formulează Ideea Textuală Ca Un Întreg

După identificarea subiectului și a complementelor sale, vei putea să articulezi ideea principală a textului într-o singură propoziție (despre ce este textul, ca întreg).

Exemple De Subiect, Complemente Și Idee Textuală

  • Psalmul 1:1-2

Subiect: Omul binecuvântat de Dumnezeu (sau, omul evlavios)

Întrebare: Cine/ Ce fel de om este binecuvântat de Dumnezeu?

Complemente:

1. Omul care nu umblă (negativ) …

a) … nu umblă la sfatul celor răi

b) … nu se oprește pe calea celor păcătoși

c) … nu se așează pe scaunul celor batjocoritori

2. Omul care (pozitiv) …

a) … își găsește plăcerea în Legea Domnului

b) … meditează la legea Lui zi și noapte.

Ideea textuală: Omul binecuvântat de Dumnezeu se separă de lume și este dedicat Cuvântului lui Dumnezeu.

  • Iacov 1:5-8 (Robinson, 67-68)

Subiect: Nu doar „înțelepciune” sau „cum să obții înțelepciune”, dar „Cum să obținem înțelepciune în mijlocul încercărilor?”

Întrebare: Cum obținem înțelepciune în mijlocul încercărilor?

Complement: Cere-o de la Dumnezeu cu credință

Idee textuală: Înțelepciunea în mijlocul încercărilor se obține când o cerem de la Dumnezeu, cu credință.

Partea III: Devoțioanl - Conducere

1 Tesaloniceni 2:7-12 ne oferă un portret al conducerii biblice. Este o imagine a vieții părintești și a masculinității biblice, așa cum a dorit Dumnezeu să fie, în relație cu leadershipul bisericesc.

Tesalonicul a fost un oraș pe care Pavel l-a vizitat împreună cu Sila și Timotei, în cea ce-a doua călătorie misionară (Fapte 17:1-9). Pavel a predicat în sinagoga de acolo și unii iudei și mulți greci au fost mântuiți, astfel că s-a născut o biserică în acel oraș.

Pavel are multe amintiri plăcute legate de această biserică vie, a cărei credință, speranță, dragoste și perseverență erau evidente în ciuda persecuției pentru credința lor. Cred că în această epistolă putem vedea cum Pavel, ca un tată spiritual, era mândru de acești tineri creștini, iar în aceste verste relația de tip parental dintre ei este foarte vizibilă.

Ideea centrală a acestui text este că un lider creștin puternic este un tată spiritual autentic și blând. Pavel însuși modelează trăsăturile unui lider-tată creștin puternic, în relația sa cu acești creștini. În primul rând, vă rog să observați că UN LIDER CREȘTIN PUTERNIC ESTE GRIJULIU ȘI PLIN DE DRAGOSTE (7-9). ”Am fost blânzi în mijlocul vostru ca o doică care-și crește copiii” (7). Vă rog să remarcați această primă metaforă pe care o folosește Pavel pentru a descrie liderul creștin. Este o metaforă care contrastează blândețea mamei din v. 7 cu autoritatea apostolică a lui Pavel în v. 6. În al doilea rând, este o metaforă prin care este zdruncinată imaginea unui lider din sec. XXI de tipul celui rece, încăpățânat, sever, „șeful”. Deci, prima imagine este o metaforă prin care suntem învățați că…

1. Liderii spirituali puternici își hrănesc copiii spirituali cu blândețe

Ei nu doar produc copii spirituali, au și grijă de ei. Comportamentul lor este caracterizat de blândețe, exact așa cum „o doică își crește copiii”. O doică este epitomul protecției, afecțiunii și blândeții. Literal ea „păstrează căldura copilului” prin aceea că îl ține în brațe, alături de corpul ei. O doică este o sursă de hrană – ea îi oferă copilului din propria ei energie. Corpul ei transformă hrana pe care ea o mănâncă în lapte pentru copilul ei, ceea ce nu poate fi făcut de altcineva. Ea își ține copilul aproape de inimă, acolo unde se realiză o legătură de unitate. Ea îi oferă securitate, mângâiere, căldură și protecție.

Liderii creștini puternici își hrănesc copiii spirituali cu blândețe. Ei ai grijă de aceștia la fel ca o doică, oferindu-le hrană spirituală, emoțională și fizică.

Din punct de vedere fizic ei oferă cele necesare vieții – căldură, hrană bună, protecție. Din punct de vedere emoțional ei îi sprijină și îi încurajează pe copii, oferindu-le încredere să facă față provocărilor vieții. Din punct de vedere spiritual ei îi învață pe copii Cuvântul, astfel încât să poată să crească în Domnul (1 Petru 2:1-3). Își amintesc de faptul că cei mici au nevoie mai întâi de lapte, înainte de a consuma carne, astfel că sunt atenți să nu-I hrănească cu lucruri nepotrivite.

Nu este ușor să fii „o doică”. Moise vorbește cu Dumnezeu despre israeliți și despre exact un astfel de rol: „Oare eu am zămislit pe poporul acesta? Oare eu l-am născut ca să-mi zici: "Poartă-l la sânul tău, cum poartă doica pe copil," până în ţara pe care ai jurat părinţilor lui că i-o vei da? De unde să iau carne, ca să dau la tot poporul acesta? Căci ei plâng la mine, zicând: "Dă-ne carne ca să mâncăm!" Eu singur nu pot să port pe tot poporul acesta, căci este prea greu pentru mine. Decât să Te porţi aşa cu mine, mai bine omoară-mă, Te rog, dacă mai am vreo trecere înaintea Ta, ca să nu-mi mai văd nenorocirea." (Numeri 11:12-15). Aici avem indicii privitoare la cât de grea și frustrantă poate fi uneori responsabilitatea conducerii într-o manieră părintească. Însă aceste bariere și dificultăți sunt depășite prin cea de-a doua caracteristică a metaforei. Liderii spirituali nu doar că își hrănesc copiii cu blândețe, ei și…

2. Liderii spirituali puternici își iubesc profund copiii spirituali (8-9)

Ei îi iubesc atât de mult încât tânjesc după ei cu afecțiune „… tânjim după voi cu afecțiune” (8a). Acest termen este unic în Noul Testament și înseamnă „că cineva este atras spre ceva sau cineva”. Este un termen prin care se exprimă intensitatea afecțiunii, unul luat din lumea familiei, cu nuanțe atât ale blândeții, cât și ale masculinității. Aceasta este o imagine a iubirii tatălui față de copiii săi. El este atât de atașat de copii, încât se simte atras spre ei din punct de vedere afectiv. Pe baza aceste dragoste profunde el tânjește după ei – nu poate suporta să fie separat de ei. Îi este dor să le audă râsetele, să-i sărute și să le ofere mângâiere și afecțiune. Blândețea tatălui poată să scadă de-a lungul vremii; pe măsură ce copiii cresc ei devin mai puțin dependenți, devin puternici și nu mai au nevoie de grija de altădată. În curând devin mai înalți decât suntem noi. Aceasta nu înseamnă însă că scade nevoia ca noi să-i atingem, să-i iubim, să-i mângâiem, să-i încurajăm. Tot astfel, liderii spirituali trebuie să arate blândețe și compasiune față de copii lor spirituali, în mod continuu. Tendința este să fim uneori prea duri și cu o atitudine de judecată – mai mult cu disciplina, decât la fel ca „o doică”.

Fiului risipitor nu i-a trecut niciodată prin minte că tatăl său nu l-ar lăsa să se întoarcă acasă, în ciuda insultelor și a durerii pricinuite tatălui. Deci el a spus: „mă voi duce la tatăl meu” (Lc. 15:18-19). Totuși el anticipa disciplina și mânia din partea tatălui. De aici a ajuns la concluzia: „fă-mă ca pe unul dintre robii tăi.” Însă nu a fost disciplinat. Dimpotrivă, „pe când era încă departe, tatăl său l-a văzut, i s-a făcut milă de el, a alergat spre el, l-a îmbrățișat și l-a sărutat” (20). Aceasta înseamnă afecțiune profundă – fără ezitare, fără întrebări, fără teste, doar compasiune. Nu crezi că copiii spirituali pe care Dumnezeu ni i-a dat în grija noastră trebuie să fie tratați și ei cu compasiune? Cum putem face aceasta? Încurajându-i pentru ceea ce sunt și apreciind ceea ce fac. Deci, tații spirituali puternici, își iubesc copiii spirituali atât de mult încât tânjesc după ei cu afecțiune. Îi iubesc atât de mult încât se jerfesc pe ei înșiși„Am fost bucuroși să vă dăm nu numai Evanghelia lui Dumnezeu, dar chiar și viețile noastre, atât de scumpi ne ajunseserăți. (8b).

Pavel i-a iubit pe tesaloniceni așa de mult încât, nu doar că le-a dat evanghelia salvării, ci s-a dăruit chiar pe sine însuși. El era gata să moară pentru ei, dacă era cazul. Nu a fost căldicel în lucrarea sa printre ei. El a fost foarte dedicat să-i slujească și a făcut-o cu sacrificiu din pricină că tesaloniceii îi erau „dragi”.

Nu e suficient să le porți de grijă doar de nevoile fizice. Nu e suficient nici măcar să îi înveți adevărului spirituale, chiar dacă e foarte important. Este nevoie de adevărul Evangheliei, însă trebuie să împărtășim cu oamenii viața noastră – să ne dăruim sacrificial, astfel încât viețile noastre să devină parte din a lor. Doar așa ei vor duce mai departe moștenirea pe care le-o lăsăm.

Cum putem împărtăși viețile noastre cu copiii noștri spirituali? O face prin a avea influență asupra gândirii și valorilor lor, arătându-le cum să ia decizii bune, ajutându-i să stea de partea dreptății, învățându-i cum să se ocupe de finanțe în mod corect, oferindu-le din timpul nostru, din atenția noastră, din afecțiune; o facem atunci când recunoaștem că greșim și ne cerem iertare, o facem investindu-ne pe noi înșine în ei. Le împărtășim viețile noastre trăind evanghelia zi de zi, fiind transparenți în fața lor, așa încât ei să vadă atât slăbiciunile cât și punctele noastre tari, temerile noastre și curajul nostru, dezamăgirile și speranțele noastre.

Liderii spirituali puternici își iubesc copiii spirituali atât de mult încât tânjesc după ei, se oferă cu sacrificiu și îi iubesc așa de mult încât lucrează pentru ei cu hărnicie – „vă aduceți aminte fraților de munca și truda noastră, zi și noapte, ca să nu fiu o povară pentru voi, așa v-am predicat evanghelia lui Dumnezeu (9).

Pentru Pavel slujirea copiilor săi spirituali a însemnat „muncă și trudă”. Bisericile macedonene erau foarte sărace, astfel că Pavel a trebuit să muncească pentru a se putea susține financiar. „Muncă și trudă” înseamnă oboseală, efort marie, în special în cazul lui Pavel care trebuie să predice Evanghelia dar și să realizeze corturi, în același timp. Liderii spirituali trebuie să fie harnici în munca lor. Este așa ușor să deraiezi atunci când nimeni nu te supraveghează. Liderii sunt îndatorați să lucreze din greu pentru nevoie spirituale ale membrilor bisericii – să le arate calea salvării, să le arate modelul adevăratului creștin. Aceasta este o muncă grea!

Hărnicia în contextul acesta se vede printr-o bună etică a muncii; îi înveți pe oameni să fie buni muncitori, responsabili, devotați, să fie mândri de o muncă bine făcută, să fie loiali. Oferirea sprijinului emoțional, social și spiritual, înseamnă o muncă grea. Să fii un tată-lider spiritual presupune un efort enorm. Cei care pot păstra un echilibru între muncă, viața de familie și viața de biserică sunt demni de apreciat.

În următoarea ediție a acestui Jurnal vom continua studiul acestui pasaj și vom aprofunda subiectul: „Un portret biblic a unui lider spiritual puternic”.

Partea IV: Schițe De Predici

Pentru a asculta versiunea audio a acestor predici în Engleză, accesați aceste link-uri: Link 1 - Jn. 6:22-34; Link 2 - Jn. 6:34-40

Titlu: Isus, Pâinea Vieții (6:22-40)

Punctul #1: Ceea ce doresc oamenii este temporar (26-34)

1. Oamenii vor să mănânce mâncarea pieritoare (26-27)

2. Oamenii vor să facă fapte religioase (28-34)

Point #2: Ceea ce oferă Isus este etern (34-40)

1. Isus oferă viața eternă (35-36)

2. Isus oferă siguranța eternă (37-40)

a) Siguranța eternă este prin harul lui Dumnezeu (37)

b) Siguranța eternă este prin voia lui Dumnezeu (38-40)


1 Cited in Stephen Olford, Anointed Expository Preaching, 29.

2 Olford, Anointed, 29-30.

3 Martin Lloyd-Jones, Preaching and Preachers, 305.

4 E.M. Bounds, Under the Dew of Heaven, cited in Stuart Olyott, Preaching Pure and Simple, 158

5 Darrel L. Bock. Luke (Baker), 407.

6 This procedure taken from Haddon Robinson, Biblical Preaching, 39-41.

Related Topics: Pastors

From the series: La Revue Des Pasteurs

La Revue Internet Des Pasteurs, Fre Ed 19, Edition du printemps 2016

Edition du printemps 2016
Auteur: Dr. Roger Pascoe, President de l’Institut pour la Prédication Biblique Cambridge, Ontario, Canada
(http://tibp.ca/)

C:\Users\Roger\Documents\My Documents\Institute for Biblical Preaching\Forms, Binder Cover Page, Logo\IBP Logos\IBP Logo.jpg

“Renforcer les capacités de l’Eglise dans la Prédication Biblique et le Leadership”

PREMIERE PARTIE: LA PUISSANCE DANS LA PREDICATION, Pt. 3 Suite

“La Puissance du Saint Esprit”

Poursuivons notre discussion que nous avions entamée dans l’édition dernière de ce Journal (Hivers 2016) sur le thème « La Puissance dans la Prédication », précisément « La Puissance du Saint Esprit ». Pour arriver à prècher avec la puissance, vous devez obligatoirement être « remplis du Saint Esprit ». Dans l’édition Printemps 2014 de ce Journal, nous avons traité du lien étroit entre la plénitude du Saint Esprit et l’effort d’être un modèle de piété. Maintenant, je veux aborder le sujet de l’importance de la plénitude du Saint Esprit dans la dynamique de la prédication puissante.

Etre « rempli du Saint Esprit » c’est être sous le contrôle du Saint Esprit, c’est être soumis à la puissance du Saint Esprit, être sous la direction de l’Esprit, vivre dans l’Esprit, vivre selon la réalité de la nouvelle naissance, s’abandonner à l’Esprit à chaque instant. Etre rempli de l’Esprit c’est permettre à l’Esprit de faire son oeuvre en vous – en vous brisant, en vous conduisant, en vous enseignant, en étant maître et juge de vos actions. Cela signifie que vous devez vous occuper pleinement des affaires de Dieu à tel point que vous n’ayez point de temps pour autre chose dans votre vie.

Afin de pouvoir prêcher avec la puissance de l’Esprit, nous devons être remplis de l’Esprit et oints (investis) par Lui pour la prédication. Pour ce faire, il nous faut confesser nos péchés, soumettre notre volonté et notre pensée à l’Esprit, être centrés sur Dieu et non sur nous-mêmes (Eph. 5:1-7), être la lumière et non les ténèbres (Eph. 5:8-14), vivre en étant conscients de la présence de Dieu en personne, nous remplir de la parole, continuer de marcher selon l’Esprit (Gal. 5:25), et manifester le fruit de l’Esprit (Gal. 5:22).

Alors, qu’est-ce que cette prédication inspirée, accompagnée par l’onction de l’Esprit? L’ « Onction », puisque c’est le terme que nous employons ici, la mise à part et la consécration spéciale d’une personne pour un service divin. L’Onction c’est la consécration d’individu par l’Esprit dans son ministère qui, de ce fait se manifeste par l’effectivité et l’efficacité de l’œuvre de la Parole dans la vie des auditeurs à tel point qu’il est clair que la puissance manifestée est celle de Dieu, accomplissant des choses à la gloire de Dieu. La consécration de l’Esprit (parfois appelée onction) c’est « le dépôt d’une portion de la puissance de Dieu sur le prédicateur pendant son exercice, lui permettant de prêcher avec puissance, autorité et en toute liberté. Ceci conduit à la conviction des consciences et à la repentance des auditeurs. » (Johnson T. K. Lim, Power in Preaching, 121.)

La puissance de l’Esprit qui accompagne le prédicateur, il me semble, n’a rien à voir avec la manifestation de phénomènes dramatiques ou d’expériences mystiques. Ce pas une sorte de sensation charismatique ou un sens de pouvoir ésotérique (cf. 1 Cor. 2:1-5). Il ne s’agit pas d’une expérience temporaire de discours ou de visions extatiques. L’onction de l’Esprit n’est pas un sentiment ou une expérience personnelle ou subjective, mais plutôt l’action de l’Esprit en nous et au milieu des auditeurs dans le but précis de glorifier Dieu.

Bibliquement, prêcher dans la puissance de l’Esprit, c’est tout à fait être humble, soumis dépendant de la prière, rempli de l’Esprit, fondé sur la Parole, centré sur l’Evangile, fixé sur Christ; c’est être des prédicateurs saints, don’t la vie est agréable et acceptable aux yeux de Dieu, eux qu’il a appelés (1 Cor. 1:17; Gal. 1:15-16; Rom. 10:14-15) et à qui le Saint Esprit a accordé le don et la puissance de prêcher (Eph. 3:18; 2 Tim. 1:6; 1 Cor. 12:1-14; 1 Tim. 4:14). Selon l’apôtre Pierre, c’est la « capacité accordée par Dieu. » (1 Pie. 4:11).

La prédication dans la puissance de l’Esprit consiste en l’œuvre souveraine de l’Esprit dans la vie des gens à travers la mise en application de la Parole (qui est vivante et puissante) dans leurs esprits, dans leurs cœurs, dans leurs âmes et consciences ; ce qui aura comme résultat en eux une transformation spirituelle se manifestant par exemple par la repentance, des relations restaurées, des attitudes transformées, des croyances justes, un amour plus profond à l’égard de Dieu et sa Parole. Sans l’onction du Saint Esprit, nos efforts seront sans effet. Par contre, avec l’onction de l’Esprit Saint, notre faiblesse et fragilité humaines sont supplantées par la puissance surnaturelle de Dieu. (2 Cor. 4:7).

Prêcher dans la puissance de l’Esprit, c’est être rendu capable par l’Esprit de mener des vies pieuses. C’est lui l’auteur de la vraie sanctification (Rom. 8:1-17; Gal. 5:16-23), celui qui ne cesse de transformer notre caractère moral et spirituel. La vie dans l’Esprit est en total discordance avec la vie dans la chair. L’action de l’Esprit dans le processus de la sanctification n’est pas seulement l’action négative consistant à mortifier la chair, mais aussi l’action positive consistant à produire en nous l’image de Christ (cf. Rom. 8:29). Et ce n’est que lorsque nous parvenons à une dimension où nous menons des vies pieuses que nous serons à mesure de prêcher avec puissance.

Prêcher dans la puissance de l’Esprit, c’est être investi par l’Esprit pour manifester ce don, car Lui seul en a le pouvoir. Le ministère de la prédication est un don relevant de la souveraineté de Dieu, devant être utilisé au profit du corps de Christ.

Alors, pourquoi certains prédicateurs semblent avoir cette puissance de l’Esprit tandis que d’autres ne l’ont pas? So, why do some preachers seem to have this power of the Spirit while others do not? Pourquoi certains prédicateurs parviennent à des résultats puissants tandis que d’autres, visiblement n’y réussissent pas? Cela signifie-t-il que si notre prédication ne produit pas de résultats palpables, nous n’avons point de puissance spirituelle ? A titre d’exemple, est-ce à dire que Jérémie était l’échec total ? Sa prédication manquait-elle de puissance de l’Esprit en raison du fait que son ministère ne produisait que peu, voire pas de résultats visibles ? Non! Le message de Jérémie était la véritable et fidèle parole du Seigneur, qui avait été rejétée et combattue – ex: il a été mis en prison sous le règne du roi Sédécias, et (37:11f.) dénoncé par Hanania (28:10f.).

Dans sa souveraineté, l’Esprit applique la parole de Dieu dans les cœurs, esprits, âmes et consciences des gens dans le but de leur transformation. Cette transformation peut avoir lieu, tout comme elle peut ne pas avoir lieu, parce qu’étant l’œuvre souveraine de l’Esprit et non un indicateur de l’onction spirituel du prédicateur. Prenons par exemple le ministère de Jésus lui-même. Il a reçu deux sortes de réactions à son ministère – celle de l’ émerveillement et celle de la colère (Luc. 4:22; 28-29). Certains ont réagi positivement à son message (émerveillement) et d’autres ont réagi négativement (colère). Toutes ces deux réactions sont le produit de l’œuvre de l’Esprit le cœur des auditeurs. Ainsi, il serait plus juste de dire que n’obtenir aucune réaction du tout, pourrait être le meilleur indicateur de l’absence de l’onction. La vérité biblique, c’est que « le vent souffle où il veut » (Jean 3:8). Nous n’avons aucun pouvoir de control sur l’action souveraine de l’Esprit de Dieu, mais nous pouvons l’empêcher d’agir librement. Donc, les résultats visibles (surtout sous la forme de manifestions physiques subjectives) n’indiquent aucunement que vous prêchez avec la puissance de l’Esprit. Toutefois, je ne nie pas le fait que les genres de réactions subjectives à l’action de l’Esprit pourraient et peuvent même être vraies.

Nous ne savons pas à quel moment, ou comment Dieu va se servir de notre prédication pour accomplir ses desseins. Cela peut ne même pas se réaliser pendant notre existence. C’est pourquoi, nous ne devrions pas nous baser sur les effets visibles pour nous confirmer que nous prêchons avec la puissance de l’Esprit. Certes, les résultats immédiats et concrets sont encourageants, mais les résultats de la fin relèvent du mystère de Dieu et seront manifestés dans l’éternité.

Deuxieme Partie: Preparer La Predication

« Identifier la Structure du Texte », Pt. 2

Dans l’étude sur comment préparer la prédication, les quelques éditions précédentes de ce journal nous ont appris l’importance de la lecture du texte, de le reécrire dans nos propres mots, de préparer un diagramme grammatical du texte, et enfin de trouver la structure du texte en identifiant les sujets et les compléments. De cette manière, vous seriez à présent à mesure de comprendre la structure grammaticale du texte, et à partir de la structure grammaticale, vous devriez être à mesure d’identifier la structure litéraire du texte (c.-à-d. la manière dont le passage est construit en unités de pensée ou de “scènes”). La structure du texte est une pierre de gué (un élément clé) dans la préparation du plan du sermon.

C’est important de ne jamais imposer une structure au texte biblique. Il faut toujours laisser le texte lui-même vous révéler sa propre structure. Cela est très capital pour faire une prédication claire et détaillée, permettant à la Parole de Dieu de s’exprimer et en restant fidèle au texte.

La structure du texte révèle les idées de l’auteur dans le passage et exprime ces idées à travers les termes employés dans le texte – c.-à d. qu’elle emploie le passé (puisque l’action dont il est question dans le texte s’est produite à un moment précis dans le passé); utilise des noms et des lieux dans le texte (étant donné que cela concerne des personnes spécifiques à des lieux/endroits précis – ex : Paul dit… ; Moise s’adressa au peuple… ; les Ephésiens étaient…) ; et reflète le raisonnement, la réprimande, l’exhortation ou l’enseignement donné dans le texte.

Trouver la structure du texte vous donne l’assurance que vous avez bonne connaissance du sujet du passage et le flux de pensées contenu dans le passage (les compléments) – c-à-d. les points que l’auteur de l’écrit biblique a exprimés à l’endroit de ses lecteurs; comment l’auteur a habilement choisi son sujet ; comment une phrase ou un groupe de phrases est relié au précédent et au prochain (c-à-d la structure syntaxique du passage.

Permettez-moi de vous montrer la structure textuelle de quelques passages de l’Ecriture afin que vous puissiez voir des exemples pratiques de ce que nous sommes en train d’apprendre:

Psumes 1:1-3

Sujet: L’homme béni par Dieu

Question: Comment reconnait-on une personne pieuse?

Réponses (compléments):

1. Il ne se ligue pas avec les impies (1)

2. Il trouve son plaisir dans la loi de l’Eternel (2)

3. Il est comme un arbre planté près des eaux (3)

Genèse 21:8-21

Sujet: L’intervention de Dieu quand plus rien ne va

Question: Que se passe-t-il quand plus rien ne va?

Réponses (compléments):

1. La mauvaise attitude de Sarah a entraîné le ressentiment (9-10)

2. La mauvaise décision d’Abraham a provoqué une situation difficile (11-14a)

3. Les mauvaises circonstances dans lesquelles Agar se trouvait ont été à l’origine de son bannissement (14b-16)

4. La bonté de l’Eternel l’a amené à intervenir (17-21)

Romains 12:1-2

Sujet: L’exhortation de Paul au sujet de la dévotion des Chrétiens

Question: Qu’enseigne Paul au sujet de la devotion des Chrétiens à Dieu?

Réponses (compléments):

1. Paul exhorte les Chrétiens qui sont à Rome de se donner en sacrifice à Dieu (1)

(1a) Un sacrifice vivant, saint et agréable à Dieu

(1b) Un sacrifice qui est pour eux un culte raisonnable

2. Paul enseigne aux Chrétiens de Rome la manière dont ils devraient s’offir en sacrifice à Dieu (2)

(2a) En ne se conformant pas au monde

(2b) En étant transformés dans leur esprit

                                          ... Par le renouvellement de leur intelligence

                                          ... Dans le but de connaître la volonté de Dieu

1 Corinthiens 2:1-5

Sujet: La prédication de Paul

Question: Comment et que prêchait Paul?

Réponses (compléments):

1. La persuasion de la prédication de Paul (1-2)

(1a) Ce n’est pas par un art oratoire ou une sagesse humaine (1)

(1b) Mais seulement Christ et sa crucifixion. (2)

2. La puissance de la prédication de Paul (3-4)

(2a) elle n’est pas l’effet de sa présence personnelle ou de ses paroles (3)

(2b) Mais de la puissance de l’Esprit (4)

3. Le but de la prédication de Paul (5)

(3a) ce n’est pas pour parvenir à la foi aux êtres humains (5a)

(3b) Mais pour aboutir à la foi en la puissance de Dieu 5b)

Galates 5:16-25

Sujet: Vivre par l’Esprit

Question: Que signifie vivre par l’Esprit?

Réponses (compléments):

1.La vie par l’Esprit est une vie de conflits (16-18)

2. La vie par l’Esprit est une vie de contraste (19-23)

– les oeuvres de la chair contre le fruit de l’Esprit

3. La vie par l’Esprit est une vie de crucifixion (24)

4. La vie par l’Esprit est une vie de conformité (25)

Philippiens 3:1-14

Sujet: La conversion de Paul

Question: Qu’est-ce qui a changé quand Paul fut sauvé ?

Réponses (compléments):

1. Paul a revu ses prioritées – sa confiance en la chair (4-6)

(1a) Sa confiance en son héritage familiale (5)

(1b) Sa confiance en son activité religieuse (6)

2. Paul a changé sa vision des choses (7-8c)

(2a) Ce qui autrefois occupait une place prioritaire (v. 4-6) n’avait désormais plus aucune valeur « pour lui » (7)

(2b) Ce qui autrefois n’était d’aucune valeur, était maintenant le plus important (8a-c)

3. Paul a changé son but (8d-12)

(2a) Le but de sa vie entière était désormais de ressembler à Christ (8d-10)

(2b) Le but de sa vie était désormais d’être avec Christ (11-12)

4. Paul a changé ce qu’il poursuivait (13-14)

(3a) Il a laissé le passé derrière lui – les échecs et les succès (12-13a)

(3b) Il a cherché à obtenir ce qui était devant – l’appel du Dieu très Haut (13b-14)

1 Thessaloniciens 1:1-10

Sujet: L’exemple de l’église de Thessalonique

Question: Quel était l’exemple de l’église de Thessalonique?

Réponses (compléments):

1. Comment leur témoignage est-il gravé en mémoire? (2-3)

(1a) A travers leurs œuvres témoignant de leur foi

(1b) A travers leurs efforts de pratiquer la charité

(1c) A travers leur endurance/ leur patience dans l’espérance

2. Comment ils ont été transformés par l’évangile)

(2a) Ils sont devenus disciples des apôtres et de Christ (4-6)

(2b) Ils sont devenus des modèles pour d’autres (7-10)

1 Timothée 3:14-16

Sujet: La maison de Dieu

Question: A quoi doit ressembler la maison de Dieu?

Réponses (compléments):

1. La description de la maison de Dieu (15)

              (1a) C’est l’église du Dieu vivant (15a)

              (1b) C’est le pillier et le fondement de la vérité (15b)

2. La doctrine de la maison de Dieu (16)

              (2a) La revelation de Dieu par Christ

              (2b) La justification de Christ par l’Esprit

              (2c) L’observation de Christ par les anges

              (2d) La proclamation de Christ parmi les nations

              (2e) La réaction envers Christ dans le monde

              (2f) L’accueil de Christ dans la gloire

Troisieme Partie III. Leadership Devotional

Nous poursuivons notre étude de 1 Thessaloniciens 2: 7-12 de l’édition dernière, où nous avons vu qu’un grand leader Chrétien est d’abord une personne amiable, qui accorde de l’attention aux autres. A présent, notez également qu’UN GRAND LEADER CHRETIEN EST UN MODELE AUTHENTIQUE (10-11). Ici, un père spirituel est considéré comme étant un modèle dans sa marche et dans ses paroles D’abord…

1. Les grands leaders spirituels sont des modèles dans leur marche (10)

La vie spirituelle de Paul avait été exemplaire et ses enfants spirituels pouvaient le confirmer. La marche d’un père spiritual doit être le bon exemple que ses enfants devraient suivre. « Vous êtes témoins, et Dieu l’est aussi, que nous avons eu envers vous qui croyez » (10).

Non seulement les Thessaloniciens ont été témoins de la vie exemplaire de Paul, mais Dieu lui-même l’a été aussi. Paul ne craignait pas le jugement de Dieu. Sa vie parmi eux était une vie de sainteté (pleine de ferveur, pieuse, consacrée à Dieu) ; juste dans ses relations avec les autres (marquée par l’intégrité), et sa réputation était irréprochable – ses ennemis ont peut-être pu l’accuser, mais aucune de ces accusations portées contre n’était légitime.

Pour être un exemple pour les autres, ce que nous faisons doit confirmer et metre en valeur ce que nous disons. En tant que leaders Chrétiens, nous ne pourrons être un témoignage auprès de nos enfants spirituels que lorsque notre comportement est en adéquation avec notre prédication.

Au plan de la famille, le leadership spiritual est de la responsabilité du père, mais, malheureusement, il est le plus souvent assumé par la mère. Cela fait un bout de temps que les hommes ne prennent plus cette responsabilité. Les pères devraient fixer les normes régissant la spiritualité en se faisant le modèle type de la piété devant leurs épouses et leurs enfants. Plus nos enfants grandissent, plus le monde les attire et leurs décisions deviennent de plus en plus importantes. Les filles ont besoin de voir en leurs pères le modèle d’homme qu’elles voudraient épouser – fort mais tendre, résolu mais compréhensif les fils ont besoin de voir en leurs pères le type d’homme qu’ils voudraient être - .viril mais au cœur doux, leader, mais aussi serviteur.

Considérez l’exemple de St. Augustin dont le père n’était pas chrétien. Dans son écrit « Les Confessions », Augustin parle à Dieu au sujet de son père :

« Nul n’avait autre chose à l’égard de mon père que de l’estime, lui qui, malgré la maigreur de ses ressources était prêt à donner à son fils tout ce dont il avait besoin pour pouvoir voyager aussi loin dans le but de ses études. Bon nombre des gens de la ville où nous vivions, qui étaient de loin plus riches que mon père ne se sont pas donné autant de peine pour leurs enfants. Pourtant, ce même père qui est le mien, ne s’est point donné de peine de voir comment je grandissais devant toi ou si j’étais chaste ou pas. Tout ce qui le préoccupait, c’était de s’assurer que j’ai la langue facile, en laissant mon cœur ainsi, ne portant aucun de Tes fruits, mon Dieu, pourtant tu en es le seul Maître, le vrai et le bon.»

Ce n’est pas ce que nous voulons que nos enfants dissent de nous, que nous ne nous sommes intéressés qu’à les voir croître dans l’utilisation éloquente de la parole. Non! Nous avons besoin de nous intéresser et d’être actifs dans tous les aspects de leurs vies, en établissant devant eu un modèle de vie Chrétienne. Et c’est aussi notre responsabilité en tant que leaders Chrétiens vis-à-vis de nos enfants spirituels.

Bien, les grands leaders chrétiens sont des modèles dans leur conduit. Et…

2. Les grands leaders Chrétiens sont des modèles en paroles (11-12)

« Vous savez aussi que nous avons exhorté, consolé et responsabilisés chacun de vous de la même manière qu’un père agit envers ses propres enfants » (11). Un père spiritual est un modèle dans ses petits conseils. « Exhorter » signifie avertir, mettre à l’épreuve, encourager. C’est ce que fait un père pour ses enfants. Il les met à l’épreuve au sujet des décisions qu’ils prennent et la conduite qu’ils affichent. Il les averti à propos des conséquences des actes qu’ils posent. Il les met en garde vis-à-vis du danger imminent. Il les encourage lorsqu’ils sont dans le découragement.

Un père spiritual est aussi un modèle dans ses paroles de reconfort. «Réconforter » signifie remonter le moral, consoler. C’est un niveau plus élevé de « l’exhortation ». Un père fait en sorte que ses enfants se sentent mieux lorsqu’ils tristes ou blessés (cf. 2 Cor. 1 :4), en leur témoignant de la tendresse, de la compréhension, de l’attention et de l’affection.

A noter également qu’un père spiritual est un modèle dans ses paroles de contrainte. Conjurer signifie implorer, responsabiliser, faire appel, conseiller vivement. Cela se fait dans le cadre du partage d’expérience. En s’appuyant sur son expérience, un père conseille vivement ses enfants de suivre son conseil. La responsabilité ultime de chaque Chrétien, de chaque père spirituel envers ses enfants, c’est « de marcher d’une manière digne de Dieu, qui vous appelle à son royaume et à sa gloire ». (12).

C’est le but de chaque grand leader Chrétien – c’est que ses enfants « marchent d’une manière digne de Dieu » (1 Thess. 2:12); c’est que ses enfants « marchent dans la vérité » (2 Jean. 1:4); c’est que ses enfants marchent « d’une manière digne du Seigneur, lui étant entièrement agréable » (Col. 1:10); que ses enfants marchent d’une manière digne de l’appel que vous avez reçu » (Eph. 4:1). Tout père spirituel grand a la volonté manifeste d’amener ses enfants à suivre le Seigneur, de leur apprendre à marcher à l’image de Jésus (1 Jn. 2:6), de les voir entrer dans le royaume de Dieu et partager sa gloire, de les entendre volontairement répondre à l’appel de Dieu dans leurs vies, de les voir mener une vie digne, de sainteté et d’obéissance.

Un grand leader spiritual, donc, est fidèle et vrai. Il est tendre, affectueux et un modèle authentique. Un leader spirituel est quelqu’un qui, pour ses enfants spirituels est le plus grand leader en matière de réconfort, quelqu’un qui exhorte, encourage et conjure, quelqu’un qui modèle la vie Chrétienne de manière à ce que ses enfants spirituels veuillent le ressembler. Quelqu’un a dit que « Chaque jour, nous déposons quelque chose dans la banque de mémoire de nos enfants.»

Un père Chrétien ne devrait pas avoir de clichés en ce qui concerne le genre dans le foyer, où c’est la femme qui se charge de nourrir et prendre soin et le père est chargé de pourvoir et veiller à la discipline. L’Ecriture encourage plutôt que décourage le partage des responsabilités. Et c’est justement le message que Paul transmet en usant des deux metaphors ici – la mère affectueuse (7-8), le père dévoué (9-12). A l’instar de Paul, les grands leaders spirituels doivent aimer leurs enfants spirituels comme une mère et les exhorter comme un père.

La masculinité selon la Bible, c’est l’équilibre entre la douceur et la force, l’affection et la discipline, l’instruction et l’exhortation, le réconfort et la correction. Lorsque nous regardons notre Père céleste, nous ne voyons pas un père passif et désintéressé, mais plutôt un père qui est activement présent dans nos vies. Nous ne voyons pas un père qui se tient loin de nous, mais un père qui, au contraire vient vers nous. Nous ne voyons pas un père qui abandonne sa famille, mais nous voyons plutôt un père qui reste fidèle même quand nous sommes infidèles. Nous ne voyons pas quelqu’un qui se réjouit de voir sa famille dans la discorde et le chaos, mais nous voyons quelqu’un qui nous unit et nous appelle au lien de la paix. Nous ne voyons pas en lui quelqu’un d’égoïste, qui ne cherche que le plaisir personnel, mais plutôt quelqu’un qui se sacrifie pour le bien-être de la famille humaine, en allant même jusqu’à sacrifier son unique fils bien aimé. Nous ne voyons pas en lui quelqu’un dont le cœur est partagé, avec une attitude peu enthousiaste envers sa famille, mais au contraire nous voyons quelqu’un qui est zélé, sérieux, passionné dans tout ce qui le préoccupe. Nous ne voyons pas quelqu’un dont le fils ne le prend pas pour modèle, mais quelqu’un dont le fils est exactement la « copie conforme » à tel enseigne que Jésus a dit « Celui qui m’a vu, a vu le Père ».

Ainsi donc, à tous les leaders spirituels, je vous encourage à toujours garder devant vous le modèle qu’a laissé notre Père céleste. Toutes mes félicitations et mon honneur à ceux d’entre vous qui exercent un leadership pieux chez eux et à l’église avec diligence et engagement, amour et attention. A l’endroit de ceux pour qui les responsabilités qui incombent au leader spirituel demeurent un défi, je les invite et les encourage à imiter notre Père céleste comme l’a fait Paul, afin de faire en sorte que cela soit un sujet de prière et dépendance totale à Dieu. Ce n’est pas une tâche facile, mais avec l’aide de Dieu et dans la soumission au Saint Esprit, nous pourrons accomplir l’ordonnance qu’il nous a faite, celle d’être des « hommes pieux ».

Quatrieme Partie: Plans Du Message

Pour écouter la version audio de ces sermons, cliquez sur les liens suivants : Link 1 - Jean. 8:12, Pt. 1; Link 2 - Jean. 8:12, Pt. 2

Titre: Jésus est la Lumière du Monde (Jean. 8:12)

Point #1: Jésus est la source de la lumière spirituelle (12a)

1.Il est la source exclusive de la lumière spirituelle - (« Je suis la lumière… »)

2. Il est la source universelle de la lumière spirituelle (« … du monde »)

Point #2: Jésus est le chemin vers la lumière spirituelle (12b)

1. Ceux qui suivent Christ ne marcheront point dans les ténèbres

2. Suivre Christ, c’est avoir la lumière de la vie

From the series: La Revue Des Pasteurs

Related Topics: Pastors

Pages