13. “เกลือหยิบหนึ่งในตำหรับการข่มเหง” (มัทธิว 5:13-16)
Related Mediaคำนำ1
เมื่อมีคนต่างชาติอาศัยอยู่ในประเทศของเรา แต่ในฐานะลูกจ้างของรัฐบาลประเทศเขา เมื่อรวบรวมได้ข้อมูลและสร้างสัมพันธ์เพื่อเป็นประโยชน์ให้แก่รัฐบาลฝ่ายเขา และเมื่อเขาทำตัวประกาศว่าเป็นตัวแทนรัฐบาลของประเทศตนเอง เราเรียกคนแบบนี้ว่าอะไร?
เมื่อเขาทำสิ่งต่างๆเหล่านี้ แต่เก็บเรื่องความจงรักภักดีของประเทศตนเองเป็นความลับ เราเรียกเขาว่าอะไร?
ตัวเลือกหนึ่งอาจเป็น “ทูต” บางคนอาจบอกเป็น “สายลับ” คุณอยากได้ประเภทไหนมาเป็นเพื่อนบ้านครับ?
โครงร่างพระกิตติคุณมัทธิว
โครงร่างของพระกิตติคุณมัทธิวจากจุดยืนในการสร้างสาวกของชาติ
- หลักการแรก มัทธิว 4:18-5: – พระเยซูทรงเรียกสาวกมารวมกัน และแสดงให้เห็นวิธีการทำพระราชกิจของพระองค์ (4:23) เมื่อพระองค์เห็นฝูงชนจำนวนมาก จึงประทับนั่งและสั่งสอนพวกสาวก (5:1)
- หลักการที่สอง มัทธิว 9:35-10:5ก – พระเยซูทรงแสดงพระราชกิจให้เห็นในแบบของพระองค์ (9:35) เมื่อเห็นฝูงชนมากมาย ทรงสงสารพวกเขา จึงเรียกพวกสาวกมาและประทานสิทธิอำนาจให้ (10:1) และสั่งสอนพวกเขา (10:5)
- หลักการที่สาม มัทธิว 28:16-20 – พระเยซูทรงเรียกสาวกมาด้วยกัน มอบอำนาจให้พวกเขาไปสร้างชนทุกชาติให้เป็นสาวกในพระนามของพระองค์
ตามขั้นตอน พระเยซูทรงสร้างสาวกโดยสั่งสอนด้วยตัวอย่างและด้วยคำพูด แล้วส่งพวกเขาออกไปสร้างสาวกต่อ พระเยซูทรงสร้างสาวกและทรงทำพระราชกิจ ทรงส่งพวกสาวกออกไปทำพันธกิจและส่งสาวกของพระองค์ไปสร้างสาวก
พระวจนะตอนนี้อยู่ต่อจากคำสอนต่างๆในพระกิตติคุณมัทธิว เรากำลังฟังสิ่งที่พระเยซูตรัสสั่งสาวกใหม่ สาวกที่เคยเห็นการงานของพระองค์แต่จำเป็นต้องได้ยินจากถ้อยคำของพระองค์ พระคำตอนนี้เริ่มด้วยคำอธิบายที่ไม่ใช่เป็นการงานของภายนอกที่สร้าง คุณลักษณะสาวก แต่เป็นคำสอนถึงรากฐานการเปลี่ยนของจิตใจภายใน ยังมีข้อสังเกตุอีกมากในคำสอนนี้ แต่ผมอยากให้เราเริ่มด้วยการอ่าน แล้วถามตัวเองว่า “ทำไมต้องมีคนทนทุกข์ ถูกข่มเหงเพื่อจะดำเนินตามแนวคิดและจิตใจแบบนี้?”
มัทธิว 5:3-12
3 “บุคคลผู้ใด รู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข
เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา
4 “บุคคลผู้ใดโศกเศร้า ผู้นั้นเป็นสุข
เพราะว่าเขาจะได้รับการทรงปลอบประโลม
5 “บุคคลผู้ใดมีใจอ่อนโยน ผู้นั้นเป็นสุข
เพราะว่าเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก
6 “บุคคลผู้ใดหิวกระหาย ความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข
เพราะว่าพระเจ้าจะทรงให้อิ่มบริบูรณ์
7 “บุคคลผู้ใดมีใจกรุณา ผู้นั้นเป็นสุข
เพราะว่าเขาจะได้รับพระกรุณาตอบ
8 “บุคคลผู้ใดมีใจบริสุทธิ์ ผู้นั้นเป็นสุข
เพราะว่าเขาจะได้เห็นพระเจ้า
9 “บุคคลผู้ใดสร้างสันติ ผู้นั้นเป็นสุข
เพราะว่าพระเจ้าจะทรงเรียกเขาว่าเป็นบุตร
10 “บุคคลผู้ใดต้องถูกข่มเหงเพราะเหตุความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข
เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา
11 “เมื่อเขาจะติเตียนข่มเหง และนินทาว่าร้ายท่านทั้งหลายเป็นความเท็จเพราะเรา ท่านก็เป็นสุข 12 จงชื่นชมยินดี เพราะว่าบำเหน็จของท่านมีบริบูรณ์ในสวรรค์ เพราะเขาได้ข่มเหงผู้เผยพระวจนะทั้งหลาย ที่อยู่ก่อนท่านเหมือนกัน”2
สังเกตุดู ไม่มีอะไรเป็นต้นเหตุในคำเทศนาบนภูเขาที่นำไปถึงการถูกข่มเหง3 สาเหตุของการถูกข่มเหงเจาะจงอยู่ในมัทธิว 5:11 “เพราะเรา” การข่มเหงในตัวมันเองไม่ได้นำมาซึ่งพระพร แต่การข่มเหงเหตุเพราะความชอบธรรมในองค์พระเยซูคริสต์มาพร้อมกับพระสัญญาแห่งพระพร!
ในมัทธิว 5:12 พูดถึงการข่มเหงผู้เผยพระวจนะ อะไรทำให้ผู้เผยพระวจนะเป็นผู้เผยพระวจนะ? – เขาทำอะไร พูดเรื่องใด? อะไรทำให้ผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เดิมต้องเจอกับปัญหาและถูกข่มเหง – การกระทำหรือคำพูดของพวกเขา? ในพระคัมภีร์ใหม่ อะไรทำให้ยอห์นผู้ให้บัพติศมาต้องทนทุกข์ถูกข่มเหงถึงชีวิต – สิ่งที่ท่านทำ (ให้บัพติศมาพระเยซู) หรือคำพูดของท่าน? ไม่ใช่การกระทำ แต่เป็นคำเผยพระวจนะ “เพราะเรา” คำพูดที่เป็นพยานถึงพระเยซู ไม่เช่นนั้นจะพูดถึงสาวกว่าจะถูกติเตียนข่มเหงเหตุเพราะพระองค์ได้อย่างไร?
เกลือและความสว่าง
เมื่อเข้าสู่บทเรียนนี้ เราหนีไม่พ้นที่จะรับผลกระทบจากอุณหภูมิของวัฒนธรรมรอบตัว ผู้คนต่างก็บอกว่าเราถูกเรียกให้ไปเป็นเกลือและความสว่าง เบื้องต้นน่าจะหมายถึงทำความดี โลกอยากให้คริสเตียนอยู่ในมุมของการทำความดีและไม่ต้องไปป่าวประกาศมาก โลกยินดีจะยกย่องคริสเตียนที่ทำความดีเกินกว่ามาตรฐานทั่วไป ตราบเท่าที่เราปิดปากเงียบเรื่องความบาป ความชอบธรรม และการพิพากษา ผมแน่ใจว่ามีชื่อคริสเตียนที่ทำความดีและได้รับเกียรติจากโลกหลายคนผุดขื้น มาในหัว เป็นเพราะคริสเตียนเหล่านี้ไม่กล้าประกาศเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซู คริสต์
ผมเคยเห็นในนิตยสารไทม์เขียนเรื่อง “มิชชันนารี่ปลอมตัว” ตอนที่อ่านผมรู้สึกว่ากำลังอ่านถึงจิตวิญญาณของโลกนี้ ประทับใจที่พบว่ามิชชันนารีบางคนถูกมองอย่างชื่นชมโดยโลก หนึ่งในนั้น เอ็ดวาร์ด มิลเลอร์ ตอนอยู่ที่อิรัก พยายามเลี้ยงอาหารให้กับผู้ป่วยทางจิตของอิรัก แต่นิตยสารไทม์กลับเขียนว่า:
สิ่งหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในรายการที่เขาต้องทำ – การประกาศ …
ในแบกแดด คณะกรรมการลูกจ้างคริสเตียนโปรแตสแต้นท์ไม่รู้สึกอยากจะแบ่งปันข่าวประเสริฐ กับลูกค้า … เขาบอกว่า “คุณต้องตระหนักว่าคริสเตียนเป็นส่วนหนึ่งของตะวันออกกลางมาตั้ง 2,000 ปีแล้ว ใครๆก็รู้ว่าเรานับถือศาสนาอะไร ไม่จำเป็นต้องอธิบายเพิ่มเติม ผมไม่รู้สึกว่ามีอะไรจะสอนคนมุสลิมพอๆกับที่เขาไม่มีอะไรจะสอนผม”4
มิชชันนารี่มิลเลอร์ ก็ไม่อยู่ในข่ายเสี่ยงที่จะถูกข่มเหงเหตุเพราะพระ เยซูคริสต์ ตราบเท่าที่เขาละเลยคำพยานของข่าวประเสริฐ เขาอาจจะได้รับการยกย่องมากมายจากทางโลก แต่เขาได้เป็นเกลือหรือความสว่างหรือ? ให้เราอ่านพระวจนะสามข้อนี้อีกครั้ง
13 “ท่านทั้งหลายเป็นเกลือแห่งโลก ถ้าเกลือนั้นหมดรสเค็มไปแล้ว จะทำให้กลับเค็มอีกอย่างไรได้ แต่นั้นไปก็ไม่เป็นประโยชน์อะไร มีแต่จะทิ้งเสียสำหรับคนเหยียบย่ำ 14 “ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก นครซึ่งอยู่บนภูเขาจะปิดบังไว้ไม่ได้ 15 เมื่อจุดตะเกียงแล้ว ไม่มีผู้ใดเอาถังครอบไว้ ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนที่อยู่ในเรือนนั้น 16 ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์
สองสิ่งที่นำมาใช้เปรียบเทียบในตอนนี้ พระเยซูให้สาวกแท้ของพระองค์เป็นกรณีตัวอย่างในสภาพแวดล้อมของโลกที่ล้มลง “ท่านทั้งหลายเป็นเกลือแห่งโลก …ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก” นักวิชาการต่างคาดเดากันถึงธรรมชาติความคล้ายของเกลือและธรรมชาติของสาวกพระ เยซู แต่ประเด็นหลักนั้นชัดเจนมาก – เราถูกกำหนดให้แตกต่างจากโลก เกลือที่ต่างจากอาหารรสจืด และความสว่างที่ต่างจากความมืด ไม่ว่าความสว่างส่องไปที่ใด ความมืดก็จะถูกขับไล่ไป อ.เปาโลถามใน 2โครินธ์ 6:14 “เพราะว่าความชอบธรรมจะมีหุ้นส่วนอะไรกับความอธรรม และความสว่างจะเข้าสนิทกับความมืดได้อย่างไร?” ความสว่างและความมืดไปด้วยกันไม่ได้เพราะทั้งสองต่างขัดแย้งกันสิ้นเชิง
ความคล้ายคลึงกันในประเด็นที่สองคือเราไม่เพียงแต่ต่างจากโลกนี้ แต่เราถูกกำหนดให้ดีกว่าเดิม เกลือต่างจากอาหารรสจืด เพราะทำให้อาหารนั้นมีรสชาตน่ารับประทาน ความสว่างต่างจากความมืดเพราะช่วยคนที่หลงอยู่ในความมืดได้ เกลือเพียงนิดเดียวสามารถปรุงรสอาหารให้อร่อยได้ ความสว่างเพียงเล็กน้อยสามารถเจาะฝ่าความมืดเข้าไปได้ แม้มีคริสเตียนแท้ไม่กี่คนในชุมชน อาจสร้างกำลังใจให้แก่สังคมได้ ตอนที่ผมและภรรยาไปตั้งคริสตจักรในอัฟริกาตะวันออก มีแค่สองเปอร์เซ็นต์ของคนในหมู่บ้านที่เป็นคริสเตียน พวกชาวบ้านที่ทำสิ่งชั่วร้ายในชุมชนเริ่มรู้สึกอึดอัด หลายคนเริ่มเลี่ยงไปจากชุมชนเพื่อจะได้ปล่อยตัวและทำบาปต่อได้อย่างสบายใจ
สังเกตุดู ความสว่างไม่ได้เท่าเทียมกับการทำดี ในข้อ 16 ความสว่างส่องให้เห็นความดีที่กระทำเพื่อให้มนุษย์สรรเสริญพระบิดาที่บน สวรรค์ อะไรทำให้การงานของเราเห็นได้จนเป็นที่ถวายพระสิริแด่พระเจ้า? ยิ่งใช้เวลาศึกษาพระวจนะตอนนี้เท่าไร ยิ่งทำให้ผมเชื่อว่าคำพยานของเราเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์จะส่องไปที่การงาน ทำให้พวกเขาต้องสรรเสริญพระสิริของพระเจ้า หลายคนกำลังทำในสิ่งที่โลกเรียกว่าความดี แต่ไม่ได้ทำให้โลกสรรเสริญพระเจ้า ที่จริงการงานเช่นนั้นมักกลับไปยกย่องผู้กระทำแทน ทำดีในตัวของมันเองไม่ใช่ความสว่าง ต้องจุดประกายด้วยถ้อยคำที่นำพวกเขาให้สามารถถวายเกียรตินั้นให้แด่พระเยซู
เกลือก็เช่นกัน ถูกใช้ในพระคัมภีร์ใหม่ตอนอื่น เป็นภาพของคำพูดมากกว่าการกระทำ
3 และอธิษฐานเผื่อเราด้วย เพื่อพระเจ้าจะได้ทรงโปรดเปิดประตูไว้ให้เราสำหรับพระวาทะนั้น ให้เรากล่าวความล้ำลึกของพระคริสต์ (ที่ข้าพเจ้าถูกจำจองอยู่ก็เพราะเหตุนี้) 4 เพื่อข้าพเจ้าจะได้กล่าวชี้แจงข้อความ ตามสมควรที่ข้าพเจ้าควรจะกล่าวนั้น 5 จงปฏิบัติกับคนภายนอกด้วยใช้สติปัญญา โดยฉวยโอกาส 6 จงให้วาจาของท่านประกอบด้วยเมตตาคุณเสมอ ปรุงด้วยเกลือให้มีรส เพื่อท่านจะได้รู้จักตอบให้จุใจแก่ทุกคน (โคโลสี 4:3-6)
ในโคโลสี 4:6 อ.เปาโลพูดถึงการใช้คำพูดที่มีเมตตาคุณ ปรุงด้วยเกลือให้มีรส บริบทคือการพูดที่สำแดงถึงความล้ำลึกของข่าวประเสริฐแห่งพระเยซูคริสต์ เป็นคำพูดที่ทำให้ อ.เปาโลถูกล่ามและจำคุก คุณอาจคิดว่า อ.เปาโลคงอธิษฐานขอให้ท่านได้หลุดรอดออกมาจากคุก แต่สำหรับท่านเรื่องที่สำคัญกว่ามากคือได้สำแดงข่าวประเสริฐให้เป็นที่ ประจักษ์ และชาวโคโลสียังได้ฟังถึงข้อพิสูจน์ที่สามารถปกป้องความเชื่อได้อย่างเกิดผล เป็นถ้อยคำที่ปรุงรสด้วยเกลือและนำมาซึ่งการข่มเหงเหตุเพราะพระคริสต์จนแม้ ทุกวันนี้
ประเด็นที่สามคือสิ่งที่นำมาใช้เปรียบเทียบทั้งคู่มีนัยแฝงคล้ายกัน ในความเห็นของผม นักวิชาการทำการค้นคว้ามากมายเพื่อหาว่าทำไมเกลือถึงสูญเสียความเค็มไปได้5 ความจริงคือ เกลือ “ไม่เคย” สูญเสียความเค็ม พอๆกับความสว่างไม่เคยสูญเสียแสงสว่าง เกลือนั้นเค็ม ความสว่างนั้นสว่าง จะเป็นอื่นไปได้อย่างไร? มีนัยแฝงอยู่อย่างคาดไม่ถึง เกลือที่ไม่มีความเค็ม และความสว่างที่ไม่มีแสงสว่าง เป็นภาพของผู้ติดตามพระเยซูคริสต์ที่ไม่อาจขาดคำพยานที่ชัดเจนถึงพระสิริของ พระองค์ได้
ใครคือความสว่างของโลก?
บริบทของการเปรียบเทียบตอนนี้ย้ำให้ผมเห็นว่าพระเยซูกำลังสอนเราเรื่อง การออกพระนามของพระองค์มากกว่าการไปทำดี แต่ไวยากรณ์ในตอนนี้กลับทำให้ผมค้นและเจาะลึกลงไปอีก พระกิตติคุณยอห์นตลอดทั้งเล่ม “ความสว่างของโลก” ในองค์พระเยซู ยอห์นอธิบายถึงพระเยซูด้วยถ้อยคำว่า “ความสว่างแท้ที่ทำให้มนุษย์ทุกคนเห็นความจริงนั้นได้ แม้ขณะนั้นกำลังเข้ามาในโลก” (ยอห์น 1:9) พระเยซูเองตรัสในยอห์น 8:12 “เราเป็นความสว่างของโลก”
ถ้าพระเยซูเป็นความสว่างของโลก ทำไมพระองค์จึงตรัสในมัทธิว 5:14 ว่า “ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก”? เราทุกคนไม่สามารถเป็นความสว่างของโลกได้ เพราะยอห์นrพูดถึงยอห์นผู้ให้บัพติศมาไว้ชัดเจนว่า “ท่านไม่ใช่ความสว่างนั้น แต่ท่านมาเพื่อเป็นพยานให้แก่ความสว่างนั้น” (ยอห์น 1:8)
พระเยซูทรงตอบคำถามเราในยอห์น 8:12 เมื่อพระองค์ตรัสว่า “ผู้ที่ตามเรามาจะไม่เดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต“ สาวกของพระเยซูมีความสว่างในตนเอง เพราะพวกเขาอยู่ในพระคริสต์ผู้ทรงเป็น “ความสว่าง” ของโลก คุณเป็นความสว่างของโลกเพราะพระคริสต์อยู่ในคุณ และพระองค์ทรงเป็นความสว่าง
เรื่องน่าเศร้าในความจริงนี้คือที่สาวกของพระเยซูต้องเป็นความสว่างของ โลกเพราะโลกนี้อยู่ในความมืด แล้วบางคนจะก้าวออกจากความมืดไปสู่ “ความสว่างในชีวิต” ได้อย่างไร? พระเยซูทรงเรียกคุณและผมให้มาวางใจในพระองค์ เพราะพระองค์ได้ทรงยอมตายเพราะบาปของเราแล้วตามที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์ ทรงถูกฝังไว้ และทรงคืนพระชนม์ในวันที่สามตามที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ทุกประการ มีพยานรู้เห็นมากมาย เมื่อคุณมามีความเชื่อและวางใจในพระเยซู ในการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อคุณ พระองค์ทรงสัญญาประทานชีวิตนิรันดร์ในพระองค์ให้คุณ แล้วคุณเองจะมีความสว่างแห่งชีวิต ผู้ติดตามพระเยซูต่างดำเนินอยู่ในพระองค์ และเมื่อดำเนินอยู่ในพระองค์ เราก็คือความสว่างของโลกนี้
คำพูด หรือ การกระทำ?
ในมัทธิว 5:13-16 บอกว่าเราเป็นเกลือและความสว่าง พระเยซูกำลังบอกว่าคำพูดของเราเป็นเกลือและความสว่าง หรือการกระทำของเรา? ไม่ทั้งสองอย่าง ยิ่งได้ศึกษาพระวจนะตอนนี้มากเท่าไร ยิ่งทำให้สรุปได้ว่าพระเยซูไม่ได้ตรัสชัดว่าเป็นคำพูดหรือการกระทำ เช่นเดียวกับคำสอนในคำเทศนาบนภูเขา พระองค์ทรงอธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงภายในที่นำมาร่องก่อนแรงจูงใจ ทั้งคำพูดและการกระทำ
เราที่เป็นคริสเตียน ฟังถ้อยคำนี้ให้ดีๆนะครับ: “คุณ “เป็น” เกลือของโลก … คุณ “เป็น” ความสว่างของโลก” ไม่ใช่สิ่งที่คุณพูด ไม่ใช่สิ่งที่คุณทำ แต่เป็นคุณที่อยู่ในพระคริสต์ เมื่อพระเยซูตรัสว่า “จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ” พระองค์ไม่ได้หมายถึงว่าเราควรทำงานของเราให้เด่นชัดต่อหน้าผู้คน เพราะในคำเทศนาเดียวกันนี้ในมัทธิว 6:14 พระองค์ตรัสว่า “จงระวัง อย่ากระทำศาสนกิจเพื่ออวดคนอื่น…ทานของท่านจะต้องเป็นทานลับ” ไม่ ใช่สิ่งที่คุณทำ แต่ที่คุณเป็นในพระเยซูคริสต์จะจุดประกายในทุกสิ่งที่คุณทำ เมื่อคนเห็นการทำดีของคุณพวกเขาจะสรรเสริญพระบิดาที่ในสวรรค์
สังเกตุดูลัทธิต่างๆและศาสนาที่มนุษย์ตั้งขึ้นจะเป็นไปตามหลักปรัชญาที่ ตรงข้ามกับคำสอนของพระเยซูสิ้นเชิง ศาสนาอื่นจะสอนให้เราทำทานให้ผู้อื่นเห็นเพื่อยกย่องศาสนานั้นๆ แต่ไม่อนุญาตให้สั่งสอนคำพยานแบบของพระเยซู หลักคำสอนของพระเยซู ให้เราทำทานเป็นการลับ แต่ให้สำแดงถึงคำพยานของพระองค์ ตัวอย่างของพระองค์มีหลักปรัชญาที่น่าทึ่ง เพราะเมื่อใดก็ตามที่พระเยซูทรงทำการอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่หรือสำแดงพระเมตตา พระองค์จะสั่งผู้คนไม่ให้นำไปพูดต่อ แต่ให้ไปประกาศอย่างกล้าหาญถึงแผ่นดินของพระเจ้า และเมื่อคนได้เห็นการกระทำดีนั้นเขาจะไปสรรเสริญพระบิดาแทน เมื่อเราทำตามคำสอนและแบบอย่างของพระเยซู เราทำงานของเราให้เห็นเด่นชัด และคำพยานของพระองค์สำแดงออกมา สิ่งนี้จะทำให้คนที่เห็นการกระทำดีของเราจะไปสรรเสริญพระบิดาแทน
เมื่อเราอยู่ในจุดที่เค็มที่สุด และจุดที่สว่างที่สุด ผู้คนก็จะมาไม่ข่มเหงเราเพราะพระคริสต์ ก็สรรเสริญพระบิดาของเรา ในยอห์น 10 มีการแตกแยกในท่ามกลางพวกยิวเพราะคำตรัสของพระเยซู (10:19) บางคนถึงกับคว้าก้อนหินขึ้นมาจะขว้างพระองค์ พระเยซูถามพวกเขา “เราได้สำแดงให้ท่านเห็นการดีหลายประการของพระบิดาของเรา ท่านทั้งหลายหยิบก้อนหินจะขว้างเราให้ตาย เพราะการกระทำข้อใดเล่า” แต่พวกเขาตอบว่า “เราจะขว้างท่านมิใช่เพราะการกระทำดี แต่เพราะการพูดหมิ่นประมาทพระเจ้า เพราะท่านเป็นเพียงมนุษย์แต่ตั้งตัวเป็นพระเจ้า” (10:32-33) คำถามไม่ใช่เพราะสิ่งที่พระเยซูทำหรือตรัส แต่เป็นพระองค์เอง ไม่ใช่คำพูดหรือการกระทำ สาระสำคัญคือพระลักษณะของพระองค์
การเปลี่ยนแปลงภายในและดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
เราค่อยๆเจาะลงไปสามระดับความเข้าใจในการเปรียบเทียบของเกลือและความ สว่างของพระเยซู แต่ก่อนที่จะแตะถึงความเข้าใจระดับที่สี่ที่ผมอยากจะเลี่ยง คือข้อเท็จจริงที่ยากจะเข้าใจว่าเราเป็นความสว่างของโลก ไม่เพียงเพราะพระคริสต์สถิตย์ภายในเราและเราอยู่ในพระองค์ แต่เพราะเราเปลี่ยนแปลงไปเป็นเหมือนพระฉายของพระองค์ผู้ทรงเป็นความสว่างของ โลก อ.เปาโลใน 2โครินธ์ 3:15-18 กล่าวว่า:
15 แต่ว่าตลอดมาถึงทุกวันนี้ ขณะใดที่เขาอ่านคำของโมเสส ผ้าคลุมนั้นก็ยังปิดบังใจของเขาไว้ 16 แต่เมื่อผู้ใดหันกลับมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า ผ้าคลุมนั้นก็จะเปิดออก 17 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ที่ไหน เสรีภาพก็มีอยู่ที่นั่น 18 แต่เราทั้งหลายไม่มีผ้าคลุมหน้าแล้ว จึงแลดูพระสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้า และตัวเราก็เปลี่ยนไปเป็นเหมือนพระฉายขององค์พระผู้เป็นเจ้า คือมีศักดิ์ศรีเป็นลำดับขึ้นไป เช่นอย่างศักดิ์ศรีที่มาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งเป็นพระวิญญาณ
มีม่านกั้นอยู่ระหว่างพระวจนะของพระเจ้าและความคิดของผม เช่นเดียวกับที่ผมยังไม่อาจรับความจริงนี้ใน 2โครินธ์ 3:14 ได้ แต่เมื่อได้เข้าเฝ้าพระเจ้า ม่านนั้นก็ถูกเปิดออก ทำให้สามารถเจาะลึกลงไปในพระวจนะ ทำให้พระวจนะตอนนี้ไม่ถูกบดบังอีกต่อไป แต่กระจ่างชัดเจนเหมือนส่องกระจกเงา ผมไม่เพียงแต่เห็นในสิ่งที่คาดไว้ แต่เห็นถึงพระสิริของพระเจ้าด้วย มันทำให้มองเข้าไปในพระสิริและสะท้อนให้เห็นใบหน้าตนเองอย่างที่ไม่มีสิ่งใด บดบัง เพราะพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในผม ทำให้ใบหน้าของผมกระจ่างด้วยพระสิริเหมือนใบหน้าของโมเสส (2โครินธ์ 3:7-8) ยิ่งผมมองลึกลงไปในพระวจนะมากเท่าใด ยิ่งทำให้ตระหนักว่ามีการเปลี่ยนแปลงลึกลงไปภายในอย่างต่อเนื่องไป จนกว่าพระคริสต์จะเปลี่ยนแปลงผมอย่างเต็มที่ และผมจะเป็นเหมือนพระองค์ เพราะผมได้เห็นพระองค์อย่างที่พระองค์เป็น
อ.เปาโลกล่าวต่อไปในบทที่ 4:
3 แต่ถ้ามีม่านบังข่าวประเสริฐของเราไว้จากใคร ก็จากคนเหล่านั้นที่กำลังจะพินาศ 4 ส่วนคนที่ไม่เชื่อนั้น พระของยุคนี้ได้กระทำใจของเขาให้มืดไป เพื่อไม่ให้เขาได้เห็นความสว่างของข่าวประเสริฐ เรื่องพระสิริของพระคริสต์ผู้เป็นพระฉายของพระเจ้า 5 เราไม่ได้ประกาศตัวเราเอง แต่ได้ประกาศพระเยซูคริสต์ว่าทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และประกาศตัวเราเองเป็นทาสของท่านทั้งหลายเพราะเห็นแก่พระเยซู 6 เพราะว่าพระเจ้าองค์นั้นผู้ได้ตรัสสั่งให้ความสว่างออกมาจากความมืด ได้ทรงส่องสว่างเข้ามาในจิตใจของเรา เพื่อให้เรามีความสว่างแห่งความรู้ถึงพระสิริของพระเจ้า ปรากฏในพระพักตร์ของพระคริสต์ 7 แต่ว่าเรามีของมีค่านี้อยู่ในภาชนะดิน เพื่อให้เห็นว่า ฤทธิ์เดชอันเลิศนั้นเป็นของพระเจ้า ไม่ได้มาจากตัวเราเอง
ความเข้าใจเรื่องเกลือและความสว่างของพระเยซูระดับที่สี่ ไม่ได้มุ่งไปที่การงานหรือคำพูด แต่เป็นคุณลักษณะที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นและมากขึ้น จากการสะท้อนพระฉายของพระเยซูคริสต์ ใจของเราจะบรรจุความสว่างแห่งความรู้ในพระสิริของพระเจ้ามากขึ้นและมากขึ้น ใบหน้าเราจะสะท้อนความสว่างของพระเยซูคริสต์มากขึ้นและมากขึ้น และแม้ขุมทรัพย์นั้นจะเหมือนอยู่ในภาชนะดิน แต่เมื่อโลกมองเห็น พวกเขาจะสรรเสริญพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์ พวกเขาจะเห็นได้ถึงฤทธิอำนาจอันสุดยอดของพระเจ้า และไม่ใช่ของเราเอง
ไม่มีที่ว่างสำหรับความหน้าซื่อใจคด
พระเยซูทรงมีความสัตย์ซื่ออย่างสมบูรณ์ ทุกสิ่งที่พระองค์ตรัส และทุกสิ่งที่พระองค์ทำล้นไหลออกมาจากพระลักษณะของพระองค์ในฐานะพระบุตรของ พระเจ้า นี่คือสิ่งที่พระองค์เป็น – ความสว่างของโลก – และเป็นเหตุทำให้พระองค์ทรงพระพิโรธต่อความหน้าซื่อใจคดของผู้คนรอบด้าน – จึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้เชื่อที่จะไปได้ไกลกว่าความหมายของสิ่งที่ พระองค์นำมาใช้เปรียบเทียบ เริ่มจากการกระทำภายนอกที่ชอบธรรม มากกว่าการเปลี่ยนแปลงภายใน
นิโคเดมัสเป็นในแบบของคนที่ทำงานแต่ไม่กล้าเอ่ยพระนามพระเยซู คนจำเขาได้ว่าเป็น “ผู้มาหาพระเยซูในเวลากลางคืน” หรือ “โยเซฟแห่งอริมาเธีย สาวกลับๆของพระเยซูเพราะกลัวพวกยิว” (ยอห์น 19:38-39) พวกเขามาช่วยนำพระศพพระเยซูไปฝังไว้ เป็นพวกทำการดีแต่เป็นการลับ – ไม่ใช่เพราะถ่อมใจแต่เป็นเพราะความขลาด นี่เป็นตะเกียงที่จุดไว้พร้อมกับมีฝาเหล็กครอบไว้ และไม่แค่นิโคเดมัสและโยเซฟเท่านั้นที่ภายนอกทำอย่าง เบื้องหลังทำอีกอย่าง ยอห์นยังตั้งข้อสังเกตในวันที่พระเยซูเสด็จสู่เยรูซาเล็มอย่างผู้มีชัย (ยอห์น 12:42-43):
42 อย่างไรก็ดีแม้ในพวกเจ้าหน้าที่เองก็มีหลายคนศรัทธาในพระองค์ แต่เขาไม่ยอมรับพระองค์อย่างเปิดเผยเพราะกลัวพวกฟาริสี เขากลัวว่าจะถูกอเปหิออกจากธรรมศาลา 43 เพราะว่าเขารักการสรรเสริญของมนุษย์ มากกว่าการสรรเสริญของพระเจ้า
ผมตระหนักดีว่ายังมีพวกหน้าซื่อใจคดหลายคนในทุกวันนี้ (เหมือนในสมัยพระเยซู) พวกเขากล้ายอมรับในพระองค์ แต่การกระทำกลับเหมือนปฏิเสธพระองค์ อย่างไรก็ตาม ความหน้าซื่อใจคดเช่นนี้ ไม่ได้เป็นสิ่งที่พระองค์เน้นเมื่อพูดถึงเกลือและความสว่าง
นิค และ โจ ของยุคนี้
ในสมัยของเรา คนอเมริกันมักจะมองเรื่องหน้าซื่อใจคดของนิโคเดมัสและโยเซฟไม่ออก เราพบว่ามันง่ายกว่าที่จะวุ่นกับเรื่องของตนเอง แทนที่จะไปทำหน้าที่ตัวแทนให้ประเทศ เราพูดว่า “ถ้าฉันทำการงานของฉันอย่างดีเลิศ พระเจ้าทรงทราบดีว่านี่เป็นไปเพื่อพระสิริของพระองค์” แน่นอนครับ แต่คุณไม่ได้เป็นทูตของพระคริสต์ เป็นแค่สายลับ “แต่ฉันไม่มีของประทานในการประกาศ” ถูกครับ แต่อย่างน้อยคุณก็รู้เรื่องข่าวประเสริฐ มันยากแค่ไหนที่จะกล่าวว่า “พระเยซูทรงตายแทนความบาปของฉันตามที่มีอยู่ในพระคัมภีร์”? “ครับ แต่อาจทำให้ผมตกงาน” ในอีกมุม มันคงจะยากถ้าคนอเมริกันสักคนต้องตกงานเพราะพูดว่า “ผมเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้าที่ฟื้นขึ้นมาจากความตาย” ถ้าคุณต้องตกงานเพราะคำพยานของคุณ คุณก็มีเหตุไปฟ้องร้องได้ ที่เราหมายความจริงๆเมื่อพูดว่า “ผมไม่ได้รับอนุญาตให้พูดเรื่องพระกิตติคุณในที่ทำงาน” เพราะกลัวว่าอาจไม่ได้เลื่อนขั้น – หรือที่จริง เรากลัวการถูกข่มเหงเหตุเพราะพระนามของพระเยซู6
สตรีคริสเตียนท่านหนึ่งกระตือรือร้นเมื่อได้มาร่วมกลุ่มอธิษฐานเล็กๆของ เธอ เธอมีอาชีพทำงานดูแลสุขภาพในโรงเรียนรัฐ นักเรียนคนหนึ่งของเธอเป็นมะเร็งร้าย เป็นเด็กที่ต้องการความสว่างของโลกนี้เป็นอย่างยิ่ง แต่ในฐานะลูกจ้างรัฐและถูกห้ามไม่ให้ประกาศ เราอธิษฐานเผื่อเธอและให้คำแนะนำจากพระคัมภีร์ บอกว่าถ้าพวกเขาสั่งให้หยุดพูดในนามของพระเยซู จงพูดต่อ – ความกล้าเป็นพยานของเธอทำให้แฮรรี่ลูกศิษย์ได้มาวางใจในพระเยซู แต่เรื่องไม่ได้จบแค่นั้น เมื่อใดที่แพตตี้หนุนใจแฮรรี่ด้วยข้อพระคำ เพื่อนร่วมงานอีกสองคนของแพตตี้จะได้ยินด้วย แฮรรี่เองก็เริ่มเป็นพยานด้วยใจกล้าหาญกับเพื่อนๆ แถมครั้งหนึ่งได้แบ่งปันเรื่องความเชื่อของเขาในที่ประชุมด้วย แพตตี้ได้รับเชิญไปที่บ้านของแฮร์รี่เพื่อจะไปพบพ่อแม่ที่ไม่ได้เป็น คริสเตียน ทุกวันนี้ แพตตี้ยังไม่โดนไล่ออก ลดตำแหน่ง หรือถูกว่ากล่าวใดๆ แต่ถ้าโดนล่ะ? การได้ไปสวรรค์ของแฮร์รี่มันคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม ใช่มั้ยครับ?
แพตตี้เป็นความสว่างของโลก ไม่ใช่เพราะเธอทำสิ่งที่มีเมตตา แต่เพราะคำพยานที่สัตย์ซื่อของเธอ เพราะพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นความสว่างของโลกที่อยู่ในเราที่ทำให้เป็นทูตของพระองค์ และเราไม่เคยปิดบังเอาไว้เลย
1 163 ลิขสิทธิ์ของ- Copyright 2003 by Community Bible Chapel, 418 E. Main Street, Richardson, TX 75081 เป็นต้นฉบับที่ปรับใหม่ของบทเรียนต่อเนื่องของพระกิตติคุณมัทธิวบทที่ 19 จัดเตรียมโดย คอลิน แมคดูกัลป์ 29 มิถุนายน 2003
2 164 พระวจนะภาษาอังกฤษที่นำมาใช้มาจาก Holy Bible, New King James Version. Copyright 1982 by Thomas Nelson, Inc., Nashville, Tennessee. All rights reserved.
3 165 เปโตรชี้ให้เห็นเมื่อท่านกล่าวถึงการข่มเหงในคำเทศนาบนภูเขาใน 1เปโตร 3:13-14 สังเกตดูที่ท่านนำพระวจนะในตอนนี้มาใช้ (3:15)
4 166 David Van Biema, “Keeping the Faith Without Preaching It,” Time 161.26 (June 30, 2003), p. 40.
5 167 ข้อเท็จจริงที่นักวิชาการพากันค้นคว้าเรื่องเกลือสูญเสียความเค็มอย่างไร นอร์แมน ฮิลเยอร์ พูดถูกเมื่อตระหนักว่า “ความเป็นโซเดียมคลอไรด์ที่เป็นองค์ประกอบเคมีในเกลือ ทำให้เกิดคำถามว่าเกลือจะสูญเสียความเค็มได้อย่างไร แล้วก็เล่าเรื่องประกอบว่าเกลือสูญเสียความเค็มจากคัมภีร์ของปาลสไตน์ “เกลือ” in New International Dictionary of New Testament Theology, Vol. 3 (Grand Rapids, Michigan: Zondervan, 1986), p. 446.
6 168 บางคนรู้สึกว่าการประกาศข่าวประเสริฐอย่างกล้าหาญในท่ามกลางสาธารณะเป็นการ กระทำที่ไม่ฉลาดนัก และไม่น่าจะเกิดผล แต่อย่าลืมว่าเรามียุทธภัณฑ์ทั้งชุดให้ผู้เชื่อสวมใส่ (เอเฟซัส 6:10-17) โดยเฉพาะการอธิษฐานเพื่อจะสู้ในสนามรบฝ่ายวิญญาณได้ (เอเฟซัส 6:19) อธิษฐานให้มีความกล้าในการประกาศข่าวประเสริฐ (เอเฟซัส 6:19-20) อย่าลืมการเทศนาของ อ.เปาโลที่ทำให้ท่านไม่ก้าวหน้าในการงาน ตกจากตำแหน่งฟาริสีไปถูกจำคุก ท่านไม่ได้กังวลเรื่องความฉลาดหรือเรื่องเกิดผลมากกว่าใจที่กล้าหาญในการ ประกาศข่าวประเสริฐ!
Related Topics: Assurance, Cultural Issues
14. “ไม่ได้มาเลิกล้าง แต่มาทำให้สมบูรณ์” (มัทธิว 5:17-20)
Related Mediaคำนำ1
คนเราเก่งในเรื่องหาความชอบธรรมให้ตนเอง ขอย้ำ คนเราเก่งในเรื่องหาความชอบธรรมให้ตนเอง มนุษย์มีความสามารถพิเศษที่ให้ความมั่นใจกับตัวเองได้ไม่ว่าไปทำอะไรมา พวกเขาก็จะ “ไม่เป็นไร” ลองคิดดู กี่ครั้งที่คุณได้ยิน “ถึงมันไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุด แต่มันก็โอเคนะ” หรือ “ใช่ ผมรู้ว่าไม่ควรทำอย่างนั้น แต่ไม่เป็นไรหรอก ใช่ว่าจะทำตลอดเวลาเมื่อไร” พระเจ้าประทานความคิดสร้างสรรค์ให้มนุษย์ แต่เรามักนำไปใช้ในทางชั่วมากกว่าทางดี
ดูเหมือนเรามีความคิดบรรเจิดที่สุดเมื่อบอกกับตัวเองว่าเราดีพอ
- ดีเกินกว่าจะทำงานกับบริษัทที่ปฏิเสธเรา
- ดีเกินกว่าจะเข้ามหาวิทยาลัยที่ไม่รับเรา
- ดีเกินกว่าหนุ่มคนนั้นที่ไม่เคยโทรกลับมา
- ดีเกินกว่าผู้หญิงคนนั้นที่บอก “ไม่ล่ะ ขอบคุณ”
ดูเหมือนไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเรา คนส่วนใหญ่จะมีความสามารถพิเศษทำให้ตนเองรู้สึกว่าแบบของฉันดีกว่า ถ้าสังเกตให้ดี ส่วนที่หลงตัวเองมักเกี่ยวข้องกับสิ่งหนึ่ง เมื่อมีข้ออ้างหรือหาความชอบธรรมให้กับสิ่งที่เกิดกับตนเองหรือความประพฤติ ของตน พวกเขาปฏิเสธไม่ยอมรับว่ามีบางคนมีมาตรฐานที่พวกเขาไม่อาจทำตามได้
เมื่อมหาวิทยาลัยปฏิเสธไม่รับคุณ – ยอมรับเถอะครับ คุณไม่ได้ตามมาตรฐานของเขา เมื่อทีมว่ายน้ำตัดชื่อคุณออก – คุณก็ว่ายไม่ได้เร็วเท่าที่ควร เมื่อไม่ได้เลื่อนขั้น – เฮ้ คุณไม่ได้เชี่ยวชาญขนาดนั้น เมื่อคุณสอบวัดความชำนาญไม่ผ่าน – ยอมรับเถอะครับ คุณไม่ได้เข้าใจอุปกรณ์พวกนั้นเท่าที่ควร เมื่อถูกปฏิเสธเงินกู้ – ประวัติการเงินคุณอาจไม่ดี แต่เราไม่ชอบใจ มันยากที่จะทำใจ เราจึงหาความชอบธรรมให้ตัวเอง “โอ้ เธอไม่รู้หรอกว่าดีแปลว่าอะไร” “โอ้ พวกเขาไม่ชอบผู้จัดการฝ่ายเทคนิค” “ข้อสอบมีคำถามที่ไม่ได้เรื่อง” “ไม่แปลก เดี๋ยวนี้ใครๆก็เป็นหนี้”
สู่เรื่องฝ่ายวิญญาณ
น่าเศร้าคนเราหาความชอบธรรมให้ตนเองในแบบที่คนภายนอกเห็นได้ และยังหาความชอบธรรมให้ตนเองในแบบส่วนตัว และชีวิตฝ่ายวิญญาณด้วย เมื่อคุณสำรวจความชอบธรรมในแบบที่ไม่ใช่ส่วนตัว จะพบว่ามาตรฐานความชอบธรรมนี้ก็ส่วนตัวพอๆกับเจ้าตัว บางทีเหมือนเรากำลังหลงอยู่ในยุคผู้วินิจฉัย ขอทวนคำพูดตอนนั้นครับ “ทุกคนทำในสิ่งที่ตนเองเห็นว่าถูกต้อง” เราอาจจะเติม “และมั่นใจด้วยว่าเป็นสิ่งถูกต้องที่ทำ” ผู้คนต่างมี “แนวคิดของตนเอง” อะไรคือความชอบธรรมและความดีงาม และตัดสินใจว่าจะดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับแนวคิดนั้น
หนึ่งในปัญหาใหญ่ในกรอบความคิดของคนยุคหลังสมัยใหม่ คือไม่มีใครอยากใส่ใจมาตรฐานความชอบธรรมที่ไม่ใช่แบบตัวเอง ส่วนคนที่ไม่อยากทำแบบนี้ ก็ไม่กล้าทำ เพราะไม่มีใครอยากกำหนดมาตรฐานขึ้นมา กลัวว่าจะไปกระทบกระเทือนผู้อื่น คนเลยปล่อยตามสบาย ตั้งมาตรฐานของตนเองขึ้นมา แล้วเอาตัวเองไปคอยเช็ค ที่น่าประหลาด น่าประหลาดที่สุด พวกเขาทำมันได้ครบถ้วน! นี่เป็นคุณสมบัติที่ดีที่สุดตามมาตรฐานความชอบธรรมส่วนตัว เป็นแบบสั่งทำพิเศษเพื่อตนเอง โดยตนเอง และเหมาะสำหรับตนเองเท่านั้น เราอาจเรียกว่าเป็น “ความชอบธรรมเฉพาะตัว” เพราะมันบ้าบอสิ้นดีที่คิดว่าเราสามารถทำได้ตามมาตรฐานของเราเอง และมีคุณค่าสูงส่งด้วย
ทำลิสต์ตามรายการ
ทำไมมาตรฐานความชอบธรรมส่วนตัวของเราจึงมีข้อบกพร่อง? เหตุผลหนึ่งเพราะเราเองบกพร่อง แต่อีกเหตุผลเกี่ยวข้องกับวิธีที่เราทำตามมาตรฐานนั้น มนุษย์มักชอบทำไปตามลิสต์ของกฎเกณฑ์ ทำไม? เพราะพวกเขาสามารถเช็คลิสต์ตามไปได้ เราชอบทำลิสต์กฎเกณฑ์ต่างๆ เพราะเราสามารถใส่มันลงไปในสมุดวางแผนงานประจำปี หรือใส่ใน ”สมาร์ทโฟน” แล้วถ้าเราเช็คลิสต์นั้นผ่าน เราก็สบายใจ ไม่มีอะไรรู้สึกดีไปกว่าเช็คลิสต์ผ่าน เช็ครายการทำความดีแล้วผ่าน ปัญหาคือลิสต์นั้นอันตรายเพราะมันมีความสามารถลึกลับทำให้เรารู้สึกชอบธรรม เพราะทำบางสิ่งผ่านได้ ฟังอีกครั้ง การเช็คลิสต์บางสิ่งให้ผ่าน ทำให้รู้สึกว่าทำได้แล้ว แต่เป็นแค่ชั่วคราวครับ
คิดดู คงไม่มีคนเขียนลงไปในลิสต์ “วันนี้รักภรรยาให้ได้” ทำไม? เพราะเป็นภารกิจที่ค้านกับหลักการบริหารเวลา ภารกิจนี้ต้องวัดผลได้ ทำอย่างไรถึงจะวัดปริมานความรักได้? ทันทีที่ถามคำถามนี้ ในหัวผมตอบว่า “เดี๋ยวล้างจานให้ละกัน” ผมก็ไปล้างจาน แต่ภรรยาไม่ได้รู้สึกว่ามีความรักเพิ่มขึ้น ผมบอกเธอผมรักเธอตอนเดินออกจากบ้าน แต่พอกลับมา ไม่เห็นเธอจะได้รับความรักเพิ่มขึ้น งั้นเปลี่ยนใหม่ แทนที่จะบอกว่า “รักภรรยา” กลับบอกว่า “ให้ดอกไม้เธอ” อืม พอวัดได้ ผมสามารถ “ทำ” ได้ และเมื่อทำผมก็บอกตัวเองว่าผมรักเธอ ความรักเป็นตัวอย่างที่ดีเพราะมีหลายสิ่งที่สามีทำให้ภรรยาได้ เป็นสิ่งที่ควรต้องทำ แต่ถ้าไม่ทำเพราะผมรักเธอ และเธอรักผม ทำไมสิ่งเหล่านี้ไม่ค่อยเกิดผลตามที่คาดหวัง? มันก็ลงไปที่เรื่องของหัวใจ ถ้าไม่มีใจในนั้น ความรักก็ไม่ได้รับการกระตุ้น ดอกไม้เหี่ยวเฉาไป จานก็สกปรกอีก ถ้าไม่ทำสิ่งเหล่านี้จากใจ ผลของมันแทบมองไม่เห็น เช่นเดียวกับเรื่องฝ่ายวิญญาณ ถ้าใจไม่อยู่ในนั้น เชื่อฟังตามมาตรฐานของพระเจ้าเพื่อความชอบธรรม มากกว่าทำตามความชอบธรรมที่ตั้งเอาเองก็จะไม่เกิดผล เราหาเหตุผลมาอ้างได้เสมอ
พูดถึงความชอบธรรมส่วนตัว เมื่อต้องดำเนินชีวิตให้เป็นที่พอพระทัย และการติดตามพระเยซูคริสต์ เรื่องของใจเป็นเรื่องสำคัญ จำไว้นะครับ : เช็คลิสต์ตกแต่งได้ แต่ใจต่างหากที่สำคัญ เมื่อ มาดูคำสอนของพระเยซูในคำเทศนาบนภูเขา เราเห็นว่าพระองค์เน้นและส่องสปอตไลท์ไปที่ประพฤติกรรมของผู้ติดตามพระองค์ ในข้อ 5:17-20 พระวจนะในบทเรียนตอนนี้ พระองค์ทรงเล็งไปที่แรงจูงใจในเรื่องดังต่อไปนี้
คำเทศนาบนภูเขา
ดูมัทธิว 5:17-20 และคำสอนก่อนหน้าในข้อ 1-12 สรุปคุณลักษณะและทัศนคติของผู้ติดตามพระเยซู มีหลักการเพื่อเอาชนะฝ่ายวิญญาณ (ความยากจนฝ่ายกาย) ความโศกเศร้า ความอ่อนน้อมถ่อมตน กระหายหาความชอบธรรม ความเมตตา ความบริสุทธิ์ หว่านสันติ ถูกข่มเหง บางคนที่ติดตามพระเยซูมีทัศนคติเช่นนี้อยู่ และถูกกระตุ้นให้ดำเนินตาม เป็นทัศนคติและความประพฤติที่จะสร้างลักษณะนิสัยในชีวิตของผู้ติดตามพระ คริสต์
เกลือและความสว่าง (มัทธิว 5:13-16)
ทัศนคตินี้เกิดคำถามขึ้นทันที ทำไมต้องดำเนินชีวิตแบบนี้? ยอมรับเถอะครับ ใครบ้างอยากจะเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน? เหตุผลหนึ่ง เพื่อจะชูรสในโลกที่จืดชืดนี้ บ่อยครั้งเราเองก็รสชาตเหมือนคนในโลก และพี่น้องครับ โลกนี้รสชาตแย่มาก แม้จะดูสวยงามแต่เป็นบาร์บีคิวที่ถูกซอสราดกลบไว้
พระเยซูจึงให้สาวกพระองค์เป็นต้นแบบความชอบธรรมเพื่อให้ชีวิตมีรสชาต ดำเนินชีวิตแบบนี้ ผู้คนจะลิ้มรสได้ แต่ทำไมต้องเค็ม ทำไมต้องส่องสว่าง? เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์”2 (มัทธิว 5:16) การทำดีของเราเป็นโอกาสให้พระบิดาในสวรรค์ได้รับพระกียรติ ทำไมต้องมีใจเมตตา? เพื่อพระสิริของพระเจ้า ทำไมต้องเป็นคนบริสุทธิ์? เพื่อพระสิริของพระเจ้า ทำไมมีรายได้เป็นล้านๆ แต่มีชีวิตเหมือนรายได้ไม่กี่หมื่น? เพื่อพระสิริของพระเจ้า ทำไมต้องอ่อนน้อมถ่อมตนในโลกที่บอกว่า “เฮ้ คุณมีสิทธินะ” เพื่อพระสิริของพระเจ้า อ.เปาโลนำสิ่งนี้ไปย้ำในหนังสือทิตัส ท่านกล่าวว่า:
11 เพราะว่าพระคุณของพระเจ้าได้ปรากฏแล้ว เพื่อช่วยคนทั้งปวงให้รอด 12 สอนให้เราละทิ้งความอธรรมและโลกียตัณหา และดำเนินชีวิตในยุคนี้อย่างมีสติสัมปชัญญะ สัตย์ซื่อสุจริตและตามคลองธรรม 13 คอยความสุขซึ่งจะได้รับตามความหวัง ได้แก่การปรากฏของพระสิริของพระเจ้าใหญ่ยิ่งคือ พระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดของเรา 14 ผู้ได้ทรงโปรดประทานพระองค์เองให้เรา เพื่อไถ่เราให้พ้นจากการอธรรมทุกอย่าง และทรงชำระเราให้บริสุทธิ์ เพื่อให้เป็นหมู่ชนพิเศษเฉพาะของพระองค์ และเป็นคนที่ขวนขวายกระทำการดี (ทิตัส 2:11-14)
ในบทต่อไป อ.เปาโลกล่าวอีกว่า:
8 คำนี้เป็นคำจริง ข้าพเจ้าปรารถนาให้ท่านเน้นเรื่องเหล่านี้ เพื่อคนทั้งหลายที่เชื่อในพระเจ้าแล้วจะได้ อุตส่าห์กระทำการดี การเหล่านี้ดีและเป็นประโยชน์แก่คนทั้งปวง (ทิตัส 3:8)
พระเยซูคริสต์สอนว่า ชีวิตของผู้ที่อ้างว่าติดตามพระองค์ควรมีลักษณะนิสัยและความประพฤติตาม ทัศนคตินี้ ปัญหาคือพระเยซูไม่ได้สอนเหมือนคนรอบข้าง ทำให้คนฟังตกใจ พูดเรื่องความอ่อนน้อมถ่อมตน ความยากจน และการถูกข่มเหงทำให้เกิดคำถามขึ้นมาในใจผู้ฟัง :
- นี่เป็นเรื่องใหม่หรือ?
- สอนมาจากนิยายหรือ?
- คุณเข้าใจเองหรือ?
- จะมาทำลายศรัทธาในผู้คนหรือ?
- พยายามกำจัดสิ่งที่คนเชื่อถือ ที่ถูกสั่งสอนมาเป็นศตวรรษๆหรือ?
- กล้าต่อต้านโมเสสและพวกผู้เผยพระวจนะหรือ?
คำตอบของพระเยซูชัดเจนในข้อ 17 : “อย่าคิดว่าเรามาเลิกล้างธรรมบัญญัติและคำของผู้เผยพระวจนะ เรามิได้มาเลิกล้าง แต่มาทำให้สมบูรณ์ทุกประการ”
เมื่อพระเยซูตรัสว่า “อย่าคิดว่า…” คาดว่าคงมีคนกำลังคิด พระองค์นำเรื่องใหม่เข้ามา เป็นคำสอนที่แรง ขัดแย้งกันสิ้นเชิง ได้ยินกับหูว่าพระเยซูจะมาพลิกประเพณีดั้งเดิม ผู้คนเชื่อว่าธรรมบัญญัติโมเสสเป็นสมบัติล้ำค่าของชาวยิว มาบอกล้มเลิกก็เท่ากับหมิ่นประมาท
พวกนี้คงไม่พอใจอะไรมากไปกว่าให้พระเยซูสอนอะไรใหม่ๆ หลักศาสนาที่ฟังแล้วตาโต เพื่อพวกเขาจะให้คำสอนนี้เป็นคำสอน “ใหม่” แล้วก็จบๆไป แต่พระเยซูไม่ให้เลือกได้ พระองค์จึงสอนว่าพระองค์เองดำเนินตามธรรมบัญญัติและผู้เผยพระวจนะ แล้วทรงดำเนินตามธรรมบัญญัติกับพวกเขาอย่างไร? – ทรงทำให้สมบูรณ์
ถ้าจะเจาะลึกมากกว่านี้ ก็จะเกิดคำถามทันที “โอเค ฟังดูชัดเจน แต่ “สมบูรณ์” แปลว่าอะไร?” การตีความคำว่า “สมบูรณ์” ในมัทธิว 5:17 แบ่งได้สามแบบ3
1) บางคนเข้าใจว่าพระเยซูมาทำตามธรรมบัญญัติ และนี่เป็นการประกาศว่าการกระทำของพระองค์นั้นชอบธรรมตามที่บัญญัติไว้อย่างสมบูรณ์ แต่ปัญหาคือพวกเขาได้ยินคำพูด แต่ไม่เห็นการกระทำ แต่ตอนท้ายของคำเทศนาบนภูเขา ประชาชนทั้งปวงก็อัศจรรย์ใจด้วยคำสั่งสอนของพระองค์ เพราะว่าพระองค์ได้ทรงสั่งสอนเขาด้วยสิทธิอำนาจ หาเหมือนพวกธรรมาจารย์ของเขาไม่ (มัทธิว 7:28ข-29)
2) คนอื่นๆเข้าใจว่าที่พระเยซูมาทำตามธรรมบัญญัติ คือมาทำให้ครบถ้วน พวก เขาเข้าใจคำว่า “สมบูรณ์” หมายถึงทำให้ครบถ้วนในแง่เปิดเผยความมุ่งหมายที่แท้จริงของธรรมบัญญัติ ตัวเลือกนี้ก็ใช่ แต่ “ทำให้สมบูรณ์” ในมัทธิวยังมีมากกว่าอธิบายธรรมบัญญัติ4
3) คนอื่นๆบอกว่าพระเยซูมาเพื่อสนับสนุนธรรมบัญญัติ คือบอกให้คนเชื่อฟัง
4) ข้อสี่ และน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดี ชัดเจนเมื่อเรามองว่ามัทธิวใช้แนวคิด “ทำให้สมบูรณ์” อย่างไรถึงจุดนี้
ในตอนเริ่มพระกิตติคุณ มัทธิวใช้ความพยายามมากชี้ให้เห็นว่าพระเยซูคือพระคริสต์ที่จะมาทำให้คำ พยากรณ์ในพระคัมภีร์เดิมสำเร็จ พระองค์ไม่ได้เสด็จลงมาจากสวรรค์โดยไม่บอกให้รู้ล่วงหน้า ผู้คนไม่เฉลียวใจเลยหรือว่าพระองค์เสด็จมา? … ไม่เลย สำหรับมัทธิว การถือกำเนิดมาและช่วงต้นชีวิตของพระคริสต์พยากรณ์เอาไว้ล่วงหน้ามาหลาย ศตวรรษ และเมื่อพระองค์เสด็จมา ทรงทำให้คำพยากรณ์นั้นเกิดขึ้นสมบูรณ์
มาดูสี่บทแรกของพระกิตติคุณมัทธิวกัน:
- 1:22-23. “ทั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะของพระเป็นเจ้า ซึ่งตรัสไว้โดยผู้เผยพระวจนะว่า ดูเถิด หญิงพรหมจารีคนหนึ่งจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง และเขาจะเรียกนามของท่านว่า อิมมานูเอล (แปลว่าพระเจ้าทรงอยู่กับเรา) – จากอิสยาห์ 7:14
- 2:4-6 แล้วท่านให้ประชุมบรรดามหาปุโรหิตกับพวกธรรมาจารย์ของประชาชน ตรัสถามเขาว่า “ผู้เป็นพระคริสต์นั้นจะบังเกิดแห่งใด” เขาทูลว่า “ที่บ้านเบธเลเฮมแคว้นยูเดีย เพราะว่าผู้เผยพระวจนะได้เขียนไว้ ดังนี้ว่า บ้านเบธเลเฮมในแผ่นดินยูเดีย จะเป็นบ้านเล็กน้อยที่สุดในสายตาของบรรดาผู้ครองแผ่นดินยูเดียก็หามิได้ เพราะว่าเจ้านายคนหนึ่งจะออกมาจากท่าน ผู้ซึ่งจะครอบครองอิสราเอลชนชาติของเรา” – จากมีคาห์ 5:2
- 2:14-15. “ในเวลากลางคืนโยเซฟจึงลุกขึ้น พากุมารกับมารดาไปยังประเทศอียิปต์ และได้อยู่ที่นั่นจนเฮโรดสิ้นพระชนม์ ทั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะของพระเป็นเจ้า ซึ่งได้ตรัสไว้โดยผู้เผยพระวจนะว่า เราได้เรียกบุตรของเราให้ออกมาจากอียิปต์” – จากโฮเชยา 11:1
- 2:17-18 “ครั้งนั้นก็สำเร็จตามพระวจนะที่ตรัสโดยเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะว่า ได้ยินเสียงในหมู่บ้านรามาห์ เป็นเสียงโอดครวญและร่ำไห้ คือนางราเชลร้องไห้คร่ำครวญ เพราะบุตรทั้งหลายของตน นางไม่รับฟังคำปลอบเล้าโลม เพราะบุตรทั้งหลายนั้นไม่มีแล้ว – จากเยเรมีย์ 31:15
- 3:3. ยอห์นผู้นี้แหละ ซึ่งตรัสถึงโดยอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะว่า “เสียงผู้ร้องในถิ่นทุรกันดารว่า จงเตรียมมรรคาแห่งพระเป็นเจ้า จงกระทำหนทางของพระองค์ให้ตรงไป” – จากอิสยาห์ 40:3
- 4:12-16. “ครั้นพระเยซูทรงทราบข่าวว่ายอห์นถูกจำไว้แล้ว พระองค์ก็เสด็จไปยังแคว้นกาลิลี แล้วย้ายที่ประทับจากเมืองนาซาเร็ธไปที่เมืองคาเปอรนาอุม ซึ่งอยู่ริมทะเลสาบที่เขตเผ่าเศบูลุนและนัฟทาลี เพื่อจะสำเร็จตามพระวจนะ ซึ่งตรัสไว้โดยอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะว่า แคว้นเศบูลุนและแคว้นนัฟทาลี ทางข้างทะเลฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น คือกาลิลี แห่งบรรดาประชาชาติ ประชาชนผู้นั่งอยู่ในความมืด ได้เห็นความสว่างยิ่งใหญ่ และผู้ที่นั่งอยู่ในแดนและเงาแห่งความตาย ก็มีความสว่างขึ้นส่องถึงเขาแล้ว” – จากอิสยาห์ 9:1-2
สังเกตุดูจะเห็นมัทธิวปูพื้นการเสด็จมาเพื่อทำให้สมบูรณ์ตลอดสี่บทแรก ดังนั้นเมื่อพระเยซูตรัสว่าจะมาทำให้สมบูรณ์ มัทธิวต้องการให้เราเข้าใจว่ามีการนำร่องมาก่อน ธรรมบัญญัติและผู้เผยพระวจนะชี้มาที่พระเยซูตามที่พยากรณ์ แล้วผู้คนคิดว่าพระองค์มาเลิกล้างธรรมบัญญัติและคำของผู้เผยพระวจนะได้อย่าง ไร? เพราะทั้งหมดชี้มาที่พระคริสต์ และพระองค์ทราบว่าพระราชกิจของพระองค์คือมาทำในสิ่งที่เปิดเผยไว้ล่วงหน้า ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ จำลูกา 24:44 ได้หรือไม่?
พระองค์ตรัสกับเขาว่า “นี่เป็นถ้อยคำของเรา ซึ่งเราได้บอกไว้แก่ท่านทั้งหลาย เมื่อเรายังอยู่กับท่านว่า บรรดาคำที่เขียนไว้ในหมวดธรรมบัญญัติของโมเสส และในหมวดผู้เผยพระวจนะและในหมวดสดุดีกล่าวถึงเรานั้น จำเป็นจะต้องสำเร็จ” (ลูกา 24:44)
คุณคิดว่าคำสนทนานี้นานแค่ไหน? สามนาที? ผมคิดว่าไม่น่านาน ลองคิดดู ได้ยินพระเยซู ผู้เป็นพระเมสซิยาห์ เปิดพระคัมภีร์เดิมแล้วตรัสว่า “ดูสิ เราคือคนๆนั้น!”
บ่อยครั้งในพระวจนะ ถ้อยคำต่างๆมีได้มากกว่าหนึ่งความหมาย รวมถึงมีนัยสำคัญเพิ่มเข้ามา พระวจนะตอนนี้ก็ด้วย ไม่ต้องสงสัย ธรรมบัญญัติและผู้เผยพระวจนะชี้มาที่พระเยซู แต่ยังมีอีก สิ่งที่ย้ำชัดในคำเทศนาบนภูเขาคือสิทธิอำนาจในการสั่งสอน และในชีวิตของผู้ติดตามพระองค์ พระองค์อธิบายถึงจุดมุ่งหมายของธรรมบัญญัติและผู้เผยพระวจนะ พระวจนะในบทเรียนนี้ทำหน้าที่เป็นคำนำเข้าสู่มัทธิว 5:27-48 เมื่อพระเยซูวางให้เห็นชัดว่าธรรมบัญญัติคาดหวังสิ่งใด ถ้อยคำที่ตรัสว่า: “ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้แก่คนโบราณว่า … ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่า” เน้นชัดถึงสิทธิอำนาจในคำสอนของพระองค์เมื่อเทียบกับคำสอนของยุคนั้นที่ผู้ อื่นพูดไว้ก่อนหน้า พระเยซูประกาศชัดถึงความหมายของพระวจนะ ไม่ได้พูดถึงผู้อื่นเว้นแต่พระองค์เอง มองดีๆจะเห็นว่าพระเยซูไม่ได้สอนสิ่งใหม่ แต่สอนตามที่ธรรมบัญญัติโมเสสและผู้เผยพระวจนะสอนไว้ พวกเขาสอนอะไร? สอนว่าชีวิตที่ดำเนินอย่างชอบธรรมต่อหน้าพระเจ้า ต้องเป็นชีวิตที่เชื่อฟังอย่างหมดหัวใจ
ผมเห็นด้วยกับเพื่อนที่เป็นครู เขาบอกว่าความชอบธรรมที่พระเยซูเป็นและที่ตรัสไว้ตั้งแต่แรก คือความชอบธรรมในแบบ “ที่สาวกของพระองค์ต้องดำเนินชีวิตตามนั้น” พระองค์ไม่ได้ตรัสถึงความชอบธรรมที่จะมอบให้บนไม้กางเขนเหมือนตอนอื่นๆ แต่ในคำเทศนาบนภูเขา พระองค์มุ่งไปยังคนที่บอกว่าเป็นสาวก และประเด็นของพระองค์ตามที่ยากอบพูดออกจะเรียบง่าย : ถ้าเจ้าจะติดตามเรา การดำเนินชีวิตของเจ้าเป็นเรื่องสำคัญ!
การให้ความสำคัญของชีวิตที่ดำเนินตามคำเทศนาบนภูเขา ที่เราเรียก 12 ข้อแรกว่า “ผู้นั้นเป็นสุข” เพราะเราคาดหวังให้คริสเตียนทำตาม ดูมัทธิว 5:13-16 ที่จะเรียนในบทต่อไป อย่างที่พูดไป ทุกอย่างสรุปลงในที่ข้อ 16: “ท่าน ทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์” จากข้อ 20 ไปพูดเรื่องห้ามฆ่าคน ห้ามล่วงประเวณี ห้ามหย่าร้าง ห้ามสาบาน ห้ามแก้แค้น และให้รักศัตรู พระเยซูทรงสอนให้ทำสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่แค่สอน ทรงสั่ง – ให้คนที่ฟังอยู่ – ทำตาม
มัทธิว 6 เปิดด้วยคำพูดว่า “จงระวัง อย่ากระทำศาสนกิจเพื่ออวดคนอื่น ถ้าทำอย่างนั้นท่านจะไม่ได้รับบำเหน็จจากพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์” มัทธิว 7 จบลงที่ : “มิ ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า’ จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้” มีหลายคนจะมาหาพระองค์ และเล่าว่าได้ “ทำ” หลายสิ่งในพระนามของพระองค์ พระเยซูตอบว่าอย่างไร? – ‘เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย เจ้าผู้กระทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา” (มัทธิว 7:23) แล้วตรัสว่า “ผู้ใดที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเรา และประพฤติตาม เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่มีสติปัญญา… แต่ผู้ที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและไม่ประพฤติตาม เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่โง่เขลา” คำเทศนาบนภูเขาทั้งหมดส่วนใหญ่ไปตามแนวคิดว่าผู้ติดตามพระเยซูควรดำเนิน ชีวิตอย่างไร เพื่อนผมบอกว่าต้องขจัดอุปสรรคแห่งการเชื่อฟังออกไป ผมขอเพิ่มว่า “อย่าคิดว่าคุณชอบธรรมพอแล้ว แน่นอน ในพระคริสต์คุณเป็นคนชอบธรรม – แต่พระเยซูทรงเรียกให้คุณดำเนินชีวิตตามความชอบธรรมนั้นด้วย – อ.เปาโลสะท้อนในสิ่งเดียวกันเมื่อท่านตอบคำถามนี้ “ถ้าเช่นนั้นแล้วเราจะว่าอย่างไร ควรเราจะอยู่ในบาปต่อไป เพื่อให้พระคุณมีมากยิ่งขึ้นหรือ? (โรม 6:1) ไม่แน่นอน
ดังนั้น ขอให้ชัดเจนในคำสอนของพระเยซูเรื่องพระราชกิจแห่งความรอด ผมคิดว่าพระวจนะเป็นพยานอย่างดีถึงชีวิตของผู้ติดตามพระเยซู คือต้องสะท้อนให้เห็นถึงความชอบธรรมของพระผู้ช่วยให้รอด
อักษร หรือขีดเล็กขีดน้อย
หลังจากประกาศว่าพระองค์มาทำให้สมบูรณ์ หรือมาทำให้ธรรมบัญญัติสมบูรณ์ พระเยซูทรงยืนยันถึงคุณค่าของธรรมบัญญัติ ดูในข้อ18 : “เรา บอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ตราบใดที่ฟ้าและดินดำรงอยู่ แม้อักษรหนึ่งหรือขีดๆหนึ่งก็จะไม่สูญไปจากธรรมบัญญัติ จนกว่าสิ่งที่จะต้องเกิด ได้เกิดขึ้นแล้ว” ถ้อยคำนี้ย้ำถึง ความจริงว่าพระเยซูทรงมาทำให้ธรรมบัญญัติครบถ้วนสมบูรณ์ เราไม่ค่อยคิดกันว่าธรรมบัญญัติเป็นคำพยากรณ์ถึงพระคริสต์ได้ แต่ผู้เขียนหนังสือฮีบรูพูดไว้ นอกจากนั้นยังมีคำทำนายในธรรมบัญญัติที่มองไปข้างหน้าถึงการเสด็จมาของพระเม สซิยาห์ และพระราชกิจของพระองค์ มากกว่านั้น ในธรรมบัญญัติมีคำพยากรณ์ถึงการลงโทษและการคืนสู่สภาพดีของอิสราเอล สิ่งเหล่านี้จำต้องเกิดขึ้น
เราคิดเสมอว่าผู้เผยพระวจนะเท่านั้นที่พยากรณ์ได้ เรามองไปที่ธรรมบัญญัติโมเสสและเห็นกฎเกณฑ์ที่มีแต่นักกฎหมายเท่านั้นที่ ชื่นชอบ เรามองว่าเป็น “ของแข็งที่กินไม่อร่อย” แต่อยากให้ดูสิ่งที่พระเจ้าเปิดเผยแก่โมเสส แล้วจะเห็นว่าเล็งถึงพระเยซู
มันง่ายที่เราจะเห็นว่าผู้เผยพระวจนะชี้ไปที่พระเยซู แต่มันออกจะยากที่เห็นว่าธรรมบัญญัติก็ชี้ด้วย มีสามวิธีที่ธรรมบัญญัติชี้ไปที่พระคริสต์ :
- มีคำพยากรณ์อยู่ในหนังสือห้าเล่มแรกของพระคัมภีร์เดิมเรื่องการเสด็จมา ของท่านผู้หนึ่ง (ปฐมกาล 3:15, ปฐมกาล 49:10, กันดารวิถี 24:17, เฉลยธรรมบัญญัติ 18:18) พระวจนะเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นถ้อยคำของสิ่งที่ผู้เผยพระวจนะตระหนักดี
- อีกวิธีที่ธรรมบัญญัติชี้ไปที่พระเยซูคือสัญลักษณ์ของพิธีกรรมในระบอบ ศาสนาอิสราเอล เห็นได้ชัดในการถวายบูชา ผมไม่คิดว่าจะมีใครสงสัยเมื่อยอห์นพูดไว้ใน 1:29 …“จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับความผิดบาปของโลกไปเสีย” พูดถึงแกะที่บริสุทธิ์ ไร้ตำหนิที่อิสราเอลนำมาถวายบูชา ครั้งแล้วครั้งเล่า
- แต่ยังมีแบบที่สามที่คนมักจะมองข้าม คำสอนและหน้าที่ของธรรมบัญญัติยังชี้ไปที่พันธกิจในการสั่งสอนของพระคริสต์ ตอนจบของคำเทศนาบนภูเขา ผู้คนต่างก็อัศจรรย์ใจในคำสอนของพระองค์ ตลอดคำเทศนาบนภูเขา พระเยซูไม่ได้พูดถึงสิทธิอำนาจของธรรมบัญญัติ พระองค์พูดถึงสิทธิอำนาจของพระองค์ในฐานะผู้กล่าวพระคำของพระเจ้า ด้วยความเคารพ หลายๆทาง เหตุการณ์ในคำเทศนาบนภูเขานำร่องมาด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนภูเขาซีนาย ที่นั่นโมเสสขึ้นไปบนภูเขา ลงมา และสั่งสอนคนอิสราเอล และที่นี่พระเยซูเสด็จขึ้นไปบนภูเขา และสอนคนอิสราเอลที่มานั่งฟังกันอยู่ที่พระบาท
ถ้ายากจะเข้าใจว่าเหตุการณ์นั้นดูไม่เหมือนเป็นคำพยากรณ์ สามารถเข้าใจได้ว่าเป็น “เหตุการณ์ที่ “เล็งถึง” เหตุการณ์ในชีวิตของพระเยซู ลองดูในมัทธิว 2:15 เป็นข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์ของโฮเชยา ซึ่งสามารถตีความโดยมัทธิวว่าเป็นถ้อยคำที่เป็นคำพยากรณ์
ไม่ใช่คำพยากรณ์เท่านั้นที่มองไปข้างหน้า แต่เหตุการณ์ต่างๆด้วย บางทีเหตุการณ์ที่เป็นคำพยากรณ์ยิ่งใหญ่ที่สุดอยู่ใหนังสืออพยพ การช่วยกู้ครั้งยิ่งใหญ่พยากรณ์ไปถึงความรอดที่เราได้รับ และจะได้รับอย่างสมบูรณ์ในสวรรค์ ในวันที่ผู้เชื่อมารวมกันต่อหน้าพระบัลลังก์ พวกเขาจะร้องเพลงเก่าเพลงหนึ่ง “บทเพลงของโมเสส”!5
พระเยซูจึงประทับอยู่ที่นี่ต่อหน้าพวกสาวกและประกาศถึงคุณค่าที่มีมายาว นานของธรรมบัญญัติ พระองค์ตรัสว่ามันจะจบลงอย่างครบถ้วน อย่ามัวแต่เขวไปกับจุด ขีดเล็กขีดน้อย หรือตัวอักษร พระเยซูทรงหมายถึงตัวอักษรที่เล็กที่สุดของภาษาฮีบรู และส่วนย่อยเล็กๆของตัวอักษร นี่เป็นแค่องค์ประกอบ เป็นการขยายความเพิ่ม เพื่อเน้นไปที่ประเด็นของพระองค์ อะไรคือประเด็นของพระองค์? “การเปิดเผยของพระเจ้าต่อโมเสสที่บนภูเขาซีนายชี้มาที่พระองค์ และทั้งหมดนั้นจะเสร็จสิ้นสมบูรณ์” เหมือนโฆษณากาแฟ “รสชาตเยี่ยมจนหยดสุดท้าย”
พระองค์จึงตรัสไว้ในข้อ 19-20:
“เหตุฉะนั้น ผู้ใดได้ทำให้ข้อเล็กน้อยสักข้อหนึ่งในธรรมบัญญัตินี้เบาขึ้น ทั้งสอนคนอื่นให้ทำอย่างนั้นด้วย ผู้นั้นจะได้ชื่อว่าเป็นผู้น้อยที่สุดในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ใดที่ประพฤติและสอนตามธรรมบัญญัติ ผู้นั้นจะได้ชื่อว่าเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์ เพราะเราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าความชอบธรรมของท่าน ไม่ยิ่งกว่าความชอบธรรมของพวกธรรมาจารย์ และพวกฟาริสี ท่านจะไม่มีวันได้เข้าสู่แผ่นดินสวรรค์” (มัทธิว 5:19-20)
พระเยซูกำลังทำสิ่งใด? พระองค์ทรงนำเราย้อนไปที่การเชื่อฟังธรรมบัญญัติว่าช่วยเราให้รอดได้หรือ? ไม่เลย พระองค์กำลังเล็งไปที่การเชื่อมโยงระหว่างความซื่อสัตย์ เชื่อฟังหมดใจ และคนที่คิดว่ามีที่อยู่ในสวรรค์เพราะสร้างบ้านเอาเอง คิดเองว่าตนนั้นชอบธรรม
ถ้าพวกสาวกเชื่อว่าเขาหาที่บนสวรรค์ได้เองโดยทำตามกฎความชอบธรรมของตนเอง แทนที่จะเชื่อฟังพระเยซูอย่างหมดใจ พวกเขาก็คิดผิด ทัศนคติเช่นนี้ไม่มีส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า แต่ความชอบธรรมในแผ่นดินของพระเจ้าต้องเป็นไปตามธรรมบัญญัติกำหนด ต้องเป็นไปตามการเชื่อฟังอย่างหมดใจที่เป็นคุณลักษณะที่เกิดจากความรักของพระเจ้า
ต่อไปให้ตั้งใจฟังให้ดี ขอย้ำอีกครั้ง อย่าใส่เข้าไปในปาก หรือเพิ่มเติมเข้าไปในสิ่งที่ไม่ได้พูด – พระ เยซูไม่ได้ตรัสว่าคุณต้องหาทางปฏิบัติเพื่อได้ความชอบธรรมพอเข้าสู่แผ่นดิน ของพระเจ้า เพิ่มความชอบธรรมเข้าไปมากกว่าที่พวกธรรมาจารย์และฟาริสีเพิ่ม แต่พระองค์ทรงมุ่งเน้นไปยังบรรดาคนที่คิดว่าความชอบธรรมของพวกเขาที่ผลิตเอง ที่บ้าน สามารถพาพวกเขาเข้าประตูสวรรค์ได้ เพราะพวกเขาได้ลงมือตามปฏิบัติแล้ว ประเด็นของพระเยซูคือ ในทางตรงข้าม ความชอบธรรมที่เกิดจากหัวใจที่เต็มใจเชื่อฟัง เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่าสิ่งอื่นใด
ประเด็นของพระเยซูไม่ได้พูดถึงความชอบธรรมในแบบที่เราคุ้นเคยจากหนังสือ โรมหรือกาลาเทีย แต่พระเยซูทรงพูดถึงบริบทของพันธสัญญาระหว่างพระเจ้าและอิสราเอล – เป็นพันธสัญญาที่เรียกร้องให้เชื่อฟังอย่างเต็มที่และเต็มใจเหมือนกับที่ พระองค์เป็น:
ดูเฉลยธรรมบัญญัติ 6:4-5 ซึ่งเป็นหนึ่ง ถ้าไม่ใช่ศูนย์กลางแห่งพระวจนะของศาสนาอิสราเอล “โอ คนอิสราเอล จงฟังเถิดพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราทั้งหลาย เป็นพระเจ้าเดียว พวกท่านจงรักพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านด้วยสุดจิตสุดใจและสิ้นสุดกำลังของ ท่าน”
เหตุฉะนี้พึงทราบเถิดว่า พระเยโฮวาห์พระเจ้าของพวกท่านเป็นพระเจ้า เป็นพระเจ้าสัตย์ซื่อผู้ทรงรักษาพันธสัญญาและความรักมั่นคง ต่อบรรดาผู้ที่รักพระองค์และรักษาพระบัญญัติของพระองค์ ถึงพันชั่วอายุคน (เฉลยธรรมบัญญัติ 7:9)
“ดูก่อน คนอิสราเอล พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงประสงค์ ให้ท่านกระทำอย่างไร คือให้ยำเกรงพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ให้ดำเนินตามทางทั้งปวงของพระองค์ ให้รักพระองค์ ให้ปรนนิบัติพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านด้วยสุดจิต สุดใจของท่านทั้งหลาย” (เฉลยธรรมบัญญัติ 10:12)
ข้าพเจ้าขออัญเชิญสวรรค์และ โลกให้เป็นพยานต่อท่านในวันนี้ว่า ข้าพเจ้าตั้งชีวิตและความตาย พระพรและคำสาปแช่งไว้ต่อหน้าท่าน เพราะฉะนั้นท่านจงเลือกเอาข้างชีวิต เพื่อท่านและลูกหลานของท่านจะได้มีชีวิตอยู่ ด้วยมีความรักต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์ และติดพันอยู่กับพระองค์ กระทำเช่นนั้นจะได้ชีวิตและความยืนนาน เพื่อท่านจะได้อยู่ในแผ่นดินซึ่งพระเจ้าปฏิญาณ แก่บรรพบุรุษของท่าน คือแก่อับราฮัม แก่อิสอัค และแก่ยาโคบ ว่า จะประทานแก่ท่านเหล่านั้น” (เฉลยธรรมบัญญัติ 30:19-20)
แต่อิสราเอลไม่ได้รักพระเจ้าจากใจ พวกเขาหันไปทันทีจากมาตรฐานความชอบธรรมของพระองค์ไปเป็นแบบของตนเอง ถึงจะดูเหมือนเป็นความชอบธรรมของพระเจ้า แต่มีการผ่าตัดใหญ่ในนั้น ผ่าเอาหัวใจออกไป! และ เมื่อทั้งชาติสร้างความชอบธรรมให้ตนเอง เปลี่ยนมาตรฐานของพระเจ้าจากเชื่อฟังอย่างสุดใจ ไปเป็นสิ่งที่คนอิสราเอลทำได้ตามเช็คลิสท์ พวกเขายิ่งออกห่างไกลไปจากพระเจ้ามากขึ้นและมากขึ้น เมื่อพระเจ้าส่งผู้เผยพระวจนะไปหา และย้ำในคำพูดเดิม “ฉีกใจของเจ้า ไม่ใช่ฉีกเสื้อผ้า!”
ฟังสิ่งที่ผู้พระวจนะพูด “ศาสนา” ไม่ใช่เป็นเรื่องเดียวกับการดำเนินชีวิตที่ชอบธรรมจำเพาะพระพักตร์พระเจ้า คุณไม่อาจสร้างมาตรฐานของตนเองและนำเสนอต่อพระเจ้าว่านี่คือชีวิตแห่งความ ชอบธรรมของคุณ
ดูก่อนท่านผู้ปกครองเมืองโสโดม จงฟังพระวจนะของพระเจ้า ดูก่อนท่านประชาชนเมืองโกโมราห์ จงเงี่ยหูฟังพระธรรมของพระเจ้าของเรา พระเจ้าตรัสว่า “เครื่องบูชาอันมากมายของเจ้านั้น จะเป็นประโยชน์อะไรแก่เรา เราเอือมแกะตัวผู้อันเป็นเครื่องเผาบูชา และไขมันของสัตว์ที่ขุนไว้นั้นแล้ว เรามิได้ปีติยินดีในเลือดของวัวผู้ หรือลูกแกะหรือแพะผู้ “เมื่อเจ้าเข้ามาเฝ้าเรา ผู้ใดขอให้เจ้าทำอย่างนี้ ที่เหยียบย่ำเข้ามาในบริเวณพระนิเวศของเรา อย่านำเครื่องถวายอนิจจังมาอีกเลย เครื่องบูชาอันเป็นสิ่งน่าเกลียดน่าชังต่อเรา วันเทศกาลข้างขึ้นและวันสะบาโตและการเรียกประชุม เราทนต่อความบาปชั่วและการประชุมตามพิธีไม่ได้อีก ใจของเราเกลียดวันเทศกาลข้างขึ้นของเจ้าและวันเทศกาล ตามกำหนดของเจ้า มันกลายเป็นภาระแก่เรา เราแบกเหน็ดเหนื่อยเสียแล้ว เมื่อเจ้ากางมือของเจ้าออก เราจะซ่อนหน้าของเราเสียจากเจ้า แม้ว่าเจ้าจะอธิษฐานมากมาย เราจะไม่ฟัง มือของเจ้าเปรอะไปด้วยโลหิต จงชำระตัว จงทำตัวให้สะอาด จงเอากรรมชั่วของเจ้าออกไปให้พ้น จากสายตาของเรา จงเลิกกระทำชั่ว จงฝึกกระทำดี จงแสวงหาความยุติธรรม จงบรรเทาผู้ถูกบีบบังคับ จงป้องกันให้ลูกกำพร้าพ่อ จงสู้ความเพื่อหญิงม่าย (อิสยาห์ 1:10-17)
และองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เพราะชนชาตินี้เข้ามาใกล้ด้วยปากของเขา และให้เกียรติเราด้วยริมฝีปากของเขา แต่เขาให้จิตใจของเขาห่างไกลจากเรา เขายำเกรงเราเพียงแต่เหมือนเป็นบัญญัติของมนุษย์ที่ท่องจำกันมา เพราะฉะนั้น ดูเถิด เราจะกระทำ สิ่งมหัศจรรย์กับชนชาตินี้อีก ประหลาดและอัศจรรย์ สติปัญญาของคนมีปัญญาของเขาจะพินาศไป และความเข้าใจของคนที่เข้าใจจะถูกปิดบังไว้” (อิสยาห์ 29:13-14)
“ข้าพเจ้าจะนำอะไรเข้ามาเฝ้าพระเจ้า และกราบไหว้พระเจ้าเบื้องสูง ควรข้าพเจ้าเข้าเฝ้าพระองค์ด้วยเครื่องเผาบูชาหรือ ด้วยลูกวัวอายุหนึ่งขวบหลายตัวหรือ พระเจ้าจะทรงพอพระทัยการถวายแกะเป็นพันๆตัว และธารน้ำมันหลายหมื่นสายหรือ ควรที่ข้าพเจ้าจะถวายบุตรหัวปีชำระการ ทรยศของข้าพเจ้าหรือ คือถวายลูกของข้าพเจ้าชำระบาปแห่งวิญญาณของข้าพเจ้า” มนุษย์เอ๋ย พระองค์ทรงสำแดงแก่เจ้าแล้วว่าอะไรดี และพระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรจากเจ้า นอกจากให้กระทำความยุติธรรมและรักสัจกรุณา และดำเนินชีวิตด้วยความถ่อมใจไปกับพระเจ้าของเจ้า (มีคาห์ 6:6-8)
“เราเกลียดชัง เราดูหมิ่นบรรดาวันเทศกาลของเจ้า และไม่ชอบในการประชุมตามเทศกาลของเจ้าเลย แม้ว่าเจ้าถวายเครื่องเผาบูชาและธัญญบูชาแก่เรา เราก็ไม่ยอมรับสิ่งเหล่านี้ และศานติบูชาด้วยสัตว์อ้วนพีของเจ้านั้น เราจะไม่มองดู จงนำเสียงเพลงของเจ้าไปเสียจากเรา เราจะไม่ฟังเสียงพิณใหญ่ของเจ้า แต่จงให้ความยุติธรรมหลั่งไหลลง อย่างน้ำ และให้ความชอบธรรมเป็นอย่างลำธารที่ไหลอยู่เป็นนิตย์ “โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย เจ้าได้นำเครื่องบูชาถวายแก่เราในถิ่นทุรกันดารสี่สิบปีหรือ เจ้าทั้งหลายจะหามสัคคูทกษัตริย์ของเจ้า และไควันดาวที่เป็นเจ้าของเจ้า รูปเคารพทั้งสองของเจ้าซึ่งเจ้าได้ทำไว้สำหรับตัวเจ้าเอง เพราะฉะนั้น เราจะนำเจ้าให้ไปเป็นเชลย ณ ที่เลยเมืองดามัสกัสไป” พระเยโฮวาห์ ซึ่งทรงพระนามว่าพระเจ้าจอมโยธา ตรัสดังนี้แหละ (อาโมส 5:21-27)
“โอ อยากให้มีสักคนหนึ่งในพวกเจ้าซึ่งจะปิดประตูเสีย เพื่อว่าเจ้าจะไม่ก่อไฟบนแท่นบูชาของเราเสียเปล่า พระเจ้าจอมโยธาตรัสว่า เราไม่พอใจเจ้าและเราจะไม่รับเครื่องบูชาจากมือของเจ้า” (มาลาคี 1:10)
เสียงร้องจากใจของพระวจนะข้อนี้ แสดงให้เราเห็นว่าพระเจ้าทรงมีพระทัยให้อิสราเอลเชื่อฟังพระองค์ด้วยความรัก ที่มีให้พระองค์ ตรงนี้อย่าเข้าใจผิดนะครับ พระเจ้าทรงมีพระทัยให้อิสราเอลเชื่อฟังพระองค์ด้วยความรักที่พวกเขามีให้ พระองค์ พระองค์ไม่ได้แค่หวังให้เขาทำตามตัวอักษรในธรรมบัญญัติ อย่างที่คำพยานของผู้เผยพระวจนะบ่งไว้ เมื่อพวกเขาเชื่อว่าพวกเขาเป็นผู้ชอบธรรมจริงเพราะทำตามตัวอักษรของธรรม บัญญัติ มาลาคีจึงพูดกับพวกเขาว่า “พวกเขาดูหมิ่นโต๊ะของพระเจ้า” พวกเขาตอบว่า “อย่างไรล่ะ? เราก็นำของมาถวายบนโต๊ะแล้ว” มาลาคีตอบว่า “และในใจเจ้าก็บอกว่าอ่อนระอาใจ” พวกเขารักษาตามที่ธรรมบัญญัติสั่ง แต่จิตใจเอาไปขายที่ในตลาดมืดแล้ว
น่าเศร้า หลายสิบปีในถิ่นทุนกันดารไม่ได้ช่วยรักษาโรคบาปของชนชาตินี้ ที่จริง แม้จะกำจัดรูปเคารพออกไปได้ แต่กลับผลักพวกเขาจมลึกลงไปในพิธีกรรมเพื่อรักษาธรรมบัญญัติ พวกเขามองข้ามความจริงจากพระวจนะในมาลาคีหมดสิ้น พวกเขาตระหนักดีว่าพระเจ้าจะลงโทษถ้าไม่ทำตามพระบัญญัติ ถึงขั้นยกระดับขึ้นเท่าเทียมกับพระเจ้า และรักษาเอาไว้ตามมาตรฐานที่กำหนดขึ้นมาเอง
ประเด็นไม่ใช่ว่าพวกเขาทำให้ธรรมบัญญัติทำตามได้ง่ายขึ้น เพราะธรรมบัญญัตินั้นทำตามได้อยู่แล้ว สังเกตให้ดี สมบูรณ์แบบด้วยกำลังของตนเองไม่อาจทำได้ แต่พระเจ้าได้จัดเตรียมหนทางให้ “ภายใน” ธรรมบัญญัติ หนทางสำหรับความไม่สมบูรณ์แบบของอิสราเอลด้วยพระคุณที่เข้ามาปกคลุมไว้ – การยอมเป็นเครื่องถวายบูชา โมเสสจึงสามารถพูดในเฉลยธรรมบัญญัติ 30:11-14:
11 “เพราะว่าพระบัญญัติซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้ สำหรับท่านไม่ยากเกินไป และไม่ห่างเหินเกินไปด้วย 12 มิใช่พระบัญญัตินั้นอยู่บนสวรรค์ แล้วท่านจะกล่าวว่า ‘ใครจะแทนเราขึ้นไปบนสวรรค์และนำมาให้เรา และกระทำให้เราได้ฟังและประพฤติตาม’ 13 มิใช่อยู่พ้นทะเล ซึ่งท่านจะกล่าวว่า ‘ใครจะข้ามทะเลไปแทนเราและนำมาให้เรา และกระทำให้เราได้ฟังและประพฤติตาม’ 14 แต่ถ้อยคำนั้นอยู่ใกล้ท่านทั้งหลายมาก อยู่ในปากของท่าน และอยู่ในใจของท่าน ฉะนั้นท่านจึงกระทำตามได้” (เฉลยธรรมบัญญัติ 30:11-14)
พระเจ้าตั้งพระทัยให้อิสราเอลรักษาธรรมบัญญัติ หมายถึงพยายามทำให้ได้ตามมาตรฐานของพระบิดา ยอมถ่อมใจลง และร้องขอพระคุณแห่งการให้อภัยของพระเจ้าเมื่อคุณทำบาปทั้งตั้งใจหรือไม่ ตั้งใจก็ตาม
ปัญหาไม่ใช่ว่าพวกฟาริสีทำให้ธรรมบัญญัติทำตามได้ง่ายขึ้น แต่พวกเขาปรับเปลี่ยนมาตรฐานในการประเมินความชอบธรรมเสียใหม่ ขณะที่ในธรรมบัญญัติมาตรฐานนั้นมาจากพระเจ้าพระบิดา (เลวีนิติ 19:2): “…เจ้าทั้งหลายต้องบริสุทธิ์ เพราะเราพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า เป็นผู้บริสุทธิ์”6 พวกฟาริสีกล่าวว่า “ไม่หรอก เราจะตัดสินใจเองว่าบริสุทธิ์แปลว่าอะไร และเราตัดสินใจว่าแค่ถือตามธรรมบัญญัติก็พอ”
เราเห็นนัยนี้ในพระคัมภีร์ใหม่ ที่พระเยซูตรัสใน ลูกา 18:9: “สำหรับบางคนที่ไว้ใจในตัวเองว่าเป็นคนชอบธรรม และได้ดูหมิ่นคนอื่นนั้น พระองค์ตรัสคำอุปมานี้”
คนพวกนี้หาความชอบธรรมให้ตนเอง คำจำกัดความยิ่งใหญ่สำหรับคนพวกนี้คือมัทธิว 23 พวกเขานำธรรมบัญญัติโมเสสมายกระดับการถือรักษาขึ้นให้ไปตามมาตรฐานความชอบ ธรรม และนอกจากถือรักษาแล้ว ยังสร้างกรอบประเพณีเข้าไปล้อมไว้ด้วย ซึ่งที่จริงคือหลบเลี่ยงไม่ทำตามที่ธรรมบัญญัติกำหนดไว้
ไม่มีที่ไหนเห็นชัดเท่ากับการโต้แย้งกันเรื่องโกระบาน ในมาระโก 7:5-11:
พวกฟาริสีกับพวกธรรมาจารย์จึงทูลถาม พระองค์ว่า “ทำไมพวกสาวกของท่านไม่ประพฤติตามคำสอนที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ แต่รับประทานอาหารด้วยมือเป็นมลทิน” พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “อิสยาห์ได้พยากรณ์ถึงพวกเจ้าคนหน้าซื่อใจคด ก็ถูกตามที่ได้เขียนไว้ว่า ประชาชนนี้ให้เกียรติเราแต่ปาก ใจของเขาห่างไกลจากเรา เขานมัสการเราโดยหาประโยชน์มิได้ ด้วยเอาบทบัญญัติของมนุษย์มาตู่ว่าเป็นพระดำรัสสอนของพระเจ้า เจ้าทั้งหลายละธรรมบัญญัติของพระเจ้า และกลับไปถือตามถ้อยคำของมนุษย์ที่เขาสอนต่อๆกันมานั้น” พระองค์ตรัสแก่เขาว่า “เหมาะจริงนะ ที่เจ้าทั้งหลายได้ละทิ้งธรรมบัญญัติของพระเจ้า เพื่อจะได้ถือตามคำสอนที่ตนรับมาจากบรรพบุรุษ เพราะโมเสสได้สั่งไว้ว่า ‘จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า’ และ ‘ผู้ใดประณามบิดามารดาจะต้องมีโทษถึงตาย’ แต่พวกเจ้ากลับสอนว่า ‘ผู้ใดจะกล่าวแก่บิดามารดาว่า “สิ่งใดของข้าพเจ้าซึ่งอาจเป็นประโยชน์แก่ท่าน สิ่งนั้นเป็นโกระบาน'” (แปลว่าเป็นของถวายแด่พระเจ้าแล้ว) (มาระโก 7:5-11)
อะไรคือความชอบธรรมของพวกธรรมาจารย์และฟาริสี? ความชอบธรรมที่มีไว้ให้ตนเอง เป็นความชอบธรรมในแบบของมนุษย์ เป็นการนำความชอบธรรมของพระเจ้าลงมา ปรับรสชาตด้วยน้ำตาลเทียม มันหวานก็จริง แต่มันทำลายจิตวิญญาณของคุณ
พระเยซูทรงทำอย่างไร? ทรงให้สาวกของพระองค์เรียนรู้ถึงความชอบธรรมในแบบที่ต้องเป็นตามลักษณะ “ความชอบธรรม” ที่แตกต่าง ต้องดีกว่าแบบของพวกธรรมาจารย์และฟาริสี – ต้องดีแบบไหน? ต้องผุดขึ้นมาจากจิตใจ
พระเยซูทรงบอกบาเรียนหนุ่มในมัทธิว 22:37: “พระเยซูทรงตอบเขาว่า “จงรักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของเจ้าด้วยสุดใจสุดจิตของเจ้า และด้วยสิ้นสุดความคิดของเจ้า” ทำไม พระเยซูทรงให้บัญญัตินี้เป็นบัญญัติข้อใหญ่? เพราะถ้าใจถูกต้อง สิ่งที่ออกมาจะเป็นชีวิตที่พอพระทัยพระเจ้า อย่างที่พระเยซูตรัสในมัทธิว 15:18 “แต่สิ่งที่ออกจากปากก็ออกมาจากใจ สิ่งนั้นแหละทำให้มนุษย์เป็นมลทิน”
ยากอบ น้องชายพระเยซู นำแนวคิดนี้ไปใส่ไว้ในหนังสือเล่มเล็กของท่านเมื่อพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างความเชื่อและการงาน
แต่จะเห็นว่านี่เป็นเสียงเรียกร้องจากผู้เผยพระวจนะเช่นกัน :
“พระเจ้าตรัสว่า ดูเถิด วันเวลาจะมาถึง ซึ่งเราจะทำพันธสัญญา ใหม่กับประชาอิสราเอลและประชายูดาห์ ไม่เหมือนกับพันธสัญญาซึ่งเราได้กระทำกับบรรพบุรุษของเขาทั้งหลาย เมื่อเราจูงมือเขาเพื่อนำเขาออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ เป็นพันธสัญญาของเราซึ่งเขาผิด ถึงแม้ว่าเราได้เป็นสามีของเขา พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ แต่นี่จะเป็นพันธสัญญาซึ่งเราจะกระทำกับประชาอิสราเอลภายหลังสมัยนั้น พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ เราจะบรรจุพระธรรมไว้ในเขาทั้งหลาย และเราจะจารึกมันไว้บนดวงใจของเขาทั้งหลาย และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นประชากรของเรา” (เยเรมีย์ 31:31-33)
“เราจะให้ใจใหม่แก่เจ้าและเราจะบรรจุ จิตวิญญาณใหม่ไว้ในเจ้า เราจะนำใจหินออกไปเสียจากเนื้อของเจ้า และให้ใจเนื้อแก่เจ้า และเราจะใส่วิญญาณของเราภายในเจ้า และกระทำให้เจ้าดำเนินตามกฎเกณฑ์ของเรา และให้รักษากฎหมายของเราและกระทำตาม” (เอเสเคียล 36:26-27)
สรรเสริญพระเจ้าที่เราได้รับความรอด พระเยซูทรงทำสิ่งนั้นสำเร็จลงที่บนกางเขน และบัดนี้พระองค์ทรงเรียกผู้เชื่อทั้งหลายให้ติดตามพระองค์ไป และให้การงานดีของเราส่องสว่างไปยังผู้อื่นเพื่อพระองค์จะได้รับพระสิริ
เราต้องถามตัวเองในฐานะผู้เชื่อที่อ้างว่าเป็นผู้ติดตามพระเยซู ชีวิตของเราแสดงถึงความชอบธรรมที่ออกมาจากใจหรือเปล่า หรือเราแค่หาความชอบธรรมให้ตัวเองโดยลดมาตรฐานของพระเจ้าลงแทนที่จะทำตามพระ บัญญัติ?
เมื่อเราขอบคุณพระเจ้าสำหรับอาหาร การขอบพระคุณนั้นมาจากใจที่สำนึกในการจัดเตรียมของพระเจ้า หรือเราแค่ทำในสิ่งที่คริสเตียนควรทำจะได้ไม่รู้สึกผิด?
เมื่อเรารับขนมปังในพิธีมหาสนิท เรากำลังระลึกถึงพระคริสต์จริงหรือ หรือเราแค่ทำในสิ่งที่คนในโบสถ์อื่นๆเขาทำกันในวันอาทิตย์?
เมื่อเราถวายทรัพย์ เราให้ด้วยความจริงใจหรือเปล่าว่าที่จริงแล้วทุกสิ่งที่เรามีเป็นของพระ เจ้า? เมื่อผมถวาย ผมไม่ได้ให้คืนกลับพระองค์จากบางส่วนที่พระองค์ให้มา ไม่เลย เมื่อผมถวาย ผมกำลังอารักขาทรัพย์ในแบบเดียวกับนายธนาคารจัดการกับบัญชีเงินฝาก
เมื่อเราปฏิเสธไม่ให้เงินช่วยคนจรจัด เพราะกลัวว่าเขาจะเอาไปซื้อเหล้า แต่กลับใช้เป็นข้ออ้างที่จะไม่ยอมให้เงินคนจน ผมต้องถามตัวเอง ผมกำลังตกลงไปในกับดักเดียวกับพวกฟาริสีหรือเปล่า?
เมื่อผมมองหาบาปหลายอย่างในชีวิตไม่เจอเพื่อจะได้สารภาพ ผมก็ละเลยความบาปของตนเอง แต่ก็สารภาพไปเผื่อว่ามี นี่เป็นการแสดงความเสียใจออกจากจิตใจหรือไม่?
ผมตบไหล่ตัวเองแล้วบอกว่าไม่เคยมีความคิดฆ่าพี่น้องบางคนในหัว แต่ยังกักเก็บความเกลียดชังที่มีต่อเขา ปฏิเสธไม่ยอมไปพูดด้วยตามที่พระคัมภีร์บอก แต่บอกตัวเองว่าไม่เป็นไร ไม่ได้ไปฆ่าเขาสักหน่อย
ผมให้ความเป็นธรรมอย่างสัตย์ซื่อหรือเปล่าในการเจรจาธุรกิจ เพราะลูกค้าไม่ใช่คริสเตียน? หรือไว้รอไปโบสถ์ก่อนค่อยสารภาพทีหลัง
ผมทำถูกหรือเปล่าที่ไม่ไปข้องเกี่ยวหรือมีส่วนร่วมกับพระกายของพระคริสต์ เพราะต้องให้ครอบครัวมาก่อน? ผมละเลยครอบครัวหรือเปล่าเพื่อให้ “งานของพระเจ้า” มาก่อน?
ความชอบธรรมสำหรับผมหน้าตาเป็นอย่างไรในมหาวิทยาลัย? ผมทำถูกหรือเปล่าที่ทำตัวร้ายๆไปกับพวกเขาแล้วพูดว่า “ที่ทำแบบนี้ เพื่อจะได้รู้จักพวกเขาให้ดียิ่งขึ้น เพื่อจะได้เป็นพยานกับพวกเขาได้?”
พี่น้องครับ เราคงมีคำถามแบบนี้ไม่จบไม่สิ้น แต่ทุกคนจะพบจุดศูนย์กลางในคำถามเดียว – ฉันรักพระเจ้าของฉันสุดจิตสุดใจ สุดกำลัง สุดความคิดหรือเปล่า? เพราะชีวิตแบบนั้นจะนำพระสิริยิ่งใหญ่ไปถึงพระองค์ เป็นความชอบธรรมที่มีแต่ดีขึ้นทางเดียว
ปิดท้ายด้วยคำพูดของนักวิชาการพระคัมภีร์ท่านหนึ่ง :
“ความชอบธรรมที่พระเยซูตรัส ไม่ใช่ความชอบธรรมของชีวิตที่มีเหนือความชอบธรรมแห่งความเชื่อ แต่ความชอบธรรมของชีวิตจะสำแดงถึงความชอบธรรมแห่งความเชื่อ คำเทศนาบนภูเขาเป็นการตั้งต้นการงานแท้จริงของความเชื่อในพระคริสต์ เทียบกับการงานในแบบอื่นๆ”7
1 172 ลิขสิทธิ์ของ- Copyright 2005 by Community Bible Chapel, 418 E. Main Street, Richardson, TX 75081 เป็นต้นฉบับที่ปรับใหม่ของบทเรียนต่อเนื่องของพระกิตติคุณมัทธิวบทที่ 18 จัดเตรียมโดยสตีเวน เอช ซานเชส 22 มิถุนายน 2003 สามารถนำไปใช้ในการศึกษาและการสอนได้เท่านั้น ทางคริสตจักร Community Bible Chapel เชื่อว่าข้อมูลในบทเรียนนี้เป็นจริงและถูกต้องตามพระวจนะในพระคัมภีร์ และไม่ได้หวงห้ามถ้าต้องการนำไปใช้เพื่อการศึกษา หรือสอนพระวจนะ (เป็นหนึ่งในพันธกิจของ Community Bible Chapel โดยพระคุณของพระเจ้า)
2 173 พระวจนะในภาษาอังกฤษนำมาจาก NET Bible, BETA 2, Biblical Studies Press, 1994, unless otherwise noted.
3 174 See D. A. Carson, “Matthew,” The Expositor’s Bible Commentary, Vol. 8 (Grand Rapids, Michigan: The Zondervan Corp., 1984), p 143, ดี เอ คาร์ลสัน มองว่าพระเยซูทรงทำให้ธรรมบัญญัติสมบูรณ์ในมุมที่ชี้มาที่พระองค์เหมือนคำ พยาการณ์
4 175 Leon Morris, The Gospel According to Matthew (Grand Rapids: Eerdmans, 1992) p. 108.
5 176 Isaiah 2:3; Psalms 25:4-5, 12; 27:11; 32:8; 34:11; 45:4; 51:13; 86:11; 90:12; 94:12; 105:22, 119; 132:12; 143:10; Jeremiah 31:34; Micah 4:2.
6 177 Leviticus 20:7, 26; 1 Peter 1:15-16.
7 178 R. C. H. Lenski, The Interpretation of St. Matthew’s Gospel (Minneapolis, Minnesota: Augsburg Publishing House, 1943).
Related Topics: Dispensational / Covenantal Theology
1. ต้นกำเนิดพระเยซูคริสต์ (มัทธิว 1:1-25)
Related Mediaคำนำ1
เราทุกคนคุ้นเคยกับถ้อยคำที่แตะต้องใจจากปลายปากกาของ อ.เปาโลเป็นอย่างดี :
พระคัมภีร์ (ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และ) เป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การปรับปรุงแก้ใข คนให้ดี และการอบรมในทางธรรม เพื่อคนของพระเจ้า จะพรักพร้อมที่จะกระทำการดีทุกอย่าง (2 ทิโมธี 3:16-17)2
แต่พอมาถึงพระกิตติคุณมัทธิว 1:1-17 เราเหมือนถูกทดสอบต่อคำพูดของ อ.เปาโลในทันที พวกเรากี่คนกันที่เห็นว่า ลำดับพงศ์พันธ์ ตามที่บันทึกในพระคัมภีร์ “มีประโยชน์” หรือ “มีสาระสำคัญ” สำหรับเรา? พูดตามตรงนะครับ พออ่านมาถึงเรื่องลำดับพงศ์พันธ์ มีความรู้สึกอยากข้ามไปทุกที แต่เมื่ออดทนอ่าน (เวลาอ่านทั้งเล่ม) ผมมักสงสัยว่าผมได้อะไรจากเรื่องลำดับพงศ์พันธ์นี้
ผมชอบเข้าข้างตัวเอง คิดเอาว่าเรื่องลำดับพงศ์พันธ์นั้น “น่าเบื่อ” และ “ไม่เกิดประโยชน์” สู้พระวจนะตอนอื่นๆไม่ได้ แต่พออ่านบทแรกของมัทธิว รู้สึกทึ่งครับ ลองคิดดู : พระกิตติคุณมัทธิวเป็นหนังสือเล่มแรกของพระคัมภีร์ใหม่ แต่เริ่มต้นด้วยลำดับพงศ์พันธ์ของพระเยซูคริสต์ แปลว่าหนังสือเล่มนี้มีบทนำ เริ่มด้วยการพูดถึงลำดับวงศ์ตระกูล แถมยังเป็นบทนำของหนังสือเล่มแรกของพระคัมภีร์ใหม่ทั้งหมดด้วย
ตามปกติ เวลาเทศนาผมมักมีปัญหาทุกครั้ง เพราะต้องหาเรื่องเล่า เพื่อนำร่องเข้าสู่คำเทศนา ผมพยายามหาเรื่องที่ดึงความสนใจผู้ฟัง เพื่อโยงเข้าสู่พระวจนะตอนที่จะใช้เทศนาให้ลื่นไหลไปอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เป็น นักเทศน์มา ไม่เคยเลยสักครั้ง ที่จะเกริ่นนำการเทศนา ด้วยเรื่องลำดับพงศ์พันธ์
เนื่องจากผมและมัทธิว มีแนวคิดที่แตกต่างกัน จึงขอบอกว่าผมเองเป็นฝ่ายพลาด ไม่ใช่ผู้ที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้าอย่างท่านมัทธิว ผู้เขียนหนังสือมหัศจรรย์เล่มนี้ ทำให้ต้องกลับมาทบทวนใหม่ ว่าทำไมมัทธิวถึงเห็นว่า การนำเรื่องลำดับพงศ์พันธ์ขึ้นมาเกริ่นนั้นน่าสนใจ ในขณะที่ผมกลับเห็นเป็นตรงข้าม บทเรียนตอนนี้ ผมจะพยายามหาข้อมูลมาสนับสนุนเรื่องบทนำของมัทธิว เราผู้เชื่อทั้งใหม่และเก่าจะได้รับ “ประโยชน์” ใด จากลำดับพงศ์พันธ์นี้
เวลาอ่าน “คำเทศนาบนภูเขา” หรือคำอุปมาเรื่องใดเรื่องหนึ่งในพระกิตติคุณมัทธิว แน่นอน เรารู้สึกว่าน่าสนใจกว่าเรื่องลำดับพงศ์พันธ์ในมัทธิว 1:1-17 แต่บางครั้งเรื่องที่เราว่าไม่น่าสนใจนี้ กลับกลายเป็นเรื่องที่มีประโยชน์มหาศาลในชีวิตจริง เรารู้อยู่ว่าเรื่องวงศ์ตระกูลเป็นเรื่องสำคัญ สมมุติว่าผมอยากหาซื้อหมาดีๆสักตัว เรื่องแรกที่ต้องคิด คือสายพันธ์ของมัน (เพ็ดดิกรี) ผมต้องอยากรู้ว่าในสายพันธ์ของมัน มีใครเป็นแชมเปี้ยนบ้าง หรือสมมุติว่าผมอ่านเจอในหนังสือพิมพ์ ว่ามีเศรษฐีชื่อนายเดฟฟินบาวว์ (ผู้เขียน) ตายโดยไม่มีทายาทรับมรดก แน่นอน ผมต้องอยากรู้ที่มาที่ไปของนายคนนี้ มีลูกหลานหลายคน ใช้เวลาทุ่มเทสืบเสาะ ค้นหาต้นตระกูลของตน มีเหตุผลหลายประการ ที่ทำไมคนเราถึงอยากรู้รากเหง้าของต้นตระกูลตัวเอง
เรื่องลำดับพงศ์พันธ์เป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับคนยิว กษัตริย์อิสราเอลต้องเป็นยิว ไม่ใช่คนต่างชาติจากที่ไหนก็ได้ (ฉธบ. 17:15) ต่อมามีการเปิดเผยว่า ต้องเป็นยิวที่สืบเชื้อสายมาทางดาวิดเท่านั้น (2 ซามูเอล 7:14) เมื่อชาวยิว อพยพกลับจากการเป็นเชลยที่บาบิโลน เรื่องสำคัญที่ต้องรีบทำคือ แสดงตนว่าเป็นชาวยิวแท้ สามารถสืบประวัติย้อนกลับไปต้นตระกูลได้ คนจะรับตำแหน่งปุโรหิตได้ ต้องมีชื่อบันทึกอยู่ในลำดับพงศ์พันธ์ (เอสรา 2:62) นักเขียน ชื่อบรูเนอร์ เล่าให้ฟังว่า รับไบฮีเลล (Rabbi Hillel) มีความภูมิใจมากที่สามารถสืบเสาะ ย้อนกลับไปไกลถึงต้น ตระกูลของท่าน – กษัตริย์ดาวิด – บรูเนอร์ยังเล่าอีกว่าโจเซฟัส เริ่มเขียนชีวประวัติของตนเองด้วยเรื่องวงศ์ตระกูล ต่อมากษัตริย์เฮโรดผู้ยิ่งใหญ่ เป็นลูกครึ่งยิว-เอโดม แน่นอนชื่อและลำดับพงศ์พันธ์ของท่านคงไม่มีการบันทึกไว้เป็นทางการ แต่ก็ยังมีคำสั่งให้ทำลายบันทึกนั้น เพราะถ้าไม่มีชื่อของท่านปรากฏอยู่ ท่านคงรู้สึกเสียหน้า ไม่อยากให้ใครมารู้ปูมหลังได้ 3
ข้อแตกต่างในการบันทึกลำดับพงศ์พันธ์ของพระเยซู
เรารู้ว่าในหนังสือพระกิตติคุณ ลำดับพงศ์พันธ์ของพระเยซูคริสต์มีบันทึกไว้สองแบบ แบบแรกพบได้ใน มัทธิวบทที่ 1 แบบที่สองอยู่ในพระกิตติคุณลูกา 3:23-38 มัทธิวแบ่งเรื่องลำดับพงศ์พันธ์ออกเป็นสามช่วง เริ่มจากอับราฮัมก่อน แล้วต่อลงมาเรื่อยๆ จนจบลงที่องค์พระเยซูคริสต์ ส่วนลูกาเริ่มที่องค์พระเยซูคริสต์ก่อน แล้วย้อน กลับขึ้นไปจนถึงอาดัม ผู้เป็น “บุตรพระเจ้า”
ข้อแตกต่างโดยรวมอยู่ที่ตรงรูปแบบ แต่มีบางชื่อในลำดับพงศ์พันธ์ของทั้งสองแตกต่างกัน :
ความยากอยู่ที่ตอนแรกของลูกา ซึ่งใช้ชื่อต่างกับของมัทธิว คงไม่เป็นปัญหา ถ้าเรากำลัง ศึกษาเรื่องราวของบุคคลสองคน แต่ว่าลำดับพงศ์พันธ์ทั้งสองเป็นเรื่องของพระเยซูคริสต์ นอกจากนั้น ทั้งสองเล่มใช้ทางสายของโยเซฟ สามีนางมารีย์ ผู้ทำหน้าที่เป็นบิดา-มารดาของพระองค์ที่บนโลก มัทธิวกล่าวว่าโยเซฟเป็นบุตรของยาโคบ ที่สืบเชื้อสายมาจากดาวิด โดยทางบุตรของดาวิด ที่สืบต่อๆมาทางสายของซาโลมอน (มัทธิว 1:16) และลูกากล่าวว่า โยเซฟเป็นบุตรของเฮลี ที่สืบเชื้อสายมาจากดาวิด โดยทางนาธัน ผู้เป็นบุตรของดาวิดเหมือนกัน เป็นพี่น้องกับซาโลมอน (ลูกา 3:23)4
ขณะที่หลายคนสรุปว่าปัญหานี้ยังหาทางออกไม่ได้ อีกหลายต่อหลายคนคิดอีกแบบ เจมส์ มอนท์โกเมอรี่ บอยส์ เขียนถึงความเป็นไปได้ออกมาเป็นโครงร่างที่น่าสนใจ เจย์ เกรเชม มาเคน นำมาถ่ายทอดให้ฟังเมื่อหลายปีที่แล้ว :
มีหลายวิธีที่น่าจะนำมาใช้ประนีประนอมกันขณะที่ยังหาทางออกไม่ได้ แต่ทั้งหมดแล้ว เรามักคิดกันว่า กุญแจไขปัญหาที่แท้จริงของกรณีนี้ … น่าจะอยู่ตรงข้อเท็จจริงที่ว่า มัทธิว มีความตั้งใจดี แต่นำเสนอรายชื่อคนที่สืบทอดตำแหน่งแต่เพียงบางส่วนเท่านั้น (เป็นได้ หรือมีแนวโน้มว่าเป็นไปได้) จากสายราชบัลลังก์ของดาวิด ในขณะที่ลูกาใช้วิธีย้อนถอยกลับไปทางโยเซฟ ไปทางนาธัน และดาวิด ดังนั้นจึงไม่เหมาะที่จะนำข้อขัดแย้งระหว่างพระกิตติคุณทั้งสองเล่มมาใช้ เปรียบเทียบกันเมื่อพูดถึงต้นกำเนิดของพระเยซูคริสต์ พระเป็นเจ้าของเรา 5
ผมค่อนข้างเอนเอียงไปทางบอยส์ ที่เสนอทางออกแบบที่สอง – ลำดับพงศ์พันธ์ตามของมัทธิว มาทางสายครอบครัวของ โยเซฟ ขณะที่ลำดับพงศ์ตามแบบลูกา ออกไปทางบรรพบุรุษทางสายของนางมารีย์
ตามความเห็นของผม มีทางออกที่ดีกว่าถ้ามองในมุมมองของสองสาย คือสายของโยเซฟ และสายของนางมารีย์ ทั้งคู่มีบรรพบุรุษคนเดียวกัน คือกษัตริย์ดาวิด … . จากมุมมองนี้ ความต่างระหว่างทั้งสองสาย ไม่ใช่เป็นเรื่องทายาทตาม “กฎหมาย” หรือตามความสัมพันธ์ “บิดา-บุตร” เช่นที่มาเคนเสนอ แต่ตามการสืบทอดราชบัลลังก์ ของผู้ที่นั่งบนบัลลังก์จริงๆ หรือสืบทอดจากบิดาสู่บุตรหัวปี ถึงแม้บุตรนั้นจะไม่ได้ขึ้น ครองบัลลังก์ก็ตาม6
ผมไม่ได้พยายามเสนอทางออกแบบกำปั้นทุบดิน แต่อยากชี้ให้เห็นว่ายังมีข้อขัดแย้งในลำดับพงศ์ของทั้งคู่ ฟังดูคล้ายกับที่พวกนักวิชาการชอบเสนอทางออกแบบมีเหตุมีผล จุดประสงค์ของผมคือ ต้องการแสดงให้เห็นว่าการลำดับพงศ์ของมัทธิว กระทำอย่างรอบคอบ เพื่อสอนเราถึงความจริงสำคัญบางประการ ความจริงพื้นฐานของข่าวประเสริฐในพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ และสำหรับชีวิตของเรา
บทเรียนจากการลำดับพงศ์ของพระกิตติคุณมัทธิว
มัทธิว 1:1-17
รูปแบบการสอนตอนนี้ขอเป็นแบบตั้งข้อสังเกตและเสนอข้อสรุป ผมขอเริ่มด้วยข้อสังเกตจากลำดับพงศ์ ตามที่บันทึก อยู่ในข้อ 1-17 ก่อน และพยายามหาข้อสรุปจากการตั้งข้อสังเกตนี้
ข้อสังเกตประการแรก : มัทธิวเริ่มด้วย “หนังสือลำดับพงศ์ของพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นเชื้อสายของดาวิด ผู้สืบตระกูลเนื่องมาจากอับราฮัม” (มัทธิว 1:1) คำที่ว่า “หนังสือลำดับพงศ์” ในภาษากรีก แปลตรงตัวว่า “หนังสือต้นกำเนิดของพระเยซูคริสต์” ซึ่งเกือบเหมือนคำแปลภาษากรีกของปฐมกาล 2:4 และ 5:1:7
เรื่องฟ้าสวรรค์และแผ่นดินที่พระเจ้าทรงสร้างมีดังนี้ — ในวันที่พระเจ้าทรงสร้างแผ่นดินและฟ้าสวรรค์ (ปฐมกาล 2:4)
(คำแปลในภาษากรีก: “เรื่องปฐมกาลของฟ้าสวรรค์และแผ่นดิน ….”)
ต่อไปนี้เป็นหนังสือลำดับพงศ์พันธ์ของอาดัม เมื่อพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์นั้น พระองค์ทรงสร้างตามพระฉายาของพระเจ้า (ปฐมกาล 5:1).
(คำแปลภาษากรีก: “เรื่องปฐมกาล/เผ่าพันธ์ของมนุษย์/อาดัม … .”)
ข้อสรุป: ผมว่าความคล้ายคลึงกันนี้ “บังเอิญ” เอามาก ซึ่งคล้ายกับคำนำของพระกิตติคุณยอห์นข้อแรก บทที่ 1: “ในปฐมกาล พระวาทะดำรงอยู่… .” แน่นอน ยอห์นโยงตอนต้นหนังสือของเขา (และที่สำคัญที่สุดองค์พระ ผู้เป็นเจ้า )เข้ากับปฐมกาลบทที่ 1 และการทรงสร้าง ในมัทธิวที่เรากำลังศึกษาอยู่ เหมือนจะชี้เราให้ย้อนกลับไปดูต้นกำเนิดพงศ์พันธ์แรกในพระคัมภีร์ อยู่ในปฐมกาลบทที่ 5 ในปฐมกาลบทที่ 5 หลังจากที่อาดัมล้มลงในความบาป พระเจ้าเคยเตือนอาดัมว่า ถ้าวันใดเขา (พวกเขา) กินจากต้นไม้แห่งความสำนึกในความดีและความชั่ว เขา(พวกเขา) จะต้องตาย (ปฐมกาล 2:17) จุดประสงค์หนึ่งในต้นกำเนิดพงศ์พันธ์ คือย้ำหนักแน่น ถึงความจริงของพระวจนะ ทุกคนที่สืบทอดพงศ์พันธ์ของอาดัมตายลงตามที่พระเจ้าตรัสไว้ทุกประการ ทำนองเดียวกับพระ กิตติคุณมัทธิว พระคัมภีร์ใหม่ เริ่มต้นด้วยลำดับพงศ์พันธ์ สิ่งนี้นอกจะย้ำเตือนเราว่า บรรดาชื่อในลำดับพงศ์พันธ์ที่เกริ่นนำนั้น ตายไปหมดแล้ว ; คำพูดของมัทธิวแฝงเป็นนัยให้รู้ว่า พระเยซูคริสต์ทรงเป็นจุดเริ่มของเผ่าพันธ์ใหม่ ที่จะไม่มีวันตาย โดยทั่วไปลำดับพงศ์พันธ์เป็นการบันทึกรายชื่อของคนที่สิ้นชีวิตไปแล้ว พงศ์พันธ์ของพระเยซูคือจุดเริ่มต้นของเชื้อสายใหม่ เป็นเชื้อสายของผู้ที่อยู่ “ในพระคริสต์” โดยทางความเชื่อ และได้รับชีวิตนิรันดร์ นับเป็นพงศ์พันธ์ที่น่าตื่นเต้นมหัศจรรย์ ! ใครบ้างเล่า จะไม่อยากมีชื่ออยู่ในผู้สืบเชื้อสายพงศ์พันธ์ของพระเยซูคริสต์ ?
ข้อสังเกตุประการที่สอง: หลายชื่อในลำดับพงศ์นี้เป็นชื่อที่เราคุ้นเคยกันดี เป็นชื่อของมนุษย์ที่มีตัวตนจริงๆ เคยมีชีวิต อยู่บนโลกนี้ แต่ก็เป็นเพียงมนุษย์
ข้อสรุป: พระเยซูทรงเป็นมนุษย์ (และเป็นพระเจ้าด้วย) มนุษย์จริงๆทีมีต้นตอ มีวงศ์ตระกูล ข้อเท็จจริงที่ว่าพระเยซูเป็นมนุษย์นั้นสำคัญยิ่ง เพราะสามารถแยกผู้ที่ยึดเอาความจริงออกจากพวกเทียมเท็จได้ :
ท่านที่รักทั้งหลาย อย่าเชื่อวิญญาณเสียทุกๆวิญญาณ แต่จงพิสูจน์วิญญาณนั้นๆ ว่ามาจากพระเจ้า หรือไม่ เพราะว่ามีผู้พยากรณ์เท็จเป็นอันมากจาริกไปในโลก โดยข้อนี้ท่านทั้งหลายก็จะรู้จัก พระวิญญาณของพระเจ้า : คือวิญญาณทั้งปวงที่ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาเป็นมนุษย์ วิญญาณนั้นก็มาจากพระเจ้า (1 ยอห์น 4:1-2 ผมขอย้ำความจริงนี้ด้วย)
ข้อสังเกตูประการที่สาม: ทุกคนที่อยู่ในรายชื่อพระกิตติคุณของมัทธิวล้วนแล้วแต่เป็นคนบาป บางคนก็บาปแบบไม่ธรรมดา! นี่ เป็นปัญหาหนึ่งของลำดับวงศ์ตระกูล – เพราะบรรพบุรุษของเราบางคนก็แย่เอามากๆ เราๆท่านๆคงมีโครงกระดูกบรรพบุรุษซ่อนอยู่ในตู้เสื้อผ้าบ้างไม่มากก็น้อย ถึงแม้คนดีที่สุดของตระกูล ก็ยังเรียกไม่ได้ว่าสมบูรณ์แบบ เราคงต้องให้เรื่องราวของพวกเขาเป็นบทเรียนสอนใจ ดาวิดและซาโลมอนเป็นมหาบุรุษ แต่ก็เคยทำผิดร้ายแรง ไม่ว่าจงใจหรือไม่ก็ตาม แถมบางคนยังเป็นตัวการขัดขวางแผนการและพระสัญญาของพระเจ้าด้วยซ้ำ อับราฮัมแรกๆก็พยายามชักจูงพระเจ้าให้สนับสนุนบุตรชายคนโต ที่เกิดจากหญิงรับใช้มาเป็นทายาท (ปฐก. 15:1-3) ท่านและนางซาราห์พยายามผลิตทายาทสืบสกุลผ่านทางนางฮาการ์ ทาสสาวชาวอียิปต์ (ปฐก. 16) แม้พระเจ้าจะบอกแล้วก็ตาม (ในตอนนั้น) ว่าทายาทที่พระองค์สัญญาไว้ จะเกิดจากตัวท่านเองและนางซาราห์/ซาราย (ปฐก. 17:19) อับราฮัมยังปกปิดเรื่องภรรยา เที่ยวบอกใครต่อใครว่าเป็นน้องสาว ทำให้เธอเป็นที่หมายปองของชายอื่น ท่านไม่เพียงหลอกฟาโรห์เท่านั้น (ปฐก. 12:10-20) แต่หลอกอาบีเมเลคด้วย (ปฐก. 20) และเมื่อถูกอาบีเมเลคตำหนิ ท่านกลับบอกอาบีเมเลคว่าท่านและซาราห์ทำอย่างนี้ตลอด ไม่ว่าไปที่ไหน (ปฐก. 20:13) อิสอัคบุตรของอับราฮัม ทำอย่างเดียวกับภรรยา นางรีเบคคา (ปฐก. 26:7) ตระกูลนี้มีโครงกระดูกแอบซ่อน ไว้ในตู้ มากมาย!
ข้อสรุป: พระพรที่พระเจ้าประทานให้ประชากรของพระองค์ ไม่เกี่ยวข้องกับการทำความดี มีเพียงคำอธิบายเดียวว่ามาจาก พระเมตตาและพระคุณเท่านั้น พระ พรของพระเจ้าเทลงให้คนบาปทุกคน ไม่ว่าเขาจะทำดีแค่ไหน ขึ้นอยู่กับพระคุณที่ผ่าน มาทางพระเยซูคริสต์เท่านั้น ลำดับพงศ์ขององค์พระเยซูคริสต์ เน้นให้เห็นชัดเจนเรื่องความบาปของมนุษย์ ผมชอบในสิ่งที่ เฟรเดอริค บรูเนอร์สรุปเอาไว้ :
“เราจะเห็นว่ามัทธิวเจาะเรื่องลำดับพงศ์ของพระเยซูในพระคัมภีร์เดิม และนำมาเรียงให้เห็นชัดอย่างต่อเนื่อง จนสามารถเข้าใจได้ แถมยังเป็นการประกาศข่าวประเสริฐในอีกรูปแบบ – คือรูปแบบที่ว่า พระเจ้าทรงเอาชนะและให้อภัยบาปผิดได้ สามารถนำคนบาปที่กลับใจมาทำให้แผนการ และพระประสงค์ อันยิ่งใหญ่ของพระองคในประวัติศาสตร์สำเร็จลง (สำหรับการกลับใจของยูดาห์ ปฐก. 38:26; สำหรับ ดาวิด 2 ซมอ. 12:13)8
ข้อสังเกตุประการที่สี่ : มัทธิวใส่ชื่อสตรีถึงสี่ท่านลงในลำดับพงศ์ของท่าน นับ ว่าเป็นเรื่องพิเศษ โดยเฉพาะสำหรับประเพณียิว เรานึกว่าลูกาน่าจะเป็นคนที่ใส่ชื่อสตรีลงในลำดับพงศ์ เพราะท่านมักให้ความสำคัญกับสตรี แต่กลับกลายเป็นมัทธิวที่ออกจะยิวแท้ ใส่ชื่อสตรีทั้งสี่ท่านนี้ลงไป สตรีทั้งสี่ท่านนี้ไม่ใช่คนสำคัญยิ่งใหญ่ใดในพระคัมภีร์เดิม แถมสามท่านยังเป็นต่างชาติโดยกำเนิด ส่วนอีกคน – นางบัทเชบา เป็นต่างชาติโดยการแต่งงานกับอุรียาห์ ชาวฮิทไทต์ (มัทธิว 1:6; 2 ซมอ. 11:3) สตรีเหล่านี้ไม่ได้ใสบริสุทธิ์เหมือน “หิมะหน้าหนาว” อย่างพวกยิวจ๋าชอบกล่าวหา 9
ข้อสรุป: พระสัญญาเรื่องความรอดของพระเจ้าที่ผ่านทางพระเมสซิยาห์ มีสำหรับคนบาปที่ไม่สมควรได้รับ รวมทั้งคนต่าง ชาติด้วย .
สตรีสี่คนที่โดดเด่นที่สุดในประวัติ ศาสตร์ของยิวคือ – ซาราห์ เรเบคคา ราเชล และเลอาห์ คนแรกเป็น ภรรยาของอับราฮัม ต่อมาอิสอัค และยาโคบตามลำดับ ถึงไม่มีชื่อปรากฎอยู่ แต่ชื่อสามีของสตรีเหล่านี้มีบันทึกอยู่ในลำดับพงศ์ ซึ่งมัทธิวมีโอกาสที่จะเอ่ยชื่อสตรีเหล่านี้ขึ้นมา แต่มัทธิวกลับใส่ชื่อสตรีที่น่าสนใจอีกสี่ท่านแทน และเรื่องราวของสตรีทั้งสี่ก็ประกาศถึงพระคุณ ละพระเมตตาอันหาที่สุดมิได้ขององค์พระผู้เป็นเจ้า
เรื่องอื้อฉาวของสตรีทั้งสี่ประกาศ ถึงพระเมตตาคุณของพระเจ้า ซึ่งเป็นหัวใจของพระกิตติคุณมัทธิว มัทธิวจะค่อยๆสอนเราว่า พระเยซูไม่ได้เสด็จมาในโลกนี้เพื่อคนชอบธรรม แต่เพื่อคนบาป (มัทธิว 9:13); ในลำดับพงศ์ของมัทธิว ท่านสอนว่าพระเยซูไม่ได้มาเพื่อ แต่มาโดยทางคน บาป พระเจ้าไม่ได้เสด็จมาอย่างถ่อมพระองค์ในสภาพยากจนเฉพาะวันคริสต์มาสเท่านั้น ; แต่พระองค์ทรงทำสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่ในสมัยพระคัมภีร์เดิม พระเมตตาคุณของพระเจ้า เป็นความจริงลึกซึ้งที่สุดที่มัทธิวค้นพบ ทั้งจากในฉบับพระคัมภีร์ฮีบรูดั้งเดิม และในองค์พระเยซูคริสต์ (9:13; 12:7) และผ่านทางสตรีทั้งสี่ท่านนี้ี่ ท่านทำให้ความจริงเรื่องพระเมตตาคุณเด่นชัดขึ้น ด้วยลำดับพงศ์ของพระเยซูตั้งแต่เริ่มแรกทีเดียว
เรื่องลำดับพงศ์แรกของพระคัมภีร์ใหม่ มีเรื่องสอนใจเราอย่างน่ามหัศจรรย์ เชื้อสายตั้งแต่อับราฮัมจนถึงพระเยซูคริสต์ ผู้สืบเชื้อสายมาทางดาวิด ถูกเลือดต่างชาติปะปนอยู่นับครั้งไม่ถ้วน ตัวกษัตริย์ดาวิดเอง มีย่าทวดของย่าทวดเป็นชาวคานาอัน มีแม่ของย่าทวดเป็นคนเยริโค มีทวดเป็นชาวโมอับ และมีภรรยาเป็นคนฮิทไทต์ มัทธิวต้องการให้คริสตจักรตระหนักตั้งแต่แรกว่า ไม่ใช่แค่คณะที่ปกครองในกรุงเยรูซาเล็ม (กิจการ 15) แต่พระราชกิจของพระเจ้าเป็นสากลโลก พระองค์ไม่ได้ทรงมีความคิดแคบๆ เหมือนพวกหัวรุนแรง หรือพวกชาตินิยมนะครับ10
ข้อสังเกตุประการที่ห้า : มัทธิวมีความรอบคอบในการแสดงให้เห็นว่า เชื้อสายของพระเจ้าเป็นเชื้อสายที่ทำให้พระองค์เป็นทั้ง “บุตรดาวิด” และ “บุตรของอับราฮัม”:
“หนังสือลำดับพงศ์ของพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นเชื้อสายของดาวิด ผู้สืบตระกูลเนื่องมาจาก อับราฮัม” (มัทธิว 1:1)
อับราฮัมและดาวิดเป็นสองบุคคลใน พระคัมภีร์เดิมที่พระเจ้าทรงทำพระสัญญานิรันดร์และสำคัญมากด้วย ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเสด็จมาของพระเมสซิยาห์
พระเจ้าตรัสแก่อับรามว่า “เจ้าจงออกจาก เมือง จากญาติพี่น้อง จากบ้านบิดาของเจ้า ไปยังดินแดน ที่เราจะบอกให้เจ้ารู้ เราจะให้เจ้าเป็นชนชาติใหญ่ เราจะอวยพรแก่เจ้า จะให้เจ้ามีชื่อเสียงใหญ่โต เลื่องลือไป แล้วเจ้าจะช่วยให้ผู้อื่นได้รับพร เราจะอำนวยพร แก่คนที่อวยพรเจ้า เราจะสาปคนที่แช่งเจ้า บรรดาเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะได้พรเพราะเจ้า” (ปฐมกาล 12:1-3)
พระเจ้าตรัสแก่เจ้าว่า พระเจ้าจะทรงให้เจ้ามีราชวงศ์ เมื่อวันของเจ้าครบแล้ว และเจ้านอนพักอยู่กับ บรรพบุรุษของเจ้า เราจะให้บุตรชายคนหนึ่งของเจ้าเกิด ขึ้นสืบต่อจากเจ้าผู้ซึ่งเกิดมาจากตัวเจ้าเองและ เราจะสถาปนาอาณาจักรของเขา เขาจะเป็นผู้สร้างนิเวศเพื่อ นามของเราและเราจะสถาปนาบัลลังก์ แห่งราชอาณาจักรของเขาให้อยู่เป็นนิตย์ เราจะเป็นบิดาของเขา และเขาจะเป็นบุตรของเรา ถ้าเขากระทำผิดเราจะตีสอนเขาด้วยไม้เรียวของมนุษย์ ด้วยการเฆี่ยนแห่งบุตรมนุษย์ทั้งหลาย แต่ความรัก มั่นคงของเราจะไม่พรากไปจากเขาเสีย ดังที่เราพรากไปจากซาอูล ซึ่งเราได้ถอดเสียให้พ้นหน้าเจ้า (2ซามูเอล 7:11ข-15)
พระสัญญาแรก พระสัญญาของอับราฮัม พระเจ้าสัญญาว่าอับราฮัมจะมีบุตรชาย และโดยทางเชื้อสายของอับราฮัม พระ เจ้าสัญญาว่าจะทรงทำให้เป็นชนชาติยิ่งใหญ่ และทาง “เชื้อสาย” นี้เอง พระองค์ไม่เพียงแต่อำนวยพระพรให้อับราฮัม เท่านั้น แต่ให้ทั้งมวลมนุษยชาติ “เชื้อสาย” ที่ทรงสัญญานี้ จะเป็นแหล่งแห่งพระพร ที่มีอยู่เต็มเปี่ยมในองค์พระเยซูคริสต์:
ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างสักเรื่องหนึ่ง ถึงแม้เป็นคำสัญญาของมนุษย์ เมื่อได้ รับรองกันแล้ว ไม่มีผู้ใดจะล้มเลิกหรือเพิ่มเติมขึ้นอีกได้ บรรดาพระสัญญา ที่ได้ประทานไว้แก่อับราฮัม และพงศ์พันธุ์ของท่านนั้น มิได้ตรัสว่า และแก่พงศ์พันธุ์ทั้งหลาย เหมือนอย่างกับว่าแก่คนมากคน แต่ เหมือนกับว่าแก่คนผู้เดียวคือ แก่พงศ์พันธุ์ของท่าน ซึ่งเป็นพระคริสต์ (กาลาเทีย 3:15-16)
ในพระสัญญาที่สอง พระสัญญาของดาวิด พระเจ้าสัญญากับดาวิดว่าราชวงศ์ของท่าน จะยั่งยืนเป็นนิตย์ โดยทาง “เชื้อสาย” ของดาวิด การปกครองของพระเมสซิยาห์จะเป็นไปชั่วกาลปวสาน ดังนั้นพระเยซูจึงทรงถูกเรียกว่าเป็น “บุตรดาวิด” (มัทธิว 9:27; 12:23; 15:22; 20:30, 31; 21:9, 15;ดู 22:42-46 ด้วย)
ข้อสรุป: (1) พระเยซูทรงเป็นทั้ง “บุตรของอับราฮัม” และ “บุตรดาวิด” ทรงเป็นผู้กระทำให้ทั้งพระสัญญาอับราฮัม (ดูกาลาเทีย 3:15-16) และพระสัญญาดาวิด (ดูมัทธิว 22:42-46) สำเร็จเป็นจริง ทรงเป็นทายาทอันชอบธรรมของราชบัลลังก์ ดาวิด ; เป็นกษัตริย์ของอิสราเอล11 (2) เมื่อเราเห็นว่าพระสัญญาอับราฮัม และพระสัญญาดาวิดสำเร็จเป็นจริงในองค์พระเยซูคริสต์ ทำให้เรามั่นใจอีกครั้ง ว่าพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ และรักษาพระสัญญาของพระองค์เสมอ ไม่ว่าพระองค์ตรัสอย่างไร พระองค์จะทำ ที่กางเขนบนเนินหัวกระโหลก พระเจ้าของเราร้องว่า “สำเร็จแล้ว” (ยอห์น 19:30) พระเจ้าทรงทำสิ่งที่ พระองค์เริ่มต้น ให้สำเร็จลงทุกประการ (ฟีลิปปี 1:6)
ข้อสังเกตุประการที่หก:12
1. พระธรรมมาลาคี หนังสือเล่มสุดท้ายของพระคัมภีร์เดิม จบลงด้วยคำพยากรณ์ที่เล็งถึงการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์ และยอห์นผู้ให้บัพติสมา ผู้มาเตรียมมรรคาของพระองค์ :
“ดูเถิด เราจะส่งเอลียาห์ผู้เผยพระวจนะ มายังเจ้าก่อนวันแห่งพระเจ้า คือวันที่ใหญ่ยิ่ง และน่าสะพรึงกลัวมาถึง และท่านผู้นั้นจะกระทำให้จิตใจของพ่อหันไปหาลูก และจิตใจของลูกหันไปหาพ่อ หาไม่เราจะมาโจมตีแผ่นดินนั้นด้วยคำสาปแช่ง” (มาลาคี 4:5-6)
2. มัทธิวหนังสือเล่มแรกของพระคัมภีร์ใหม่ เริ่มด้วยการย้อนประวัติศาสตร์กลับไปยังพระคัมภีร์เดิม โดยใช้เรื่องลำดับพงศ์พันธ์
3. ลำดับพงศ์ของหนังสือมัทธิวเริ่มที่อับราฮัม และจบลงที่พระเยซูคริสต์
4. ลำดับพงศ์ของหนังสือมัทธิวครอบคลุมประวัติศาสตร์อิสราเอลทั้งหมด จากอับราฮัมถึงพระเยซูคริสต์
5. หนังสือมัทธิว มากกว่าเล่มอื่นใด ย้ำเรื่องคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์เดิมว่าสำเร็จเป็นจริง :
มัทธิวนำพระวจนะจากพระคัมภีร์เดิมมาใช้อ้างอิงไม่ต่ำกว่าสี่สิบครั้ง และใช้คำนำที่เกือบเหมือนสูตรตายตัวว่า ‘ทั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะของพระเป็นเจ้า ซึ่งตรัสไว้โดยผู้เผยพระวจนะ…’ มีไม่ต่ำกว่าสิบหกครั้ง 13
ข้อสรุป : ลำดับพงศ์ของมัทธิว กล่าวชัดกว่าสิ่งที่ผู้เขียนพยายามนำเสนอในพระกิตติคุณทั้งเล่ม การมาบังเกิดของพระเยซูคริสต์ พระราชกิจที่ทรงกระทำสำเร็จตามคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์เดิมทุกข้อ แม้กระทั่งพระสัญญาของอับราฮัม และพระสัญญาของดาวิด ลำดับพงศ์นี้บอกเราว่าพระเยซูทรงเป็นผู้กระทำให้พระคัมภีร์เดิมทั้งหมด สำเร็จลงอย่างครบถ้วน ไม่ว่าเล่มใดในพระคัมภีร์เดิมที่เราเปิดดู จะพบพระคริสต์อยู่ที่นั่น
ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าอยากให้ท่านทั้งหลายเข้าใจว่า บรรพบุรุษของเราทั้งสิ้นได้อยู่ใต้เมฆ และได้ผ่านทะเลไปทุกคน ได้รับบัพติศมาในเมฆและในทะเลเข้าสนิทกับโมเสสทุกคน และได้รับประทานอาหารทิพย์ทุกคน และได้ดื่มน้ำทิพย์ทุกคน เพราะว่าเขาได้ดื่มน้ำซึ่งไหลออกมาจากพระศิลา ที่ติดตามเขามา พระศิลานั้นคือพระคริสต์ (1 โครินธ์ 10:1-4 ผมขอย้ำด้วย)
เหตุฉะนั้นอย่าให้ผู้ใดพิพากษาปรักปรำ ท่านในเรื่องการกิน การดื่ม ในเรื่องเทศกาล วันต้นเดือน หรือวันสะบาโต สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเงาของเหตุการณ์ที่จะมีมาในภายหลัง แต่กายนั้นเป็นของพระคริสต์ (โคโลสี 2:16-17)
นับเป็นการเริ่มต้นพระกิตติคุณที่ น่าทึ่งมาก – ด้วยการนำรายชื่อยาวเหยียดมาเสนอ! แต่สำหรับชาวยิวแล้ว เรื่องนี้ เป็นเรื่องแสนธรรมดา ซึ่งเราจะได้เห็นต่อๆไป การนำพระเยซูชาวนาซาเร็ธมาเป็นท้องเรื่องของทุกสิ่งที่พระเจ้ากระทำให้กับ ประชากรของพระองค์ ตั้งแต่แรกเริ่มโบราณกาล จนกระทั่งพระสัญญาทั้งสิ้นสำเร็จลงในหนังสือพระกิตติคุณ เป็นพระราชกิจสูงสุดของพระเจ้าที่มีต่อมวลมนุษย์มานานหลาย ร้อยปี – ในองค์พระเยซูคริสต์ 14
… ถ้ามองข้ามคำวิจารณ์ต่างๆไป มันแจ่มแจ้งเหมือนเที่ยงวันหรือไม่ว่ามัทธิวเป็นผู้เริ่มต้นของหนังสือพระ กิตติคุณทั้งสี่เล่ม? ท่านเป็นผู้เดียวที่เชื่อมโยงพระคัมภีร์ใหม่เข้ากับพระคัมภีร์เดิม เพื่อแสดงให้เห็นพระราชกิจที่สำเร็จลงอย่างสมบูรณ์ตามที่กล่าวไว้ในพระ คัมภีร์ฮีบรูฉบับเดิมทุกประการ ท่านนำถ้อยคำในพระคัมภีร์เดิมมาใช้อ้างอิงมากกว่าพระกิตติคุณมาระโกและลูกา รวมกัน นอกจากนี้ มัทธิว (เพียงผู้เดียว) เขียนพระกิตติคุณเล่มนี้เพื่อชาวยิว เรียกว่าท่านน่าจะเป็นผู้เริ่มต้น หรือผู้นำของพระกิตติคุณทั้งสี่อย่างแท้จริง รวมทั้งเป็นผู้เชื่อมโยงสิ่งใหม่ให้เข้ากับสิ่งเก่าด้วย – แม้สิ่งใหม่จะเป็นการยกให้ “ยิวมาก่อน” เราควรว่าตามท่านดีกว่า ถึงจะดูล้าสมัยไปสักนิดก็ตาม!15
เป็นที่รู้กันดีว่า มัทธิวรักที่จะเล่าสิ่งที่พระเยซูทำสำเร็จตามคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์เดิมตลอด เวลา ท่านจึงชอบเขียนว่า : “ทั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะของพระเป็นเจ้า ซึ่งตรัสไว้โดยผู้ เผยพระวจนะ…” (โดยเฉพาะ ในบทที่ 1 และ 2) ในลำดับพงศ์ของมัทธิว ท่านไม่เพียงแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จตอนหนึ่งตอนใดในพระคัมภีร์เดิม แต่เป็นพระคัมภีร์เดิมในภาพรวมทั้งหมด พระเยซูเป็นผู้ทำให้คำพยากรณ์ และเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในพระคัมภีร์เดิมสำเร็จครบถ้วนทุกประการ16
ข้อสังเกตุประการที่เจ็ด: ลำดับพงศ์ของมัทธิวมีการจัดเตรียมเป็นอย่างดี เป็นหมวดหมู่และเรียงตามลำดับ :
ดังนั้นตั้งแต่อับราฮัมลงมาจนถึงดาวิดจึง เป็นสิบสี่ชั่วคน และนับตั้งแต่ดาวิดลงมา จนถึงต้องถูกกวาดไปเป็นเชลยที่กรุงบาบิโลน เป็นเวลาสิบสี่ชั่วคน และนับตั้งแต่ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยที่กรุงบาบิโลน จนถึงพระคริสต์เป็นสิบสี่ชั่วคน (มัทธิว 1:17)
ลำดับพงศ์ของมัทธิวแบ่งออกเป็นสามช่วง แต่ละช่วงมีสิบสี่ชื่อ17 การจะทำเช่นนี้ได้ ท่านต้องละบางชื่อไป แต่ไม่เป็นปัญหา เพราะในภาษากรีก (คำว่า “เป็นบุตรของ”) หมายถึงเป็นลูกหลานของบรรพบุรุษ ซึ่งอาจเป็นลูก เป็นหลาน เป็นเหลนก็ได้ ที่ผมพยายามชี้ให้เห็นคือ มัทธิวต้องการให้เราเห็นลำดับพงศ์ที่ท่านจัดเรียงไว้เป็นลำดับ
ผมพบว่า ข้อสังเกตของบรูเนอร์ ในเรื่องโครงสร้างลำดับพงศ์นี้น่าสนใจทีเดียว :
“ถ้าจะให้เข้าใจเรื่องสิบสี่ชื่อ – สามช่วงนี้ให้ง่ายที่สุด เราต้องลองเรียงตัวอักษรของแต่ละช่วงใหม่ เช่นสิบสี่ชื่อ แรกจากอับราฮัมจนถึงดาวิดเป็นตัวเอนขวา (/) สิบสี่ชื่อของช่วงที่สอง จากกษัตริย์ซาโลมอนไปจนถูกต้อนไปเป็นเชลยที่บาบิโลน เอนซ้าย (\) และสิบสี่ชื่อสุดท้าย จากเป็นเชลยในบาบิโลนจนถึงพระเยซูคริสต์ เอนขวาใหม่” (/)18
บรูเนอร์แนะว่า ช่วงแรกจากอับราฮัมถึงดาวิด ทุกอย่างดูจะเป็นขาขึ้น คือดีขึ้นและดีขึ้นตามลำดับ ต่อมาบุตรของดาวิด กษัตริย์ซาโลมอน ดูจะพุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุด ในหนังสือของบรูเนอร์ (หน้า 5) เชื่อว่าเป็นช่วงที่สำแดงเด่นถึงพระเมตตาคุณของพระเจ้า ที่เห็นเช่นนี้ได้ เพราะมีการนำชื่อสตรีต่างชาติเข้ามาบันทึกอยู่ในลำดับพงศ์
ช่วงที่สอง อาณาจักรที่เคยรุ่งเรืองสุดเริ่มดิ่งลง (หลังจากดาวิดและซาโลมอน) ลงไปจนถึงจุดตกต่ำที่สุด – เมื่ออิสราเอลตกไปเป็นเชลยของบาบิโลน หลังจากซาโลมอนสิ้นชีวิต อาณาจักรแตกออกเป็นสอง บรรดากษัตริย์ที่ปกครองฝ่ายเหนือมีแต่ดำเนินอยู่ในความชั่วและชั่ว ส่วนกษัตริย์ของฝ่ายยูดาห์มีทั้งดีและชั่วผสมกันไป การที่ต้องตกไปเป็นเชลยเป็นเพราะความดื้อดึง และกบฏไม่รู้จักจบสิ้นของยูดาห์ ถ้ามองด้วยสายตามนุษย์ ความหวังของอิสราเอลที่พระเจ้าจะทำตามพระสัญญาที่ให้ไว้ในพระคัมภีร์เดิมดู จะหดลงเหลือแค่หนวดแมว
ช่วงที่สาม เริ่มจะดีขึ้นอีกครั้ง พระเจ้าทรงช่วยกู้ประชากรของพระองค์ออกจากบาบิโลน และนำพวกที่เหลือกลับสู่มาตุภูมิ มีทั้งภัยอันตรายและความผิดหวัง แต่อิสราเอลเริ่มมีความหวัง
ข้อสรุป : พระเจ้าผู้ครอบครอง ทรงควบคุมอยู่เหนือประวัติศาสตร์อิสราเอล เพื่อพระประสงค์และพระสัญญาของพระองค์จะสำเร็จลงอย่างครบถ้วน เมื่อ ผม อ่านพระคัมภีร์เดิม ผมทึ่งเป็นที่สุดที่เห็นมนุษย์ก่อแต่เรื่องไม่รู้จบ ในขณะที่พระสัญญาของ พระเจ้ายังคงดำเนินต่อไป ดีที่สุดของมนุษย์ก็ยังเป็นคนบาป ต่ำกว่ามาตรฐานพระเจ้าชนิดสุดกู่ ดาวิดและซาโลมอน กษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ ชีวิตมีแต่เรื่องวุ่นวาย บาปของทั้งสองสร้างผลกระทบใหญ่หลวงให้กับอิสราเอล ถ้าพระสัญญาของพระเจ้าจะ สำเร็จลงโดยต้องพึ่งคนพวกนี้ เราทั้งหลายคงจะน่าสมเพชเป็นที่สุด
เมื่อผมอ่านพระคัมภีร์ทั้งเล่ม ผมมักนึกถึงพระคำตอนที่ว่า ทูตสวรรค์กำลังเฝ้าดูเหตุการณ์ต่างๆ (1 โครินธ์ 11:10; เอเฟซัส 3:10; 1 เปโตร 1:10-12) พวกทูตสวรรค์คงหายใจไม่ทั่วท้อง เมื่อเห็นอับราฮัมเที่ยวบอกใครๆว่าภรรยาเป็นน้องสาว และส่งนางไปให้ฟาโรห์ (ปฐก. 12:10-20) แล้วไปทำเช่นเดิมอีกกับอาบีเมเลค ทั้งๆที่พระเจ้าสัญญาจะประทานบุตรชายให้โดยนางซาราห์ (ปฐก. 17:15-21; 20:1-18) ยูดาห์เป็นต้นสายของวงศ์วานที่พระเมสซิยาห์จะมาบังเกิด (ปฐก. 49:8-12) แต่ยูดาห์เกือบจะอดมีบุตรเพราะความบาปของท่าน (ปฐก. 38) ครั้งแล้วครั้งเล่าที่พวกทูตสวรรค์ต้องกลั้นหายใจ กลัวว่าพระสัญญาจะไม่มีทางเกิดขึ้นเป็นจริง ถ้ามองด้วยสายตามนุษย์ วุ่นวายสิ้นดี
วิธีการที่มัทธิวเรียบเรียงลำดับพงศ์พันธ์เป็นระเบียบเรียบร้อย เป็นขั้นเป็นตอน และแบ่งเป็นสามช่วง แต่ละช่วงมีสิบสี่ชื่อ สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการทำงานที่ละเอียดและเป็นระเบียบของท่าน ใช่หรือไม่? ถ้ามองตามมุมมองของมนุษย์ ดูจะมีแต่เรื่องสับสนวุ่นวาย แต่ผลลัพธ์กลับชัดเจนและเป็นเรื่องเดียว นั่นคือพระเจ้าทรงควบคุมอยู่ พระประสงค์และพระสัญญาจะเกิดขึ้นเป็นจริงเสมอ
สำหรับมัทธิว สามช่วงสิบสี่ชื่อนี้ เป็นการจัดเรียงอย่างมีระเบียบ สอดคล้องกันและมีความหมาย เมื่อมัทธิวมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ ไปที่ประชากรของพระเจ้า ท่านเห็นการสืบทอดต่อมาของสิบสี่ชั่วคน คั่นด้วยแต่ละยุคของประวัติศาสตร์ – ระหว่างอับราฮัม ดาวิด การเป็นเชลย และพระคริสต์ – ท่าน เกิดความประทับใจ ในการครอบครองอยู่ของพระ เจ้า ไม่ว่าจะเบื้องหลัง อยู่ภายใต้ อยู่เหนือ และตลอดความสับสนอลหม่าน ความบาป การกบฏดื้อดึง ตลอดประวัติศาสตร์ที่ขึ้นๆลงๆของอิสราเอล พระเจ้าค่อยๆทำ พระประสงค์ของพระองค์ให้สำเร็จลงแต่ละปีๆ บรรดาผู้คนที่โลดแล่นอยู่ในประวัติศาสตร์ยุคโน้น คงคิดว่าวุ่นวายจริงหนอ แต่เมื่อมองย้อนกลับไปที่พระคัมภีร์เดิม ผ่านมุมมองประวัติศาสตร์ที่พระเยซูคริสต์นำเสนอ เราเห็นพระหัตถ์อันมั่นคงและแน่นอนของพระเจ้า … สามช่วงสิบสี่ชื่อ หมายถึงการครอบครองอยู่โดยพระเจ้าของเรา 19
ข้อสังเกตุประการที่แปด : ลำดับพงศ์ของมัทธิวไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐาน ตามรูปแบบที่เราคิด เช่น เรียงลำดับจากอิสอัคไปยาโคบ และต่อไปที่ยูดาห์ (มัทธิว 1:2) โดยทั่วๆไป การสืบทอดวงศ์ตระกูลมักจะผ่านทางบุตรหัวปี เรารู้ว่าเอซาวเป็นบุตรคนโตของ อิสอัค ไม่ใช่ยาโคบ แต่การลำดับพงศ์กลับผ่านไปทางยาโคบ สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องเล่าธรรมดาๆ แต่เป็นแผนการของพระเจ้าที่สำเร็จลง :
อิสอัคอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อภรรยาของ ท่าน เพราะนางเป็นหมัน พระเจ้าประทานตามคำอธิษฐานของท่าน เรเบคาห์ภรรยาของท่านก็ตั้งครรภ์ เด็กก็เบียดเสียดกันอยู่ในครรภ์ของนาง นางจึงพูดว่า “ถ้าเป็นเช่นนี้ ฉันจะมีชีวิตอยู่ทำไม” นางจึงไปทูลถามพระเจ้า พระเจ้าตรัสกับนางว่า “ชนสองชาติ อยู่ในครรภ์ของเจ้า และประชาชนสองพวกเกิดจากเจ้าจะต้องแยกกัน พวกหนึ่งจะแข็งแรงกว่าอีกพวกหนึ่ง พี่จะรับใช้น้อง” (ปฐมกาล 25:21-23)
ข้อสรุป : ลำดับพงศ์ของมัทธิวเป็นข้อพิสูจน์ถึงการทรงเลือกของพระเจ้า แม้ว่าโยเซฟเป็นลูกคนโปรดของยาโคบ (และท่านแบ่งส่วนมรดกบุตรหัวปีให้หลานถึงสองเท่าโดยรับเป็นบุตรของตนเอง – ปฐมกาล 48) แต่กลับเป็นทางสายของยูดาห์ ที่พระเมสซิยาห์ทรงมาบังเกิด ยูดาห์ไม่ได้เป็นบุตรหัวปี ; รูเบนเป็น ตามด้วยสิเมโอน รูเบนเสียตำแหน่งเพราะล่วงเกิน เอาภรรยาของบิดามาเป็นของตน (ปฐมกาล 49:3-4) สิเมโอนและเลวี สังหารชาวเมืองเชเคมอย่างโหดเหี้ยม (ปฐมกาล 34) ดังนั้นการสืบทอดพงศ์พันธ์จึงไม่สามารถทำได้โดยทางสิเมโอน (ปฐมกาล 49:5-7) ตามที่ อ.เปาโลชี้ให้เห็นในหนังสือโรมบทที่ 9 ลำดับพงศ์ตามพระสัญญานั้นเป็นการทรงเลือกที่ชัดเจนยิ่งนัก :
แต่มิใช่ว่าพระวจนะของพระเจ้าได้ล้มเหลวไป เพราะว่าเขาทั้งหลายที่เกิดมาจากอิสราเอลนั้น หาได้เป็น คนอิสราเอลแท้ทุกคนไม่ และมิใช่ว่าทุกคนที่เป็นเชื้อสายของอับราฮัมเป็นบุตรแท้ของท่าน แต่ว่า เขา จะ “เรียกเชื้อสายของท่านทางอิสอัค” หมายความว่าคนที่เป็นบุตรของพระเจ้านั้น มิใช่บุตรทางเนื้อ หนัง แต่บุตรตามพระสัญญา จึงจะถือว่าเป็นผู้สืบเชื้อสายได้ เพราะพระสัญญามีว่าดังนี้ :
“เราจะมา ตามฤดูกาล และนางซาราห์จะมีบุตรชาย” และมิใช่เท่านั้น แต่ว่า นางเรเบคคาก็ได้มีครรภ์กับชายคนหนึ่งด้วย คืออิสอัคบรรพบุรุษของเรา— แม้ก่อนบุตรนั้นบังเกิดมา และยังไม่ได้กระทำดีหรือชั่ว เพื่อพระดำริของพระเจ้าในการทรงเลือกนั้น จะตั้งมั่นคงอยู่ ไม่ใช่ตามการประพฤติ แต่ตามซึ่งพระองค์ทรง เลือก — พระองค์จึงตรัสแก่นางนั้นว่า “พี่จะปรนนิบัติน้อง” ตามที่มีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า “ยาโคบนั้นเรารัก แต่เอซาวเราได้ชัง” (โรม 9:6-13)
แม้ยาโคบจะต่อสู้ทั้งกับพระ เจ้าและมนุษย์ (ดูปฐมกาล 32:28) ในที่สุดท่านก็พบว่า พระเจ้าเองเป็นผู้ยกมนุษย์ขึ้นให้เหนือกว่ามนุษย์ผู้อื่น ท่านกล่าวทิ้งท้ายไว้ก่อนตายว่า :
โยเซฟเอาบุตรลงจากเข่าของท่าน แล้วกราบลงถึงดิน โยเซฟจูงบุตรทั้งสองเข้าไปใกล้บิดา มือขวาจับ เอฟราอิมให้อยู่ข้างซ้ายอิสราเอล และมือซ้ายจับมนัสเสห์ให้อยู่ข้างขวาอิสราเอล ฝ่ายอิสราเอลก็เหยียด มือขวาออกวางบนศีรษะเอฟราอิมผู้เป็นน้อง และมือซ้ายวางไว้บนศีรษะมนัสเสห์ เหยียดมือออกไขว้กันเช่นนั้น เพราะมนัสเสห์เป็นบุตรหัวปี แล้วอิสราเอลกล่าวคำอวยพรแก่โยเซฟว่า “ขอพระเจ้าที่อับราฮัมและอิสอัค บิดาข้าพเจ้า ดำเนินอยู่เฉพาะพระพักตร์นั้น ขอพระเจ้าผู้ทรงบำรุงเลี้ยงชีวิตข้าพเจ้า ตั้งแต่เกิดมาจนวันนี้ ขอทูตสวรรค์ที่ได้ช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากความชั่วร้ายทั้งสิ้น โปรดอวยพรแก่เด็กทั้งสองนี้ ให้เขาสืบชื่อ ของข้าพเจ้าและชื่อของอับราฮัม และชื่อของอิสอัคบิดาของข้าพเจ้าไว้ และขอให้เขาเจริญขึ้นเป็นมวลชน บนแผ่นดินเถิด” ฝ่ายโยเซฟเมื่อเห็นบิดาวางมือข้างขวาบนศีรษะของ เอฟราอิมก็ไม่พอใจ จึงจับมือบิดา จะยกจากศีรษะเอฟราอิมวางบนศีรษะมนัสเสห์ โยเซฟเตือนบิดาว่า “ไม่ถูก คุณพ่อ เพราะคนนี้เป็นหัวปี ขอพ่อวางมือขวาบนศีรษะคนนี้เถิด” บิดาก็ไม่ยอม ตอบว่า “พ่อรู้แล้ว ลูกเอ๋ย พ่อรู้แล้ว เขาจะเป็นคนเผ่าหนึ่งด้วย และเขาจะใหญ่โตด้วย อย่างไรก็ดีน้องชายจะใหญ่โตกว่าพี่ และพงศ์พันธุ์ของน้องนั้น จะเป็นคนหลายประชาชาติด้วยกัน” วันนั้นอิสราเอลก็ให้พรแก่ทั้งสองคนว่า “พวกอิสราเอลจะใช้ชื่อเจ้าให้พรว่า ‘ขอพระเจ้าทรงโปรดให้ท่านเป็นเหมือนเอฟราอิม และเหมือนมนัสเสห์ เถิด’” อิสราเอลจึงให้เอฟราอิมเป็นใหญ่กว่ามนัสเสห์ (ปฐมกาล 48:12-20)
โยเซฟรู้สึกหนักใจที่บิดาสับสน ไม่รู้ว่าหลานคนใดคือบุตรหัวปี สมควรได้รับมรดกตามสิทธิ ท่านพยายามนำมือบิดาไปวางไว้ที่บุตรหัวปี เพื่อจะได้รับพร แต่ยาโคบไม่สนใจทำตาม ท่านรู้ดีว่ากำลังทำสิ่งใด และในขณะที่ท่านสลับมือกลับ ผมเชื่อว่าการกระทำเช่นนี้เป็นพยานอย่างดีถึงการทรงเลือกของพระเจ้าผู้ควบ คุม ทุกสิ่งล้วนแล้วมาจากพระองค์ เพราะพระองค์เป็นผู้ครอบครอง ลำดับพงศ์ของมัทธิวจึงเป็นพยานถึงการทรงเลือกของพระเจ้า
ต้นกำเนิดของพระเมสซิยาห์
มัทธิว 1:18-25
ลำดับพงศ์ตามข้อ 1-17 แสดงให้เห็นถึงความเป็นมนุษย์ของพระเยซูคริสต์ มัทธิวแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงเป็นลูกหลานของอับราฮัมและดาวิด และเป็นไปตามพระสัญญาที่ทรงกระทำไว้กับทั้งสอง เมื่อได้พิสูจน์ถึงความเป็นมนุษย์ของพระเยซูแล้ว (เป็นมนุษย์เที่ยงแท้แน่นอน) ท่านต้องเปิดเผยให้รู้ถึงต้นกำเนิดแท้จริงของพระเมสซิยาห์ พระเมสซิยาห์ไม่ได้เป็นเพียงมนุษย์เท่านั้น ; พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าด้วย – พระเจ้า ผู้สถิตกับเรา ข้อ 18-25 พูดถึงขั้นตอนที่นางมารีย์ตั้งครรภ์ มิใช่โดยโยเซฟ แต่โดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ :
เรื่องพระกำเนิดของพระเยซูคริสต์เป็นดัง นี้ คือมารีย์ผู้เป็นมารดาของพระเยซูนั้น เดิมโยเซฟ ได้สู่ขอหมั้นกันไว้แล้ว ก่อนที่จะได้อยู่กินด้วยกันก็ปรากฏว่า มารีย์มีครรภ์แล้วด้วยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่โยเซฟคู่หมั้นของเขาเป็นคนมีธัมมะ ไม่พอใจที่จะแพร่งพรายความเป็นไปของเธอ หมายจะถอนหมั้นเสียลับๆ แต่เมื่อโยเซฟยังคิดในเรื่องนี้อยู่ ก็มีทูตองค์หนึ่งของพระเป็นเจ้า มาปรากฏแก่โยเซฟในความฝันว่า “โยเซฟบุตรดาวิด อย่ากลัวที่จะรับมารีย์มาเป็นภรรยาของเจ้าเลย เพราะว่าผู้ซึ่งปฏิสนธิในครรภ์ของเธอเป็นโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ เธอจะประสูติบุตรชาย แล้วเจ้าจงเรียกนามท่านว่า เยซู เพราะว่าท่านเป็นผู้ที่จะโปรดช่วยชนชาติของท่านให้รอดจากความผิดบาปของเขา” ทั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะของพระเป็นเจ้า ซึ่งตรัสไว้โดยผู้เผยพระวจนะว่า ดูเถิด หญิงพรหมจารีคนหนึ่งจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง และเขาจะเรียกนามของท่านว่าอิมมานูเอล (แปล ว่าพระเจ้าทรงอยู่กับเรา) ครั้นโยเซฟตื่นขึ้นก็กระทำตามคำซึ่งทูตของพระเจ้าสั่งนั้น คือได้รับมารีย์มาเป็นภรรยา แต่มิได้สมสู่กับเธอจนประสูติบุตรชายแล้ว และโยเซฟเรียกนามของบุตรนั้นว่าเยซู
เราไม่มีเวลาพอจะอรรถาธิบายพระคำสุดแสนมหัศจรรย์ตอนนี้ แต่ผมขอให้ข้อสังเกตบางประการ
ข้อแรก มัทธิวมุ่งความสนใจของผู้อ่านไปที่โยเซฟ ขณะที่ลูกาให้ความสำคัญที่นางมารีย์ แต่ ที่สุดแล้วน้ำหนักไปลงที่การถือกำเนิดขององค์พระเยซูคริสต์เท่าเทียมกัน แต่ทำไมมัทธิวถึงให้เราเห็นว่าเรื่องของโยเซฟนั้นสำคัญ? เหตุผลหนึ่งคือ โดยทางโยเซฟนี้เอง ที่เป็นผู้ต่อลำดับพงศ์จากดาวิดมายังพระเยซู โยเซฟไม่ได้เป็นบิดาทางกายของพระเยซู เป็นเพียงบิดาทางกฎหมายเท่านั้น ดังนั้นพระเยซูจึงได้เป็น “บุตรดาวิด” โดยทางท่าน
มัทธิวเพียงต้องการให้เราเห็นข้อเท็จจริงว่าโยเซฟนั้นเป็นผู้ “มีธัมมะ” (1:19) แน่นอนท่านเป็นเช่นนั้น ผมกลัวว่าพวกเราจะมองไม่เห็นถึงบทบาทสำคัญที่โยเซฟมีต่อพระเยซูในวัยเยาว์ เราไม่ควรมองข้ามเรื่องนี้ ดูเหมือนเป็นที่เข้าใจว่านางมารีย์อายุยังน้อยเมื่อมีพระเยซู – อาจในวัยรุ่น และโยเซฟนั้นอายุมากกว่า (เข้าใจกันว่าท่านเสียชีวิตก่อนพระเยซูเสด็จออกทำพันธกิจ) ผมเชื่อว่าโยเซฟมีธัมมะในใจพอ ท่านเสนอขอถอนหมั้นนางมารีย์อย่างลับๆ แทนที่จะเอาเรื่องเอาราวกับเธอทางข้อกฎหมาย เมื่อเดือนที่แล้วท่านนายกเทศมนตรีอิลลินอยส์ จอร์จ ไรอัน ยกโทษให้นักโทษประหารถึงสี่คน และบางคนลดโทษให้เหลือแค่จำคุกตลอดชีวิต ที่ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อมีการสอบสวนกันอย่างรอบคอบ พบว่านักโทษบางคนบริสุทธิ์ และคนที่ทำผิดจริงถูกนำตัวมาลงโทษ ไรอันกล่าวเมื่อถูกวิจารณ์ว่า “ท่านทำในสิ่งที่กล้าหาญมาก” แต่ท่านกลับพูดว่ามันเป็นเพียง “ทำในสิ่งที่ถูกต้อง”
โยเซฟคงรู้จักนางมารีย์เป็นอย่าง ดี ; รู้พื้นเพว่าเธอเป็นคนอย่างไร ดำเนินชีวิตอย่างบริสุทธิ์และซื่อตรง เธอคงบอกโยเซฟว่า เธอไม่เคยมีสัมพันธ์กับชายใด และแน่ๆเล่าเรื่องทูตสวรรค์ที่มาพบและการตอบสนองของเอลีซาเบธ เรื่องที่มารีย์เล่าฟังดูเหลือเชื่อ จนทำให้โยเซฟคิดสงสัย …….ในความมีธัมมะของท่าน ท่านไม่ยอมให้เรื่องนี้รู้ถึงมือกฎหมาย เพราะเป็น เรื่องคอขาดบาดตาย ท่านยอมให้นางมารีย์ดำเนินชีวิตต่อไปอย่างเงียบๆ คอยเวลาที่ความจริงเปิดเผย เพื่อยืนยันตามคำบอกเล่าของนาง ผมคาดเดาไปเองหรือเปล่า? น่าจะใช่ แต่อยากจะบอกว่า มัทธิวบอกเราตั้งแต่ต้นว่าโยเซฟเป็นคนมีธัมมะ เพราะเหตุนี้ผมจึงคิดว่าสิ่งที่โยเซฟทำเพื่อนางมารีย์นั้น เป็นเพราะความมีธัมมะของท่าน
ต้องเป็นคนมีธัมมะในใจ และมีความเชื่อมากพอ จึงจะเชื่อคำพูดของทูตสวรรค์ในความฝันได้ว่านางมารีย์ตั้งครรภ์โดยเดชของ พระวิญญาณบริสุทธิ์ ต้องเป็นคนมีธัมมะพอที่จะรับหญิงตั้งครรภ์นี้มาเป็นภรรยา โดยที่ทุกคนคิดว่าท่านเป็นบิดาของเด็ก แลดูเหมือนทั้งคู่ทำบาปก่อนแต่งงาน ต้องเป็นคนที่สงบและมีความมั่นคงในจิตใจ พอที่จะจัดการกับสถานการณ์อันเจ็บปวดนี้ ได้ และพร้อมรับเรื่องอื่นๆที่จะตามมา เมื่อพระเยซูถือกำเนิด (ไม่ว่าการเดินทางไปเบธเลเฮม ไม่มีที่พักอาศัย) โยเซฟยอม เสี่ยงภัย ทิ้งประเทศอิสราเอล นำครอบครัวไปหลบภัยในประเทศอียิปต์ ท่านใช้สติปัญญา และเชื่อฟังการทรงนำของพระเจ้า ผ่านทางนิมิตที่มีมาหลายครั้ง พระเจ้าทรงมีพระคุณอย่างเหลือล้นที่จัดเตรียมคนเช่นนี้ให้กับนางมารีย์ เพื่อให้นางมั่นใจและสบายใจ เพื่อให้นางมีที่ปรึกษา มีผู้คอยคุ้มครองดูแลนางและบุตรที่กำลังเกิดมา!
ประการที่สอง มัทธิวมีความรอบคอบเป็นอย่างยิ่ง ที่ประกาศถึงการกำเนิดอันบริสุทธิ์ของพระเยซู ใน ข้อ 1-17 มัทธิวแสดง ให้เห็นต้นกำเนิดเชื้อสายของพระเยซู ซึ่งผ่านมาทางอับราฮัมและดาวิด ตอนนี้มัทธิวกำลังแสดงให้เห็นชัดว่าพระเยซูไม่ได้เป็น เพียงมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าด้วย ความเป็นพระเจ้าของพระองค์ทำให้คำพยากรณ์ของอิสยาห์เกิดขึ้น เป็นจริง (อิสยาห์ 7:14, นำมาอ้างในมัทธิว 1:23) ทูตสวรรค์เองก็ประกาศถึงความเป็นพระเจ้าของพระองค์ ที่นางมารีย์ตั้งครรภ์ ทูตสวรรค์ประกาศว่าไม่ใช่เป็นเพราะมนุษย์คนใด แต่เป็นโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ (ข้อ 20-21) การประกาศว่าโยเซฟ มิใช่เป็นบิดาที่แท้จริงของพระเยซูนั้น กระทำด้วยความนุ่มนวลแต่ชัดเจน
ประการที่สาม ในพระคำตอนนี้ มัทธิวอธิบายถึงพระลักษณะและพระราชกิจขององค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยชื่อสองชื่อ ในลำดับ พงศ์ข้อ 1-17 มัทธิวโยงพระเยซูเข้ากับบุคคลสำคัญสองท่านในพระคัมภีร์เดิม : อับราฮัมและดาวิด พระเยซูทรงเป็น “บุตร ดาวิด” และทรงเป็น “บุตรของอับราฮัม” ด้วย ดังนั้นพันธสัญญาของทั้งอับราฮัมและของดาวิด จึงสำเร็จลงอย่างสมบูรณ์ ต่อมาในข้อ 18-25 มัทธิวอธิบายถึงพระบุคคลของพระเยซูคริสต์และพระราชกิจของพระองค์ โดยชื่อสองชื่อของพระองค์ : (1) เยซู (โยชูวา = ยาเวห์ทรงกู้); และ (2) อิมมานูเอล (“พระเจ้าอยู่ด้วยกับเรา“)
ชื่อนี้มีความหมายมากเพียงใด? มากครับ! สำหรับชาวยิวแล้วชื่อแต่ละชื่อมีความหมายและสำคัญจนเรานึกไม่ถึง “อับราม” แปลว่า “บิดาผู้สูงส่ง” ส่วน “อับราฮัม” แปลว่า “บิดาของผู้คนมากมาย” พระเยซูทรงตั้งชื่อซีโมนว่า “เปโตร” หรือ “เปตรอส” แปลว่าศิลา ชื่อของพระเยซูบ่งถึงพระลักษณะและพระราชกิจของพระองค์ คำว่าเยซูมาจากภาษาฮีบรู โยชูวา แปลว่า “พระเยโฮวาห์เป็นความรอด” ตามที่ทูตสวรรค์แจ้งแก่โยเซฟ ว่าเด็กที่จะเกิดแก่นางมารีย์นั้น จะมีนามว่า “เยซู” “เพราะว่าท่านเป็นผู้ที่จะโปรดช่วยชนชาติของท่านให้รอดจากความผิดบาปของเขา” (มัทธิว 1:21) พระเยซูทรงเป็นหนทาง ความรอดของพระเจ้า เป็นผู้ที่พระเจ้าจะทำให้แผนการความรอดเพื่อคนบาปทั้งหลายสำเร็จลง พระองค์ทรงเป็นผู้เดียว ที่มีคุณสมบัติพอสำหรับพระราชกิจนี้ เพราะพระองค์ทรงเป็นทั้งพระเจ้าและมนุษย์ ทรงปราศจากบาป จึงทรงเป็น “ลูกแกะ ของพระเจ้า” ที่สมบูรณ์ ไร้ตำหนิ การสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ไม่ใช่เป็นเพราะบาปของพระองค์ แต่เป็นบาปของเรา ทุกครั้งที่เราฉลองพิธีมหาสนิท เรากำลังนมัสการพระเยซูผู้เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นผู้ช่วยกอบกู้เราให้พ้นจากโทษความผิดบาป
พระเยซูทรงถูกเรียกอีกด้วยว่าเป็น องค์ “อิมมานูเอล” ตามคำพยากรณ์ของอิสยาห์ 7:14 เราไม่มีเวลาพอที่จะเจาะเรื่องนี้ เป็นไปได้ว่าอิสยาห์เองยังไม่เข้าใจในสิ่งที่ท่านพยากรณ์ ว่าหมายถึงพระเมสซิยาห์ที่จะเสด็จมาในอนาคต (ดู 1เปโตร 1:10-12) ตามข้อพระคำในพระคัมภีร์เดิมที่มัทธิวยกมา ยังเห็นไม่ชัดเจน เหมือนยังมีม่านบัง ถึงพระราชกิจของพระเมสซิยาห์ ซึ่งกินความหมายลึกซึ้งกว้างไกลกว่าจะบรรยายเป็นคำพูดได้ ส่วนมากสิ่งที่เป็นเหมือนม่านบัง จะไม่มีใครมองทะลุได้หมด จนพระราชกิจของพระคริสต์สำเร็จลง โดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ “อิมมานูเอล” แปลว่า “พระเจ้าอยู่ด้วยกับเรา” ในการลง มาบังเกิด พระเจ้าเสด็จเข้ามาในโลกนี้ มารับสภาพเนื้อหนัง อยู่ท่ามกลางมนุษย์ ท่านยอห์นพูดถึงเรื่องนี้ไว้อย่างสวยงามว่า :
พระวาทะได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และทรง อยู่ท่ามกลางเรา บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง เราทั้งหลายได้เห็นพระสิริของพระองค์ คือพระสิริอันสมกับพระบุตรองค์เดียวของพระบิดา ยอห์น ได้เป็นพยานให้แก่พระองค์ และร้องประกาศว่า “นี่แหละคือพระองค์ผู้ที่ข้าพเจ้าได้กล่าวถึงว่าพระองค์ผู้ เสด็จมาภายหลังข้าพเจ้าทรงเป็นใหญ่กว่าข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนข้าพเจ้า” และ เราทั้งหลายได้รับจากความบริบูรณ์ของพระองค์ เป็นพระคุณซ้อนพระคุณ เพราะว่าพระเจ้าได้ทรง ประทานธรรมบัญญัตินั้นทางโมเสส ส่วนพระคุณและความจริงมาทางพระเยซูคริสต์ ไม่มีใครเคยเห็น พระเจ้าเลย พระบุตรองค์เดียวผู้ทรงสถิตอยู่ในพระทรวงของพระบิดา พระองค์ได้ทรงสำแดงพระเจ้าแล้ว (ยอห์น 1:14-18)
การสถิตอยู่ของพระเจ้าท่ามกลางเรา ไม่ใช่แป็นเวลาแค่สามสี่ปีที่พระเยซูทำพันธกิจบนที่โลก ถ้อยคำสุดท้ายของพระกิตติคุณ มัทธิว ทำให้ผู้อ่านมั่นใจว่าพระองค์จะสถิตกับเรา จนถึงสิ้นยุค :
พระเยซูจึงเสด็จเข้ามาใกล้แล้วตรัสกับเขา ว่า “ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดี ทรงมอบไว้แก่เราแล้ว เหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้ นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค” (มัทธิว 28:18-20)
ด้วยเหตุที่พระองค์ทรงยัง “อยู่กับเรา” พระองค์ทรงส่งพระวิญญาณของพระองค์ มาอยู่ท่ามกลางเรา และภายในเรา :
เราจะทูลขอพระบิดา และพระองค์จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้แก่ท่าน เพื่อจะได้อยู่กับท่านตลอดไป คือพระวิญญาณแห่งความจริง ซึ่งโลกรับไว้ไม่ได้ เพราะแลไม่เห็นและไม่รู้จักพระองค์ ท่านทั้งหลาย รู้จักพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสถิตอยู่กับท่าน และจะประทับอยู่ในท่าน (ยอห์น 14:16-17)
สำหรับพวกเรา บ่อยครั้งหลงลืมความสำคัญของ “อิมมานูเอล” ไป เมื่อไม่นานมานี้ผมกลับไปอ่านพระคัมภีร์เดิมห้าเล่มแรกอีกครั้ง ทึ่งครับ กับสิ่งที่ธรรมิกชนในยุคพระคัมภีร์ใหม่ได้รับ การมีประสบการณ์ความชื่นชมยินดี ความรู้สึกปลอดภัย ใน “การสถิตอยู่กับเรา” ของ พระองค์ ชนิดที่ธรรมิกชนในพระคัมภีร์เดิมไม่มีโอกาสได้รับ ลองคิดถึงความต่างของธรรมิกชนใน ยุคพระคัมภีร์เดิม เช่นเรื่อง “ระยะทาง” และความเป็นอยู่ของคนในยุคนั้น:
พระเจ้าเสด็จลงมาบนยอดภูเขาซีนาย พระเจ้าทรงเรียกโมเสสให้ขึ้นไปบนยอดเขา โมเสสก็ขึ้นไป พระเจ้าตรัสสั่งโมเสสว่า “เจ้าจงลงไปกำชับประชาชน เกรงว่าเขาจะล่วงล้ำเข้ามาถึงพระเจ้า เพราะอยาก เห็น แล้วเขาจะพินาศเสียเป็นจำนวนมาก อีกประการหนึ่ง พวกปุโรหิต ที่เข้ามาเฝ้าพระเจ้า นั้นให้เขาชำระตัวให้บริสุทธิ์ ด้วยเกรงว่าพระเจ้าจะทรงพระพิโรธลงโทษเขา” ฝ่ายโมเสสกราบทูล พระเจ้าว่า”ประชาชนขึ้นมาบนภูเขาซีนายไม่ได้ เพราะพระองค์ทรงสั่งข้าพระองค์ทั้งหลายว่า ‘จงกั้น เขตรอบภูเขานั้น ชำระให้เป็นที่บริสุทธิ์’” พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า “ลงไปเถิด แล้วกลับขึ้นมาอีก พาอาโรนขึ้นมาด้วย แต่อย่าให้พวกปุโรหิตและประชาชนล่วงล้ำขึ้นมาถึงพระเจ้า เกรงว่าพระองค์จะลงโทษเขา” โมเสสก็ลงไปบอกประชาชนตามนั้น (อพยพ 19:20-25)
ในอพยพ 32 ชาวอิสราเอลทำบาปใหญ่หลวงเมื่อโมเสสไม่อยู่ พวกเขายุให้อาโรนทำวัวทองคำ และเริ่มนมัสการมัน พระเจ้า ประสงค์จะกำจัดคนอิสราเอลให้หมดสิ้น และสร้างพงศ์พันธ์ขึ้นมาใหม่โดยทางโมเสส เมื่อโมเสสเข้ามาช่วยกู้สถานการณ์ พระเจ้าทรงยอมให้ โดยส่งทูตสวรรค์มานำคนอิสราเอลไปยังดินแดนพันธสัญญา แต่พระองค์ตรัสว่าจะไม่ไปด้วยเพราะ เหตุว่า:
เราจะใช้ทูตผู้หนึ่งนำหน้าเจ้าไปและจะไล่ คนคานาอัน คนอาโมไรต์ คนฮิตไทต์ คนเปริสซี คนฮีไวต์ คนเยบุส ออกเสียจากที่นั่น จงนำไปถึงแผ่นดินซึ่งมีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ แต่เราจะไม่ขึ้นไปกับพวกเจ้า เกรงว่าเราจะทำลายล้างพวกเจ้าเสียกลางทาง เพราะว่าเจ้าเป็นชนชาติที่หัวแข็ง” (อพยพ 33:2-3)
แต่แล้วพระเจ้าก็ยอมไปด้วย พระองค์ทรงสถิตอยู่ท่ามกลางประชากรของพระองค์ ในอภิสุทธิสถานในพลับพลา ถึงกระนั้น ก็ยังมีสิ่งที่ขวางกั้นระหว่างมนุษย์และพระเจ้า ม่านในพลับพลา ที่ปุโรหิตใช้กั้น แยกประชากรอิสราเอล ออกจากพระเจ้า :
ให้คนอิสราเอลตั้งเต็นท์ตามที่ของตนแต่ละ พวก และแต่ละคนตามค่ายของตน และแต่ละคนตามธงเผ่าของตน แต่ให้คนเลวีตั้งเต็นท์รอบพลับพลาพระโอวาท เพื่อมิให้พระพิโรธเกิดเหนือชุมนุมชนอิสราเอล ให้เผ่าเลวีปฏิบัติ งานพลับพลาพระโอวาท” (กันดารวิถี 1:52-53)
มนุษย์ไม่อาจเข้าเฝ้าพระเจ้าได้ โดยไม่มีเครื่องถวายบูชา ถึงกระนั้นก็ยังมีขอบเขตในการเข้าเฝ้า ช่างแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับเมื่อพระเยซูถือกำเนิดขึ้นมาในโลกนี้ :
ซึ่งมีตั้งแต่ปฐมกาล ซึ่งเราได้ยิน ซึ่งเราได้เห็นกับตา ซึ่งเราได้พินิจดู และจับต้องด้วยมือของเรานั้น เกี่ยวกับพระวาทะแห่งชีวิต (และชีวิตนั้นได้ปรากฏ และเราได้เห็น และเป็นพยาน และประกาศชีวิต นิรันดร์นั้นแก่ท่านทั้งหลาย ชีวิตนั้นได้ดำรงอยู่กับพระบิดาและได้ปรากฏแก่เราทั้งหลาย) (1ยอห์น 1:1-2)
เรามาโบสถ์ด้วยความแน่ใจว่าพระเจ้าสถิตอยู่ เราไม่ต้องนำเครื่องเผาบูชามาถวาย เราไม่ถูกกำจัดขอบเขตการเข้าเฝ้า และขณะที่พระเจ้าอยู่กับเราในโบสถ์ พระองค์สถิตอยู่ในเราเสมอโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และจะอยู่ต่อไปจนสิ้นยุค ผู้ที่ช่วยกู้เรา คือผู้ที่อยู่ติดสนิทกับเรา และพระองค์สัญญาว่าจะไม่ทอดทิ้งเราเลย :
ท่านจงอย่าเป็นคนเห็นแก่เงิน จงพอใจในสิ่งที่ท่านมีอยู่ เพราะว่าพระองค์ได้ตรัสว่า เราจะไม่ละท่าน หรือทอดทิ้งท่านเลย เหตุฉะนั้นเราทั้งหลายอาจกล่าวด้วยใจเชื่อมั่นว่า องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงเป็นพระ ผู้ช่วยของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่กลัว มนุษย์จะทำอะไรแก่ข้าพเจ้าได้เล่า? (ฮีบรู 13:5-6)
เราไม่เห็นจะต้องกลัวเมื่ออยู่ ใกล้องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราอย่างที่ธรรมิกชนในพระคัมภีร์เดิมเคยเป็น ในพระคริสต์เรามีหน ทางเข้าเฝ้าพระเจ้า และเราสามารถเข้าไปด้วยใจกล้าหาญ :
เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย เมื่อเรามีใจกล้าที่จะเข้าไปสู่สถานศักดิ์สิทธิ์โดยพระโลหิตของพระเยซู ตามทางใหม่และเป็นทางที่มีชีวิต ซึ่งพระองค์ได้ทรงเปิดออกให้เราผ่านเข้าไปทางม่านนั้น คือทาง พระกายของพระองค์ และเมื่อเรามีปุโรหิตใหญ่เหนือหมู่คนของพระเจ้าแล้ว ก็ให้เราเข้าไปใกล้ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ด้วยไว้ใจเต็มที่ มีใจที่ได้รับการทรงชำระให้สะอาดแล้ว และมีกายที่ล้างชำระด้วยน้ำ บริสุทธิ์ ขอให้เรายึดมั่นในความหวังที่เราทั้งหลายเชื่อและรับไว้นั้น โดยไม่หวั่นไหว เพราะว่าพระองค์ผู้ทรงประทานพระสัญญานั้นทรงสัตย์ซื่อ และขอให้เราพิจารณาดูว่า จะทำอย่างไร จึงจะ ปลุกใจซึ่งกันและกันให้มีความรักและทำความดี อย่าขาดการประชุมเหมือนอย่างบางคนที่ขาดอยู่นั้น แต่จงพูดหนุนใจกันให้มากยิ่งขึ้น เพราะท่านทั้งหลายก็รู้อยู่ว่าวันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว (ฮีบรู 10:19-25)
คิดดูดีๆ ผู้ที่ช่วยมนุษย์ให้พ้นจากความผิดบาป สัญญาว่าจะอยู่ท่ามกลางเรา และอยู่กับเรา เป็นได้อย่างไรกัน? เราจะสัมผัสถึงการช่วยกู้ และการทรงอยู่กับเราได้อย่างไร? โดยทางพระเยซูคริสต์เท่านั้น เราต้องสารภาพบาปผิดของเรา และวางใจในองค์พระเยซู ว่าพระองค์ทรงโปรดยกโทษให้ เราต้องรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด และเมื่อนั้นพระองค์จะทรงช่วยเรา และสถิตอยู่กับเรา คุณรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยแล้วหรือยัง? พระองค์สถิตอยู่กับคุณและภายในคุณหรือยัง? นี่เป็นพระ ราชกิจที่พระองค์เสด็จมากระทำบนโลกนี้ ผมภาวนาขอให้คุณมีโอกาสรู้จักพระองค์ ได้ต้อนรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด และเป็นผู้อยู่เคียงข้างคุณตลอดไป
โดย : Robert L (Bob) Deffinbaugh
ได้รับอนุญาตและเป็นลิขสิทธิของ https://bible.org/
แปล : อรอวล ระงับภัย (Church of Joy)
1 เป็นลิขสิทธิ์ของ (Copyright © 2003) Community Bible Chapel, 418 E. Main Street, Richardson, TX 75081. บทเรียนพระธรรมมัทธิวบทนี้ (Studies in the Gospel of Matthew ) จัด เตรียมโดย Robert L. Deffinbaugh เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2003 สามารถนำไปใช้เพื่อการศึกษาเท่านั้น ทางคริสตจักรของเราเชื่อว่าบทเรียนเหล่านี้ ถูกต้องตรงตามพระ วจนะคำทุกประการ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาเพิ่มเติม ไม่มีการหวงห้ามถ้าต้องการใช้สำหรับการเรียนการสอนพระวจนะ เป็นงานของ Community Bible Chapel.
2 นอกจากที่กล่าวไปแล้ว พระวจนะที่นำมาอ้างอิงทั้งหมดมาจาก NET Bible (The NEW ENGLISH TRANSLATION) เป็นฉบับแปลใหม่ทั้งหมด ไม่ใช่นำฉบับเก่าในภาษาอังกฤษมาเรียบเรียงใหม่ ใช้ผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการพระคัมภีร์มากกว่า ยี่สิบคน รวบรวมข้อมูล ทั้งจากภาษาฮีบรูโดยตรง ภาษาอาราเมข และภาษากรีก โครงการแปลนี้เริ่มมาจากที่เราต้องการนำพระคัมภีร์ เผยแพร่ผ่านสื่ออีเลคโทรนิค เพื่อรองรับการใช้งานทางอินเตอร์เน็ท และซีดี (compact disk) ที่ใดก็ตามในโลก ที่ต่อเข้าอินเตอร์เน็ทได้ ก็สามารถเรียกดู และพริ้นทข้อมูลไว้เพื่อใช้ศึกษาเป็นการส่วนตัวได้โดยไม่คิดมูลค่า นอกจากนี้ ผู้ใดก็ตาม ที่ต้องการนำข้อมูลเกี่ยวกับพระคัมภีร์ไปเผยแพร่ต่อโดยไม่คิดเงิน สามารถทำได้จากเว็บไซด์ : www.netbible.org.
3 อ้างจากข้อเขียนของ Michael Green, Matthew For Today: Expository Study of Matthew (Dallas, Texas: Word Publishing, 1989), p. 37.
4 อ้างจากข้อเขียนของ James Montgomery Boice, The Gospel of Matthew (Grand Rapids, Michigan: Baker Books, 2001), vol. 1, p. 16.
5 จาก Boice, p. 16, citing J. Gresham Machen, The Virgin Birth of Christ (1930; reprint, London: James Clarke, 1958), p. 209.
6 จาก Boice, p. 17.
7 ทอม ไรท์ เพื่อนของผมชี้ข้อสังเกตุนี้ให้เห็น หลังจากที่ผมได้เทศนาพระธรรมตอนนี้ไปแล้ว
8 จาก Fredrick Dale Bruner, The Christbook: A Historical/Theological Commentary (Waco, Texas: Word Books, 1987), vol. 1, p. 6.
9 อย่าลืมว่ายูดาห์เองยังสารภาพว่าทามาร์นั้น “ชอบธรรมยิ่งกว่าเรา” (ปฐก. 38:26) บัทเชบาตกเป็นเหยื่อ มากกว่า จะเป็นผู้ล่อลวง (2 ซมอ. 12:1-4) และราหับมีชื่ออยู่ใน “ทำเนียบผู้เชื่อ” (ฮีบรู 11:31).
10 จาก Bruner, p. 6.
11 อย่างที่นาธานาเอลกล่าวไว้ (และต่อมามัทธิวก็แสดงให้เราเห็น) ว่าพระเยซูทรงเป็น “บุตรพระเจ้า” ดังนั้นพระองค์จึงเป็น “กษัตริย์ของอิสราเอล” (ยอห์น 1:49).
12 ผู้อ่านคงพอรู้สึกว่าผม “ยึดติด” กับข้อสังเกตูของนักวิชาการหลายต่อหลายคน จนทำให้เกิดเป็นข้อสรุปข้อที่หก
13 จาก James Montgomery Boice, vol. 1, p. 15.
14 จาก M ichael Green, p. 37.
15 J. จากผู้เขียนชื่อ Sidlow Baxter, Explore the Book (Grand Rapids, Michigan: Zondervan Publishing House, 1960), Six volumes in one, vol. 5, p. 148.
16 จาก Bruner p. 13.
17 ผมรู้สึกดีใจที่บรูเนอร์ตั้งข้อสังเกตุนี้ ท่านยังชี้ให้เป็นอีกว่ารายชื่อตอนที่สามนี้มีแค่ 13 ชื่อ ไม่ใช่ 14 ผมคงต้องขอคิดแตก ต่างจากบรูเนอร์ในเรื่องนี้ เพราะมัทธิวเองเป็นปุถุชน อาจมีข้อบกพร่องบ้างเช่นเดียวกับเราทั้งหลาย ตามมุมมองของผม เราไม่ควรด่วนสรุปเอาเองเรื่องการดลใจและข้อผิดพลาด ยอห์น มอร์เรอ เพื่อนสนิทของผมเคยกล่าวไว้ว่า : “มัทธิวนั้นเป็นคนเก็บภาษี เขาต้องนับเลขเป็น” ผมคิดว่ามีคำตอบสำหรับเรื่องนี้ ซึ่งไม่ใช่ข้อผิดพลาดของมัทธิว
18 จาก Bruner, p. 4.
19 จาก Bruner, p. 13.
Related Topics: Incarnation
2. การเดินทางแสนมหัศจรรย์ทั้งสอง (มัทธิว 2:1-23)
Related Mediaมัทธิว 2:1-231
พระเยซูได้ทรงบังเกิดที่บ้านเบธเลเฮ มแคว้นยูเดียในรัชกาลของกษัตริย์เฮโรด ภายหลังมีพวก โหราจารย์จากทิศตะวันออกมายังกรุงเยรูซาเล็มถามว่า “กุมารผู้ที่บังเกิดมาเป็นกษัตริย์ของ ชนชาติยิวนั้นอยู่ที่ไหน เราได้เห็นดาวของท่านปรากฏขึ้น เราจึงมาหวังจะ นมัสการท่าน” ครั้นกษัตริย์เฮโรด ได้ยินดังนั้นแล้ว ก็วุ่นวายพระทัย ทั้งชาวกรุงเยรูซาเล็ม ก็พลอยวุ่นวายใจไปด้วย แล้วท่านให้ประชุมบรรดามหาปุโรหิตกับพวกธรรมาจารย์ ของประชาชนตรัสถามเขาว่า “ผู้เป็นพระคริสต์นั้น จะบังเกิดแห่งใด” เขาทูลว่า “ที่บ้านเบธเลเฮมแคว้นยูเดีย เพราะว่าผู้เผยพระ วจนะได้เขียนไว้ดังนี้ว่า บ้านเบธเลเฮม ในแผ่นดินยูเดีย จะ เป็นบ้านเล็กน้อยที่สุด ในสายตาของบรรดาผู้ครองแผ่นดินยูเดีย ก็หามิได้ เพราะว่าเจ้านายคนหนึ่งจะออกมาจากท่านผู้ซึ่งจะครอบครองอิสราเอล ชนชาติของเรา” แล้วเฮโรดจึงเชิญพวกโหราจารย์เข้ามาเป็นการลับ ถามเขาได้ความถ้วนถี่ถึงเวลาที่ดาวนั้นได้ ปรากฏขึ้น แล้วท่าน ได้ให้ พวกโหราจารย์ ไปยังบ้านเบธเลเฮมสั่งว่า “จงไปค้นหากุมาร นั้นเถิด เมื่อพบแล้วจงกลับมาแจ้งแก่เรา เพื่อเรา จะได้ไปนมัสการท่านด้วย” โหราจารย์ เหล่านั้นจึงไปตามรับสั่ง และดาวซึ่งเขาได้เห็นเมื่อ ปรากฏขึ้นนั้นก็ได้นำหน้าเขาไป จนมาหยุดอยู่เหนือ สถานที่ที่กุมารอยู่นั้น เมื่อพวกโหราจารย์ ได้เห็นดาวนั้นแล้ว ก็มีความยินดี ยิ่งนัก ครั้นเข้าไป ในเรือนก็พบกุมารกับนางมารีย์มารดา จึงกราบถวายนมัสการกุมารนั้น แล้วเปิดหีบหยิบทรัพย์ของ เขาออกมาถวายแก่กุมาร เป็นเครื่อง บรรณาการ คือ ทองคำ กำยาน และมดยอบ แล้วพวก โหราจารย์ได้ยินคำเตือนใน ความฝัน มิให้กลับไปเฝ้าเฮโรด เขาจึงกลับไปยังเมืองของตนทางอื่น ครั้นเขาไปแล้วก็มีทูตองค์หนึ่งของพระเป็นเจ้า ได้มาปรากฏแก่โยเซฟในความฝันแล้วบอกว่า “จงลุกขึ้นพากุมารกับมารดาหนี ไปประเทศอียิปต์ และคอยอยู่ที่นั่นจนกว่าเราจะบอกเจ้าเพราะ ว่าเฮโรดจะแสวงหากุมาร เพื่อจะประหารชีวิตเสีย” ในเวลากลางคืนโยเซฟจึงลุกขึ้น พากุมาร กับมารดาไปยังประเทศอียิปต์ และได้อยู่ที่นั่นจนเฮโรดสิ้นพระชนม์ ทั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อจะให้สำเร็จ ตามพระวจนะของพระเป็นเจ้า ซึ่ง ได้ตรัสไว้โดยผู้เผยพระวจนะว่า เราได้เรียกบุตรของเราให้ออก มาจากอียิปต์ ครั้นเฮโรดเห็นว่าพวกโหราจารย์หลอกท่าน ก็กริ้วโกรธยิ่งนัก จึงใช้คนไปฆ่าเด็กผู้ชายทั้งหลาย ใน บ้านเบธเลเฮม และที่ใกล้เคียงทั้งสิ้น ตั้งแต่อายุสองขวบลงมา ซึ่งพอดีกับเวลาที่ท่านได้ทราบ จากพวกโหราจารย์นั้น ครั้งนั้นก็สำเร็จตามพระวจนะที่ตรัสโดยเยเรมีย์ ผู้เผยพระวจนะว่า ได้ ยินเสียงในหมู่บ้านรามาห์ เป็นเสียงโอดครวญและร่ำไห้ คือนางราเชลร้อง ไห้คร่ำครวญเพราะบุตรทั้งหลายของตน นางไม่รับฟังคำปลอบเล้าโลม เพราะบุตรทั้งหลาย นั้นไม่มีแล้ว ครั้นเฮโรดสิ้นพระชนม์แล้ว ทูตองค์หนึ่ง ของพระเป็นเจ้ามาปรากฏในความฝันแก่โยเซฟที่ประเทศอียิปต์สั่งว่า “จงลุกขึ้น พากุมารกับมารดามายังแผ่นดินอิสราเอล เพราะผู้ที่เป็นภัยต่อชีวิตของกุมารนั้นตายแล้ว” โยเซฟจึงลุกขึ้น พากุมารกับมารดามายัง แผ่นดินอิสราเอล แต่เมื่อได้ยินว่า อารเคลาอัสครอบ ครองแคว้นยูเดียแทนเฮโรดผู้เป็นบิดา จะไปที่นั่นก็กลัว และเมื่อได้ทราบคำเตือนใน ความฝัน จึงเลยไปยังแคว้นกาลิลี ไปอาศัยในเมืองหนึ่งชื่อนาซาเร็ธ เพื่อจะสำเร็จตามพระวจนะ ซึ่งตรัส โดยผู้เผยพระวจนะ เขาจะเรียก ท่านว่าชาวนาซาเร็ธ2
คำนำ
หลายปีมาแล้วผมทำพิธีศพให้หญิงชราท่านหนึ่ง (ขอเรียกชื่อว่าซาร่าห์แล้วกัน) เธอเติบโตในโอคลาโฮมา สมัยยังสาวบิดามารดาของเธอมีส่วนในการเข้ายึดครองที่ดินของโอคลาโฮมาในยุค บุกเบิก ในสมัยนั้นคนอเมริกันกับคนพื้นเมืองดั้งเดิมเป็นปฏิปักษ์กัน แม้พิธีศพนี้นานมาแล้ว แต่ผมยังจำได้ ถึงเรื่องที่น้องสาวของซาราห์เล่าให้ฟัง
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ผู้คนยังสัญจรไปมาด้วยรถม้า ซาราห์มีลุงคนหนึ่งเป็นนักผจญภัย และอยากไปเห็นภูเขาไพค์พีกในโคโรราโดเป็นที่สุด คุณลุงจึงขนครอบครัวรวมทั้งซาราห์ด้วย ขึ้นรถม้ามุ่งไปยัง โคโรราโด เท่าที่จำได้การเดินทางครั้งนั้นกินเวลาเกือบปี คุณนึกภาพออกมั้ย เดินทางไปโคโรราโดด้วยรถม้าที่ปิดแทบทุกด้าน มีปฎิปักษ์เป็นพวกอินเดียนแดง เป็นการเดินทางที่ยาวไกลและเสี่ยงภัยมาก ผมแทบไม่อยากนึกเลย โดยเฉพาะต้องปีนขึ้นเขาด้วยรถม้า และที่น่าหวาดเสียวกว่าคือ “ลง” จากภูขาด้วยรถม้า!!
สำหรับผม เรื่องย้อนยุคตั้งแต่ ค.ศ. 1800 น่าจะใกล้เคียงกับการเดินทาง “มหัศจรรย์” ของพวกโหราจารย์ที่สุด เหล่าโหราจารย์เดินทางจากตะวันออกไกลไปเบธเลเฮมและกลับ คงกินเวลาหลายเดือน นักผจญภัยเหล่านี้จากบ้านและครอบครัวมา ฝ่าฟันอันตรายสารพัดแบบ รวมทั้งพวกโจรด้วย พวกเขาเป็นคนมั่งคั่ง ขบวนคาราวานเป็นตัวบอกได้ดีถึงฐานะ แถมขนสัมภาระมีค่ามาด้วย : ทองคำ กำยาน และมดยอบ ติดตามดาวประหลาดมา จนถึงเขตปกครองของเฮโรด ผู้มีทั้งอำนาจและความโหดเหี้ยม
เรื่องนี้ไม่ใช่เป็นแค่การผจญภัยมหัศจรรย์เท่านั้น พระกิตติคุณมัทธิวบทที่ 2 พูดถึงการเดินทางของโยเซฟ มารีย์ และพระกุมาร จากเบธเลเฮมไปประเทศอียิปต์ ไม่มีเวลาเตรียมการใดๆ หยิบของได้ไม่กี่ชิ้น รีบหนีไปอย่างเร่งรีบ เพื่อให้พ้นจากเงื้อมมือของเฮโรดที่มุ่งสังหารทารกทุกคน และเมื่อเวลาเสี่ยงภัยผ่านพ้น ไป ยังต้องอพยพกลับสู่บ้านเกิด
เรื่องราวการเดินทางมหัศจรรย์นี้บันทึกอยู่ในมัทธิวบทที่ 2 ปัญหาของพวกเราคือ เรื่องเล่าพวกนี้ ได้ยินจนชินหู เลยไม่เคยกลับมาคิดย้อนดู ที่จริงแล้วมีคุณค่ามากมายที่เราต้องใส่ใจศึกษา ขอเริ่มด้วยการตั้งข้อสังเกตบางประการในคำบอกเล่าของมัทธิว หลังจากนั้นจะมุ่งไปที่บุคคลโดดเด่นสามคนในพระวจนะตอนนี้ : โหราจารย์ – เฮโรดกับชาวยิวในเยรูซาเล็ม – และพระกุมารเยซู
ข้อสังเกต
(1) มัทธิวใส่ใจที่จะหลีกเลี่ยงเรื่องตื่นเต้นต่างๆ ถ้าเป็นสมัยนี้ ท่านคงเป็นนักข่าวตกงาน เพราะทำเรื่องตื่นเต้นให้เป็นเรื่องธรรมดา ท่านไม่พยามเติมสีใส่ไข่ในเรืองที่เขียน แถมยังหลีกเลี่ยงรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่ทำให้ตื่นเต้นสมจริงด้วย ตัวอย่างเช่น การเดินทางเพื่อหนีไปที่อียิปต์ ต้องมีเรื่องอัศจรรย์เกิดขึ้นระหว่างทางมากมายแน่ :
หนังสือเรื่องพระเยซูฉบับอาโปรคริปปา เขียนขึ้นหลายปีหลังหนังสือพระกิตติคุณในพระคัมภีร์ เล่าเรื่องแปลกๆมากมายเกี่ยวกับการเดินทางหนีไปประเทศอียิปต์ของครอบครัวนี้ เช่นเล่าว่าเมื่อก้าวเท้าเข้าสู่แผ่นดินอียิปต์ มีดอกไม้ผุดขึ้นมารองรับ ; ต้นหมากรากไม้โน้มกิ่งลงแสดงความเคารพ สัตว์ป่าวิ่งมาต้อนรับอย่างเป็นมิตร3
(2) มัทธิวตัดทอนเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่เราๆท่านๆอยากรู้ออกไปเกือบหมด ทำให้มีคำถามเกิดขึ้น ที่จริงแล้วเราไม่รู้จำนวนแท้จริงของโหราจารย์ที่มานมัสการพระกุมารเยซู เราอยากให้มีรายละเอียดมากกว่านี้ในพระคัมภีร์ อยากรู้ว่าพวกเขามาจากไหน? เชื่อถือเรื่องอะไร? “ดาว” ประหลาดที่ว่านี้คือดาวอะไร? นำทางคนพวกนี้มาได้อย่างไร? ใช้เวลาเดินทางนานแค่ไหน? กลับจากนมัสการพระเยซูแล้วเป็นอย่างไร? เฮโรดฆ่าเด็กตายไปกี่คน? แล้วกรรมตามสนองอย่างไร? เราอยากรู้เรื่องราวระหว่างที่ครอบครัวพระเยซูอาศัยอยู่ในประเทศอียิปต์ มัทธิวก็เช่นเดียวกับผู้เขียนพระกิตติคุณเล่มอื่นๆ4 ระมัดระวังต่อทุกสิ่งที่บันทึกลงในพระคัมภีร์
(3) การเลือกนำพระวจนะจากพระคัมภีร์เดิมมาใช้ มัทธิวทำได้อย่างน่าสนใจ เรารู้ดีว่าท่านนำพระวจนะจากพระคัมภีร์เดิมมาใช้มากกว่าพระกิตติคุณเล่ม อื่นๆ เราต้องคำนึงว่าท่านไม่ได้นำพระวจนะจากพระ คัมภีร์เดิมมาใช้แบบหมดเปลือก ไม่ได้นำทุกตอนที่เกี่ยวข้องชัดเจนมาใช้ บางตอนเราออกจะงงๆด้วยซ้ำไป ในบทที่ 2 ท่านนำข้อพระคัมภีร์เดิมมาใช้ถึงสี่ครั้ง และหนึ่งในสี่นี้อาจเรียกได้ว่าเป็นการนำมาใช้อย่างตรงๆ เช่นจากมีคาห์ 5:2 ในข้อ 6 คำถามที่เฮโรดถามมหาปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ว่า “ผู้เป็นพระคริสต์นั้น จะบังเกิดแห่งใด?” พวกเขาตอบอย่างชัดเจนจากพระธรรมมีคาห์ 5:2 – พระเมสซิยาห์จะมาบังเกิดที่เบธเลเฮม
ข้อพระคำอื่นๆที่นำมาใช้ในบทที่ 2 ออกจะไม่ชัดเจน จนแทบไม่มีใครคิดว่าเป็นคำพยากรณ์ ไม่ว่าจะเป็นโฮเชยา 11:1 (ในข้อ 15) หรือเยเรมีย์ 31:15 (ในข้อ 18) ว่าเป็นคำพยากรณ์ที่เล็งถึงการเสด็จมาของพระเมสซิยาห์ คำพูดที่มัทธิวใช้ “ตรัสไว้โดยผู้เผยพระวจนะ” ได้สำเร็จเป็นจริง ยิ่งทำให้ดูคลุมเครือใหญ่ การที่ท่านนำคำพยากรณ์ที่ดู “คลุมเครือ” นี้มาใช้ ทำให้เราสงสัย ทำไมถึงไม่นำคำพยากรณ์ข้ออื่นที่ชัดเจนกว่านี้มาแทน เพื่อจะได้เห็นชัดว่าสำเร็จจริง ตัวอย่างเช่นคำพยากรณ์ต่อไปนี้ :
ดาวของบาลาอัม
กันดารวิถี 24:14-19
ดูเถิด บัดนี้ข้าพเจ้าจะกลับไปสู่ชนชาติของข้าพเจ้า มาเถิด ข้าพเจ้าจะสำแดง ให้ท่านทราบว่า ชนชาตินี้จะกระทำประการใด แก่ชนชาติของท่านในวันข้างหน้า” เขาก็กล่าวกลอนภาษิตของเขาว่า “คำพยากรณ์ของบาลาอัมบุตรเบโอร์ คำ พยากรณ์ของชายผู้ที่หูตาแจ้ง คำพยากรณ์ของผู้ที่ได้ยินพระวจนะของพระเจ้า และทราบถึงพระปัญญาของพระองค์ผู้สูงสุด ผู้เห็นนิมิตขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ล้มลง แต่ตาไม่มีสิ่งใดบัง ข้าพเจ้าเห็นเขา แต่ไม่ใช่อย่างเดี๋ยวนี้ ข้าพเจ้าดูเขา แต่ไม่ใช่อย่างใกล้ๆนี้ ดาวดวงหนึ่งจะเดินออกมาจากยาโคบ และธารพระกร อันหนึ่งจะขึ้นมาจากอิสราเอล จะทุบหน้าผากของโมอับ และทำลายเผ่าพันธุ์ของเชท ฝ่ายเอโดมจะตกเป็นของคนอื่น เสอีร์ศัตรูของเขาจะตกเป็นของคนอื่นด้วย ฝ่ายอิสราเอลได้แสดงวีรกรรมแล้ว ผู้หนึ่งที่ออกมาจากยาโคบ จะครอบครอง และชาวเมืองที่รอดตายผู้นั้นจะทำลายเสีย” (กันดารวิถี 24:14-19 ผมขอย้ำด้วย)
ความสว่างของอิสราเอลต่อประชาชาติ
อิสยาห์ 60:1-14
จงลุกขึ้น ฉายแสง เพราะว่าความสว่างของเจ้ามาแล้ว และพระสิริของพระเจ้า ขึ้นมาเหนือเจ้า เพราะว่าดูเถิด ความมืดจะคลุมแผ่นดินโลก และความมืดทึบคลุม ชนชาติทั้งหลาย แต่พระเจ้าจะทรงขึ้นมาเหนือเจ้า และเขาจะเห็นพระสิริของพระองค์ เหนือเจ้า และบรรดาประชาชาติจะมายังความสว่างของเจ้า และพระราชาทั้งหลาย ยังความสุกใสแห่งการขึ้นของเจ้า จงเงยตาของเจ้ามองให้รอบ และดู เขาทั้งปวงมาอยู่ด้วยกัน เขาทั้งหลายมาหาเจ้า บุตรชายทั้งหลายของเจ้าจะมาจากที่ไกล และเขาจะอุ้มบุตรหญิงของเจ้ามา แล้วเจ้าจะเห็นและปลาบปลื้ม ใจของเจ้าจะตื่นเต้น และเปรมปรีดิ์ เพราะความมั่งคั่งของทะเลจะหันมาหาเจ้า ทรัพย์สมบัติของบรรดาประชา ชาติจะมายังเจ้า มวลอูฐจะมาห้อมล้อมเจ้า อูฐหนุ่มจากมีเดียนและเอฟาห์ บรรดา เหล่านั้นจากเชบาจะมา เขาจะนำทองคำและกำยาน และจะบอกข่าวดีถึงกิจการ อันน่าสรรเสริญของพระเจ้า ฝูงแพะแกะทั้งสิ้นแห่งเคดาร์จะรวมมาหาเจ้า แกะผู้ของ เนบาโยทจะปรนนิบัติเจ้า มันจะขึ้นไปบนแท่นบูชาของเราอย่างเป็นที่โปรดปราน และเรา จะให้นิเวศอันเรืองรุ่งของเรา ได้รับความรุ่งเรือง เหล่านี้เป็นใครนะที่บินมาเหมือนเมฆ และเหมือนนกพิราบไปยังหน้าต่างของมัน เพราะว่าแผ่นดินชายทะเลจะรอคอยเรา กำปั่นแห่งทารชิชก่อน เพื่อนำบุตรชายของเจ้ามาแต่ไกล นำเงินและทองคำของเขามาด้วย เพื่อพระนามแห่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า และเพื่อองค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล เพราะ พระองค์ได้ทรงกระทำให้เจ้ารุ่งเรือง คนต่างด้าวจะสร้างกำแพงของเจ้าขึ้น และพระราชา ของเขาจะปรนนิบัติเจ้า เพราะด้วยความพิโรธของเรา เราเฆี่ยนเจ้า แต่ด้วยความโปรดปราน ของเรา เราได้กรุณาเจ้า ประตูเมืองของเจ้าจะเปิดอยู่เสมอ ทั้งกลางวันและกลางคืน มันจะไม่ปิด เพื่อคนจะนำความมั่งคั่งของบรรดา ประชาชาติมาให้เจ้า พร้อมด้วยพระราชา ทั้งหลาย เพราะว่าประชาชาติและราชอาณาจักร ที่ไม่ปรนนิบัติเจ้าจะพินาศ เออ บรรดาประชาชาติเหล่านั้นจะถูกทิ้งร้างอย่างสิ้นเชิง ศักดิ์ศรีแห่งเลบานอนจะมายังเจ้า คือต้นสนสามใบ ต้นสนเขาและต้นช้องรำพันด้วยกัน เพื่อจะกระทำให้ที่แห่งสถาน ศักดิ์สิทธิ์ของเรางดงาม และเราจะกระทำให้ที่แห่งเท้าของเรารุ่งโรจน์ ลูกชายของคน เหล่านั้นที่ได้บีบบังคับเจ้า จะมาโค้งลงต่อเจ้า และบรรดาผู้ที่ดูหมิ่นเจ้า จะกราบลงที่ฝ่า เท้าของเจ้า เขาทั้งหลายจะเรียกเจ้าว่าเป็นพระนครของพระเจ้า ศิโยนแห่งองค์บริสุทธิ์ ของอิสราเอล (อิสยาห์ 60:1-14 ผมขอย้ำด้วย)
สดุดี 72:8-17
ขอท่านครอบครองจากทะเลถึงทะเล และจากแม่น้ำนั้นถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก บรรดาผู้ที่อยู่ในถิ่นทุรกันดารจะกราบลงต่อเขา และให้บรรดาศัตรูของท่านเลียผงคลี ขอบรรดาพระราชาแห่งเมืองทารชิชและของเกาะทั้งปวง ถวายราชบรรณาการ ขอบรรดาพระราชาแห่งเชบา และเสบา นำของกำนัลมา 11 ขอพระราชาทั้งปวง กราบลงไหว้ท่าน บรรดาประชาชาติจงปรนนิบัติท่าน เพราะ ท่านช่วยกู้คนขัดสน เมื่อเราร้องทูล คนยากจน และคนที่ไร้ผู้อุปถัมภ์ ท่านสงสารคนอ่อนเปลี้ยและคนขัดสน และช่วยชีวิตบรรดาคนขัดสน ท่านไถ่ชีวิตของเขาจากการบีบบังคับและความทารุณ และ โลหิตของเขาก็ประเสริฐในสายตาของท่าน ขอท่านผู้นั้นมีชีวิตยืนนาน ให้คนถวาย ทองคำเมืองเชบาแก่ท่าน ให้ เขาอธิษฐานเผื่อท่านเรื่อยไป และอวยพรท่านวันยังค่ำ ขอให้มีข้าวอุดมในแผ่นดิน ให้มันแกว่งไกวรวงอยู่บนยอดเขาทั้งหลาย ขอให้ผลของ แผ่นดินเหมือนเลบานอน และให้คนบานออกมาจากนคร เหมือนหญ้าในทุ่งนา ขอนาม ของท่านดำรงอยู่เป็นนิตย์ ชื่อเสียงของท่านยั่งยืนอย่างดวงอาทิตย์ ให้คนอวยพรกันเอง โดยใช้ชื่อท่าน ประชาชาติทั้งปวงเรียกท่านว่าผู้ได้รับพระพร ! (สดุดี 72:8-17)
มัทธิวไม่ได้เลือก (หรือละ) ข้อพระคัมภีร์เดิมตามใจชอบ ; ท่านเลือกอย่างระมัดระวัง ด้วยจุดประสงค์สำคัญบางประการ เราจะมาเจาะลึกเรื่องนี้ในบทเรียนหน้าครับ ตอนนี้เราจะมาดูเรื่อง บุคคลสำคัญทั้งสามในมัทธิวบทที่ 2 ก่อน
(4) มัทธิวเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกรุงเยรูซาเล็มอย่างต่อเนื่อง ผมคิดว่าเวลาพวกเราอ่านพระกิตติคุณมัทธิว เราชอบนึกตามไปด้วย ทำให้บางครั้งเดาเรื่องผิดไป วิธีที่พวกเราส่วนมากอ่านคือ เมื่อโหราจารย์มาถึงเยรูซาเล็ม ต้องมุ่งไปที่พระราชวังของเฮโรดทันที (ก็ถ้าจะไปหา “กษัตริย์ของชาวยิว” จะให้ไปที่ไหนกันเล่า?) พวกเขาถามเฮโรดถึงกษัตริย์ที่บังเกิดใหม่ “ กษัตริย์ของชาวยิว” เฮโรดเรื่มหวาดวิตก วุ่นวายใจเป็นอันมาก แต่ปกปิดความรู้สึกเอาไว้ จัดแจงเรียกบรรดามหาปุโรหิต และพวกธรรมาจารย์มา พวกเขาบอกเฮโรด (รวมทั้งโหราจารย์) ถึงคำพยากรณ์ของผู้เผยวจนะมีคาห์ เมื่อให้ทุกคนออกไป เฮโรดต้องการพูดกับพวกโหราจารย์ตามลำพัง เพื่อถามถึงเวลาที่ดาวประหลาดมาปรากฎ และเริ่มคำนวณเวลาเกิดของเด็ก และส่งพวกโหราจารย์ให้ไปยังเบธเลเฮมเพื่อตามหา และสั่งให้กลับมาบอกว่าพบเด็กนั้นได้ที่ใด ตามความคิดของผม เหตุการณ์นี้ไม่ได้สอดคล้องกับสิ่งที่มัทธิวเล่า
ถ้าถือเอาตามที่มัทธิวเล่า เราเข้าใจว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในกรุงเยรูซาเล็ม ดำเนินไปตามขั้นตอนดังนี้
(a) พระเยซูมาบังเกิดที่เบธเลเฮม อาจจะประมาณหนึ่งปีก่อนหน้านี้5
(b) ดาวประหลาดนำพวกโหราจารย์มาจนถึงเยรูซาเล็ม และหายไป6
(c) เมื่อมาถึงเยรูซาเล็ม พวกโหราจารย์เริ่มสอบถามถึงพระกุมาร โดยถามจากผู้คนในเมือง
(d) เรื่องนี้ได้ยินถึงหูของเฮโรด ว่ามีเหล่าโหราจารย์เข้าเมืองเพื่อมาตามหาทารกเกิดใหม่ผู้เป็น “กษัตริย์ของชาวยิว” เพื่อจะไปนมัสการ
(e) เมื่อได้ยิน เฮโรดวุ่นวายเป็นทุกข์ใจมาก รวมทั้งผู้คนในกรุงเยรูซาเล็มด้วย
(f) เฮโรดเรียกบรรดามหาปุโรหิตและธรรมาจารย์มาเข้าเฝ้า สอบถามว่าพระเมสซิยาห์จะมาบังเกิดที่ใด ผมคิดว่าตอนที่สอบถาม พวกโหราจารย์คงไม่ได้อยู่ด้วย บรรดาผู้นำศาสนาทูลเฮโรดว่า พระเมสซิยาห์จะมาบังเกิดที่เมืองเบธเลเฮม ตามคำพยากรณ์ในมีคาห์ 5:2
(g) เฮโรดจึงเรียกพวกโหราจารย์มาเข้าเฝ้า (ตามลำพัง) ท่านถามว่าพวกเขา เห็น “ดาว” นี้ตั้งแต่เมื่อใด และเริ่มคำนวณเวลาเกิดและอายุของพระกุมาร
(h) เฮโรดจึงส่งพวกโหราจารย์ไปยังเบธเลเฮม เพื่อตามหาพระเมสซิยาห์ และสั่ง ให้กลับมาบอกถึงสถานที่ๆพบเด็กด้วย เพื่อจะได้ไปนมัสการบ้าง
(i) เมื่อโหราจารย์เดินทางไปที่เบธเลเฮม “ดาว” ก็ปรากฎขึ้นอีกครั้ง พวกเขายินดีเป็นอันมาก เพราะพระเจ้าทรงจัดเตรียมและนำพวกเขาอีกครั้ง
(j) “ดาว” นำพวกโหราจารย์ไปจนพบพระกุมาร และได้นมัสการพระองค์
เรื่องทั้งสองนี้ต่างกันหรือไม่? ถ้าจะไม่ แต่ว่าไม่น่าเสียหายถ้าจะนำมาเรียบเรียงใหม่ การตั้งข้อสังเกตจากเหตุการณ์ที่นำมาเรียบเรียงใหม่นี้ ทำให้ผมนึกถึงบางตอนของบทเรียนที่เตรียมไว้คราวหน้า ทำให้ต้องนำกลับมาทบทวนใหม่7
บุคคลสำคัญสามกลุ่มในบทที่ 2
โหราจารย์
“โหราจารย์” หรือ “เหล่านักปราชย์จากตะวันออก” นั้นน่าทึ่งมากครับ มัทธิวไม่ได้บอกว่าพวกเขามาที่กรุงเยรูซาเล็มกันกี่คน แถมไม่ได้ให้คำอธิบายใดๆไว้ด้วย เฟรเดอริค บรูเนอร์ ได้ให้ข้อมูลพื้นฐาน บางประการที่น่าสนใจ ที่ไม่ได้บันทึกในพระกิตติคุณมัทธิว :
“พวกโหราจารย์ (magoi หรือพหูพจน์ในภาษากรีกใช้ว่า magos) ที่มัทธิวพูดถึง คือที่แน่ๆต้องเป็นผู้มีสติปัญญา (อาจ) เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านดาราศาสตร์จากเปอร์เซีย หรือดินแดนสองแม่น้ำ การศึกษาเรื่องดาราศาสตร์ในสมัยโบราณ ยึดความเชื่อที่ว่าโลกนี้และพิภพอื่นในจักรวาล ต่างมีพลังดึงดูดซึ่งกันและกัน ดาราศาสตร์ เป็นเรื่องราวของกฎ หรือการโคจรของดวงดาว ; โหราศาสตร์ เป็นการศึกษาเรื่องสื่อ หรือ ความหมายในการโคจรของดวงดาวที่สร้างผลกระทบต่อชีวิตบนโลก… . ศาสตร์ทั้งสอง ปัจจุบันแยกออกจากกัน แต่ในสมัยโบราณรวมอยู่ในคนๆเดียวกัน เพราะความสามารถในการแปลหรือถอดรหัสการโคจรของดวงดาวได้ พวกโหราจารย์จึงนับว่าเป็น “ผู้มีปัญญา”8
ถึงแม้ว่าคนส่วนมากคิดว่าโหราจารย์เหล่านี้เป็นผู้มี “สติปัญญา” แต่คนยิวคิดอีกแบบ แรกเลยคนเหล่านี้เป็นพวกต่างชาติต่างศาสนา แค่นี้ก็เป็นที่ดูถูกแล้ว ยังไม่พอ ในพระคัมภีร์พูดถึงพวก “โหราจารย์” ในแง่ไม่ดีนัก อย่างเช่นในหนังสือดาเนียล :
แล้วพระราชาจึงทรงบัญชาให้มีหมายเรียกพวกโหร พวกหมอดู พวกนักวิทยาคม และคนเคลเดีย เข้าทูลพระราชาให้รู้เรื่องพระสุบิน เขาทั้งหลายก็เข้ามาเฝ้าพระราชา (ดาเนียล 2:2)
“ผู้มีสติปัญญา” ของบาบิโลน พวกยิวไม่ค่อยชอบหน้า คนพวกนี้ไม่สามารถทำนายฝันให้เนบูคัดเนส ซาร์ได้ มาดูวิธีที่ผู้เผยพระวจนะในยุคพระคัมภีร์เดิมพูดถึงคนนอกศาสนาพวกนี้ ที่พยายามขอการทรงนำจากพระเจ้าด้วยวิธีการของคนต่างชาติ :
เพราะว่ากษัตริย์บาบิโลนยืนอยู่ที่ทางแพร่ง อยู่ที่หัวถนนสองถนน กำหนดหาคำทำนาย ท่านเขย่าลูกธนู และปรึกษาทราฟีม ท่านมองดูที่ตับ (เอเสเคียล 21:21)
เจ้าเหน็ดเหนื่อยกับที่ปรึกษาเป็นอันมาก ของเจ้า ให้เขาลุกขึ้นออกมา และช่วยเจ้าให้รอด คือบรรดาผู้ที่แบ่งฟ้าสวรรค์ และเพ่งดูดวงดาว ผู้ซึ่งทำนายให้เจ้าในวันขึ้นค่ำ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแก่เจ้า (อิสยาห์ 47:13)
ในยุคพระคัมภีร์ใหม่ก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยน ในหนังสือกิจการ 8:9-13 เราเห็นซีโมน คนทำวิทยาคม เหมือนกับเห็นบาลาอัม ผู้พยายามใช้เงินซื้อฤทธิเดชของพระเจ้า ในกิจการ 13:6-11 คนทำวิทยาคม ชื่ออาลีมาส (หรืออีกชื่อว่าบารเยซู) พยายามโน้มน้าวความเชื่อของผู้ว่าราชการเมือง เสอร์จีอัส เปาโล ดังนั้นหมอดูพวกนี้จึงเป็นที่ดูถูกและไม่เป็นที่ยอมรับนับถือ พวกเขาถูกเรียกว่าเป็นรูปเคารพของคนต่างชาติ9
เราคงสงสัยว่ามัทธิวเป็นอะไรไป ถึงนำเรื่อง “โหราจารย์ พวก นี้ที่ถูกเชิญมาร่วมฉลองการประสูติขององค์พระเมสซิยาห์มาเสนอ? อย่าลืมว่ามัทธิวเองเคยเป็นคนเก็บภาษี เป็นอาชีพที่ต่ำต้อยที่สุดในสายตาของชาวยิว
ครั้นพระเยซูเสด็จเลยตำบลนั้นไป ก็เห็นคนหนึ่งชื่อมัทธิวนั่งอยู่ที่ด่านภาษี จึงตรัสกับเขาว่า “จงตามเรามาเถิด” เขาก็ลุกขึ้นตามพระองค์ไป เมื่อพระองค์ประทับเสวยพระกระยาหาร อยู่ในเรือน มีคนเก็บภาษีและคนบาปอื่นๆหลายคน เข้ามาร่วมสำรับกับพระเยซู และกับพวก สาวกของพระองค์ เมื่อพวกฟาริสีเห็นแล้ว ก็กล่าวแก่สาวกของพระองค์ว่า “ทำไม อาจารย์ของท่านจึงรับประทานอาหารด้วยกันกับคนเก็บภาษีและคนนอกรีตเล่า” เมื่อพระ เยซูทรงทราบดังนั้นแล้วก็ตรัสว่า “คนเจ็บต้องการหมอ แต่คนสบายไม่ต้องการ ท่านทั้ง หลายจงไปเรียนคัมภีร์ข้อนี้ให้เข้าใจ ที่ว่าเราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตว บูชา ด้วยว่าเรามิได้มาเพื่อจะเรียกคนที่เห็นว่าตัวชอบธรรม แต่มาเรียกคนที่พวกท่านว่านอกรีต” (มัทธิว 9:9-13).
ผมเชื่อว่ามัทธิวรู้สึกยินดีมาก ที่แม้แต่คนต่างชาติพวกนี้ยังได้รับเชิญจากองค์พระผู้เป็นเจ้า ให้มาร่วมนมัสการพระกุมารเยซู แม้มัทธิวเองเป็นคนยิว เขียนพระกิตติคุณเล่มนี้เพื่อชาวยิว ท่านก็ไม่เคยคิดบิดเบือนข้อเท็จจริง ในเรื่องของพระเยซู จำได้หรือไม่ว่าพระกิตติคุณมัทธิวจบลงอย่างไร? :
พระเยซูจึงเสด็จเข้ามาใกล้แล้วตรัสกับเขาว่า “ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดี ในแผ่น ดินโลกก็ดีทรงมอบไว้แก่เราแล้ว เหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้ เป็นสาวกของเรา ให้ รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณ บริสุทธิ์ สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้ นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค” (มัทธิว 28:18-20)
อาจมีคนเถียง “ใช่ฉันเห็นแล้ว พระเจ้าทรงมีแผนการความรอดโดยทางพระเยซูคริสต์ เพื่อทั้งคนยิวและคนต่างชาติ และเข้าใจด้วยว่าทำไมพระองค์ทรงอนุญาตให้คนต่างชาติ มีโอกาสมาร่วมฉลองการบังเกิดของพระเยซู แต่ทำไมพระเจ้าถึงเลือกใช้สื่อ ที่เปิดเผยถึงการเสด็จมาของพระบุตร ด้วยดวงดาว?”
อย่าลืมว่าพระเจ้าทรงเลือกที่จะสำแดงพระองค์เองแก่มนุษย์ โดยผ่านทางธรรมชาติ :
ฟ้าสวรรค์ประกาศพระสิริของพระเจ้า และภาคพื้นฟ้าสำแดงพระหัตถกิจของพระองค์ วันส่งถ้อยคำให้แก่วัน และคืนแจ้งความรู้ให้แก่คืน วาจาไม่มี ถ้อยคำก็ไม่มี และไม่มีใครได้ยินเสียงฟ้า ถึงกระนั้นเสียงฟ้าก็ออกไปทั่วแผ่นดินโลก และถ้อยคำก็แพร่ไปถึงสุดปลายพิภพ พระองค์ทรงตั้งเต็นท์ไว้ให้ดวงอาทิตย์ ณ ที่นั้น (สดุดี 19:1-4; เทียบกับโรม 11:18)
เพราะว่าพระเจ้าทรงสำแดงพระพิโรธของ พระองค์จากสวรรค์ ต่อความหมิ่นประมาทพระองค์ และความชั่วร้ายทั้งมวลของมนุษย์ที่เอาความชั่วร้ายนั้นบีบคั้นความจริง เหตุว่าเท่าที่จะรู้จักพระเจ้าได้ก็แจ้งอยู่กับใจเขาทั้งหลาย เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงโปรดสำแดงแก่เขาแล้ว ตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมาแล้ว สภาพที่ไม่ปรากฏของพระเจ้านั้น คือฤทธานุภาพอันถาวรและเทวสภาพของพระองค์ก็ได้ปรากฏชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ ได้ทรงสร้าง ฉะนั้นเขาทั้งหลายจึงไม่มีข้อแก้ตัวเลย (โรม 1:18-20)
เราคงจำได้ถึงการเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มของพระเยซูคริสต์ เมื่อฝูงชนโห่ร้องสรรเสริญพระองค์
ฝ่ายฟาริสีบางคนในหมู่ประชาชนนั้น ทูลพระองค์ว่า “อาจารย์เจ้าข้า จงห้ามเหล่าสาวกของท่าน” พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “เราบอกท่านทั้งหลายว่า ถึงคนเหล่านี้จะนิ่งเสีย ศิลาทั้งหลายก็ยังจะส่งเสียงร้อง” (ลูกา 19:39-40)
ผมเข้าใจว่าดาวประหลาดดวงนั้น กำลังทำในสิ่งเดียวกัน อิสราเอลควรเป็น “ความสว่างแก่บรรดาประ ชาชาติ” (อิสยาห์ 42:6) แต่พวกเขาไม่ได้ทำหน้าที่ ไม่คิดจะนำข่าวประเสริฐเรื่องการกำเนิดมาของพระเมสซิยาห์ไปบอกแก่คนต่างชาติ ; ดังนั้นคนต่างชาติจึงทำหน้าที่นำข่าวประเสริฐนี้มาบอกแก่พวกเขาแทน เมื่อคนของพระเจ้า “นิ่งเฉย” “ดาว” (หรือดาวประหลาดดวงนั้น) จึงประกาศออกไป นำพวกโหราจารย์มาพบพระผู้ช่วยให้รอดแทน
ผมเห็นโหราจารย์พวกนี้เป็นเหมือนคนอย่างบาลาอัม เป็นต่างชาติทั้งคู่ แต่เป็นผู้ที่ได้รับการทรงสำแดง จากพระเจ้า เมื่อบาลาอัมปฏิเสธพระคำของพระองค์ เขาได้รับความพินาศ พวกโหราจารย์เชื่อการทรงนำของพระองค์ที่ให้มาที่เยรูซาเล็ม จนได้พบพระกุมารเยซูที่เบธเลเฮม
แล้วสำหรับพวกเรา “ดาวประหลาด” นี้มีความหมายอย่างไร? หลายคนพยายามหาคำอธิบายในเชิงมนุษย์10 บางคนบอกว่าเป็นดวงเดียวกับดาวหาง “ฮาเล่ย์” ; บางคนบอกเป็นบริวารของดาวจูปิเตอร์ หรือของดาวเสาร์ ผมต้องยอมรับว่าฟังดูไม่เข้าท่า แรกเลย ถ้านี่เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่สามารถคำนวณได้ล่วงหน้า ทำไมพวกโหราจารย์ถึงเดินทางตามมา? มันคงไม่ใช่ปรากฏการณ์ปกติ แล้วเหตุใดดาวดวงนี้จึงพามาจนถึงบ้านที่พระเยซูและครอบครัวอาศัยอยู่?
ประการที่สอง ทำไมถึงต้องพยายามหาคำอธิบายในเชิงมนุษย์ในเรื่องของปาฏิหาริย์ นอกเสียจากอยากหลีกเลี่ยงไม่ยอมเชื่อเรื่องปาฏิหาริย์ อย่างเช่นนักวิชาการบางคน (ที่เก่งเอามากๆก็มี) เมื่อวิเคราะห์พระธรรมโยนาห์ คิดว่าน่าจะมีสาระ ถ้านำตัวอย่างอื่นที่มนุษย์ถูก “ปลามหึมา” กลืนเข้าไป และมีคนช่วยออกมาได้ ทำไมจึงทำเช่นนั้น? พระเจ้าอาจทรงใช้วิธีการทางธรรมชาติเพื่อทำให้พระประสงค์ของพระองค์ สำเร็จลง แต่ไม่ใช่เสมอไป บางครั้งพระองค์ใช้การอัศจรรย์ที่เหนือขอบเขตของธรรมชาติ เพื่อเราจะ ยอมรับได้ว่าเป็นพระหัตถ์ของพระองค์ที่ทรงกระทำ ดังนั้นผมจึงมองเรื่อง “ดาวประหลาด” นี้ว่าเป็นการทรงสำแดงของพระเจ้า สำแดงพระสิริของพระองค์ ซึ่งเราพบได้หลายครั้งในพระคัมภีร์เดิม11
เครื่องบรรณาการจากโหราจารย์ – ทองคำ กำยาน มดยอบ – แน่นอนเป็นของมีราคาแพงมาก ผม และคนอื่นๆอีกหลายคน มีความเห็นว่าพระเจ้าทรงจัดเตรียมสิ่งของเหล่านี้มาให้ เพื่อครอบครัวจะมีเงินพอสำหรับการเดินทางไปประเทศอียิปต์ บางคนหาความหมายของสิ่งเหล่านี้ทางฝ่ายวิญญาณ :
- ทองคำ – ของบรรณาการสำหรับกษัตริย์
- กำยาน – เป็นของที่ปุโรหิตใช้ในการนมัสการพระเจ้า
- มดยอบ – ใช้ในการเก็บรักษาสภาพศพ
สิ่งนี้อาจอยู่ในความคิดคำนึงของมัทธิว ซึ่งผมไม่ได้คิดไปไกลขนาดนั้น มัทธิวบอกเราว่า พวกโหราจารย์ “กลับไปยังเมืองของตนทางอื่น” (2:12) บรูเนอร์แปลความตอนนี้ว่าเป็นเรื่องของจิตวิญญาณ ทุกคนที่มาหาพระเยซู มารับความรอด จะไม่มีวันกลับไปเดินทางเดิมอีก ผมไม่แน่ใจว่ามัทธิวต้องการสื่อเช่นนั้น หรือเพียงต้องการให้เรารู้ว่าพระเจ้านำให้โหราจารย์กลับไปทางอื่น เพื่อกันเฮโรดและให้มีเวลาพาพระเยซูหนีไปที่อียิปต์ได้ทัน ที่จริง สิ่งที่พวกโหราจารย์ทำดูออกจะเสี่ยง เพราะถ้าเฮโรดจับได้ ผมค่อนข้างแน่ใจว่าเขาคงไม่ปล่อยโหราจารย์พวกนี้ไว้แน่
พวกโหราจารย์ทำให้ผมนึกถึงอับราฮัม อาจเป็นได้ที่พวกโหราจารย์กับอับราฮัมมาจากถิ่นกำเนิดเดียวกัน ทั้งคู่เป็น “คนต่างชาติ” ในขณะที่พระเจ้าทรงเรียกให้มายังดินแดนพันธสัญญา ทั้งคู่ไม่รู้เลยว่าตนเองกำลังจะไปที่ใดเมื่อจากบ้านเกิดมา ทั้งคู่เชื่อฟังพระเจ้า และได้พบกับพระผู้ช่วยให้รอด (ดูยอห์น 8:56) ทั้งคู่ด้วยความบังเอิญ มีดาวเป็นสื่อนำ :
อยู่มาพระดำรัสของพระเจ้ามาถึงอับรามด้วย นิมิตว่า “อับรามเอ๋ย เจ้าอย่ากลัวเลย เราเป็นโล่ของเจ้า บำเหน็จของเจ้าจะยิ่งใหญ่” อับรามทูลว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระ องค์จะทรงโปรดประทานอะไรแก่ข้าพระองค์ ด้วยว่าข้าพระองค์ยังไม่มีบุตรเลย และ เอลีเยเซอร์ชาวเมืองดามัสกัสคนนี้ จะเป็นผู้รับมรดกของข้าพระองค์” อับรามทูลอีกว่า “พระองค์มิได้ทรงประทานบุตรให้แก่ข้าพระองค์ แล้วคนที่เกิดในบ้านของข้าพระองค์ ก็จะเป็นผู้รับมรดกของข้าพระองค์” ครั้นแล้วพระดำรัสของพระเจ้ามาถึงอับรามว่า “คนนี้จะไม่ได้เป็นผู้รับมรดกของเจ้า แต่บุตรชายของเจ้าเองจะเป็นผู้รับมรดกของเจ้า” พระองค์จึงพาอับรามออกมากลางแจ้งแล้วตรัสว่า “มองดูฟ้า ถ้าเจ้านับดาวทั้งหลาย ได้ ก็นับไปเถิด” แล้วพระองค์ตรัสว่า “พงศ์พันธุ์ของเจ้าจะมากมายเช่นนั้น” อับรามก็เชื่อพระเจ้า ความเชื่อนั้นพระองค์ทรงนับว่าเป็นความชอบธรรมแก่ท่าน (ปฐมกาล 15:1-6)
เฮโรดและทั้งเยรูซาเล็ม
ในตอนต้น ผมเรียงให้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเยรูซาเล็มตามลำดับ บอกว่ามัทธิวไม่ได้เล่าว่าพวกโหราจารย์ไปพบเฮโรดก่อน เพราะว่าถ้าพวกเขารู้จักเฮโรดดี คงไม่กล้าเสี่ยงเข้าไกล้ เฮโรดคงได้ยินเรื่องโหราจารย์โดยบังเอิญ เพราะพวกเขาไปสอบถามชาวบ้านในเมืองเยรูซาเล็มว่า “กษัตริย์ของชาวยิว” นั้นอยู่ที่ไหน เพื่อจะได้ไปนมัสการ
ผมรู้สึกขอบคุณบรูเนอร์ ที่ชี้ให้เห็นข้อเท็จจริงที่น่าสนใจ เมื่อมัทธิวพูดถึง “เฮโรด” บรูเนอร์กล่าวว่ามัทธิว “ถอดยศ” เฮโรดลงได้อย่างแนบเนียนมาก
บุคคลที่เด่นรองลงมาในตัวละครของมัทธิว คือคนที่มัทธิวเรียกตลอดเวลาว่า “กษัตริย์ เฮโรด จนกระทั่ง เมื่อ พวกโหราจารย์ได้นมัสการพระกุมารเยซูแล้ว หลังจากนั้นเป็นต้นไป เฮโรดก็ถูกถอดยศลงมา ไม่มีการเรียกว่ากษัตริย์อีกต่อไป การนมัสการพระกุมารของพวกโหราจารย์ คือการราชาภิเษกของพระเยซู ดังนั้น ในเพลงคริสตมาสบางเพลง จึงมีเนื้อร้องว่า “วันนี้มีกษัตริย์เกิดใหม่” ’12
เมื่อเรื่องที่พวกโหราจารย์ถามหากษัตริย์เกิดใหม่ได้ยินไปถึงหูของเฮโรด ในทันทีท่านเรียกบรรดาผู้ เชี่ยวชาญธรรมบัญญัติมาพบ เพราะพวกนี้ต้องรู้เรื่องคำพยากรณ์เกี่ยวกับสถานที่เกิดของพระเมสซิยาห์ พวกเขาก็รู้จริงๆ โดยอ้างไปที่หนังสือมีคาห์ 5:2 และบอกกับเฮโรดอย่างมั่นใจว่าที่ใดคือสถานที่เกิดของบุตรดาวิด ตามที่ทรงสัญญาไว้
เป็นเรื่องเข้าใจได้ว่าทำไมเฮโรดถึงวุ่นวายใจมากกับข่าวการมาประสูติของ “กษัตริย์ชาวยิว” เฮโรดไม่ต้องการให้บัลลังก์ตนเองสั่นคลอน แม้จะชราแล้วก็ตาม.13 เพราะเฮโรดไม่ได้สืบทอดบัลลังก์มาอย่างถูกต้อง ไม่ใด้เป็นแม้กระทั่งสายเลือด “ยิวแท้” ส่วนผู้คนในกรุงเยรูซาเล็มที่หวั่นวิตก ก็เป็นเรื่องเข้าใจได้ง่าย เพราะถ้าเฮโรดเริ่มหวาดระแวง บรรดาคนใกล้ตัวคงไม่ปลอดภัยแน่ รวมไปถึงครอบครัวด้วย:
ท่านได้สังหารวงศ์วานที่เหลือของราช บัลลังก์ฮัสโมเนียน สั่งฆ่าพวกสภาแซน เฮดรินไปว่าครึ่ง ฆ่าเจ้าหน้าที่ประจำศาลไปกว่าสามร้อย ฆ่าภรรยาตนเอง นางมาเรียม รวมถึงอเล็กซานดร้ามารดาของนางด้วย ฆ่าบุตรของตนเอง แอนติ พาเธอร์ อริสโตบูลูส และอเล็กซานเดอร์ จนเมื่อวาระสุดท้ายมาถึง ก่อนตาย ท่านได้เรียกผู้คนในระดับสูงของเยรูซาเล็ม มารวมกันที่สนามกีฬาใหญ่ และ สั่งให้ฆ่าคนเหล่านี้ในทันทีที่มีการประกาศถึงการตายของท่าน คนที่มีจิตใจ โหดเหี้ยมผิดมนุษย์ และกลัวการแก่งแย่งขนาดนี้ การสั่งฆ่าเด็กทารกผู้ชาย ทั่วเมืองเบธเลเฮมจึงเป็นไปได้14
แต่เหตุใดบรรดาผู้นำศาสนาแห่ง เยรูซาเล็ม – มหาปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ – จึงตื่นตระหนก? อาจเป็นเพราะในพระคัมภีร์เดิม มีคำพยากรณ์อื่นๆอีก ซึ่งพวกเขาคุ้นเคยดี – เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการเสด็จมาของพระเมสซิยาห์ – ซึ่งฟังแล้ว น่าหวั่นใจ :
พระเจ้าตรัสว่า “วิบัติจงมีแก่ผู้เลี้ยงแกะ ผู้ทำลายและกระจายแกะของลานหญ้าของเรา” เพราะฉะนั้น พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสกับผู้เลี้ยงแกะผู้ดูแลประชากรของเรา ดังนี้ว่า “เจ้าทั้งหลายได้กระจายฝูงแกะของเราและได้ ขับไล่มันไปเสีย และเจ้ามิได้เอาใจ ใส่มัน พระเจ้าตรัสว่า ดูเถิด เราจะเอาใจใส่เจ้า เพราะการกระทำที่ชั่วของเจ้า แล้วเราจะ รวบรวมฝูงแกะของเราที่เหลืออยู่ออกจากประเทศทั้งปวง ซึ่งเราได้ขับไล่ให้เขาไปอยู่นั้น และจะนำเขากลับมายังคอกของเขา เขาจะมีลูกดกและทวีมากขึ้น พระเจ้าตรัสว่า เราจะตั้ง ผู้เลี้ยงแกะไว้เหนือเขา ผู้จะเลี้ยงดูเขาและเขาทั้งหลายจะไม่กลัวอีกเลย หรือครั่นคร้าม จะไม่ขาดไปเลย “พระเจ้าตรัสว่า ดูเถิด วันเวลาจะมาถึง เมื่อเราจะเพาะอังกูรชอบธรรม ให้ดาวิด และท่านจะทรงครอบครองเป็นกษัตริย์และ กระทำกิจอย่างเฉลียวฉลาด และจะ ทรงประทานความยุติธรรมและ ความชอบธรรมในแผ่นดินนั้น ในสมัยของท่านยูดาห์จะรอดได้ และอิสราเอลจะอาศัยอยู่อย่างมั่นคง และนี่จะเป็นนามซึ่งเราจะเรียกท่าน คือ ‘พระเจ้าเป็น ความชอบธรรม ของเรา’ เพราะฉะนั้น พระเจ้าตรัสว่า ดูเถิด วันเวลาจะมาถึง เมื่อคนของ เขาไม่กล่าวอีกต่อไปว่า ‘พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ตราบใด ผู้ซึ่งได้นำประชาชนอิสราเอลออกมา จากแผ่นดินอียิปต์’ แต่จะว่า ‘พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ตราบใด ผู้ซึ่งได้นำและพาเชื้อสาย แห่งประชาอิสราเอลออก มาจากแดนเหนือ และออกมาจากประเทศที่พระองค์ทรงขับไล่ ให้ไปอยู่นั้น’ แล้วเขาทั้งหลายจะได้อาศัยอยู่ในแผ่นดินของเขาเอง” (เยเรมีย์ 23:1-8)
การเสด็จมาของกษัตริย์อิสราเอล “กษัตริย์ของชาวยิว” หมายถึงระบอบการปกครองใหม่ทั้งหมด การบริหารประเทศในรูปแบบใหม่ หลังจากได้ยินว่าพวกโหราจารย์กำลังตามหา “กษัตริย์องค์ใหม่ของชาวยิว” บรรยากาศในกรุงเยรูซาเล็มคงจะพอๆกับในวอชิงตันดีซี เมื่อพรรคใดพรรคหนึ่งมีชัยชนะอย่างถล่มทลายต่อคู่ต่อสู้ในการเลือกตั้ง ส่วนเรื่องทารกถูกสังหาร เราจะมาเรียนเจาะลึกในบทเรียนหน้า มาถึงตอนนี้ คงพอจะบอกได้ว่าเฮโรดนั้นเป็นฆาตรกรที่โหดเหี้ยมเพียงใด ทุกการฆาตกรรมวางแผนไว้ล่วงหน้า ต้องตายไม่มีพลาด เมื่อเฮโรดรู้เรื่องดาวประหลาด คงเตรียมการไว้ในใจ สั่งพวกโหราจารย์ ให้เดินทางกลับมาบอกถึงสถานที่ๆจะพบพระกุมาร เพื่อจะได้ไปนมัสการบ้าง บางทีเฮโรดอาจกลัวว่าแผนจะผิดพลาด ผมเกือบได้ยินเฮโรดพูดกับตัวเองว่า “ดาวดวงนี้มันปรากฏมาเกือบปีแล้ว แสดงว่า “กษัตริย์” องค์นี้น่าจะประมาณหนึ่งขวบ เพื่อกันพลาดคงต้องฆ่าเด็กทารกตั้งแต่สองขวบลงมา” เรา พบว่ามัทธิวไม่ได้พูดถึงการตายอันน่าสยดสยองของเฮโรดหลังจากนั้นไม่นาน ท่านรู้ดีว่า เมื่อเวลามาถึง คนชั่วร้ายจะต้องฟื้นขึ้น เพื่อมารับการลงโทษชั่วนิรันดร์ ซึ่งสาสมกันดีกับสิ่งที่ทำไว้
พระกุมารเยซู
เราคงต้องปล่อยเรื่องของเฮโรดให้เป็นอดีต และจบบทเรียนตอนนี้โดยมุ่งไปที่พระเยซู ผู้ทรงเข้ามาครอบครองความนึกคิดของเรา ในระหว่างศึกษาบทเรียนของพระกิตติคุณเล่มนี้ สิ่งแรกที่มัทธิวบอกเราถึงพระกุมาร คือพระองค์ทรงเป็นมนุษย์ ตามที่บันทีกอยู่ในลำดับพงศ์ 1:1-17 และพระองค์ทรงเป็น พระเจ้า พระองค์ทรงเป็นตามความหมายของพระนาม คือพระเจ้าท่ามกลางเรา ทารกน้อยนี้เป็นทั้งมนุษย์และพระเจ้าได้อย่างไร? โดยถือกำเนิดมาอย่างบริสุทธิ์ เด็กที่อยู่ในครรภ์นางมารีย์ ไม่ได้เกิดขึ้นจากชายใด แต่โดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ (1:18-25) เพราะการถือกำเนิดอย่างพิเศษเช่นนี้ ทารกนี้จึง “เป็นผู้ที่จะโปรดช่วยชนชาติของท่านให้รอดจากความผิดบาปของเขา” (1:21) มัทธิวกล่าวว่า พระเยซูเป็นผู้ทำให้คำพยากรณ์ของผู้เผยพระวจนะ ในพระคัมภีร์เดิมเป็นจริงถึงสี่ครั้งในบทที่ 2 เราจะย้อนมาพูดเรื่องนี้อีกทีในบทเรียนหน้า ให้เรามาพิจารณาดูพระลักษณะขององค์พระผู้เป็นเจ้าในบทนี้ด้วยกัน
ประการแรก พระเยซูประสูติที่เบธเลเฮม ดูเหมือนไม่ใช่เรื่องสำคํญ แต่ไม่ควรมองข้าม ไม่ใช่ในมัทธิวเท่านั้น แต่ในพระกิตติคุณเล่มอื่นๆด้วย มัทธิวบอกเราว่าพระเยซูประสูติที่เบธเลเฮม (2:1) ตรงตามที่มีคาห์พยากรณ์ไว้ (2:6) ซึ่งเราเห็นได้ชัดเจน แต่หลังจากนั้น สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้พระ องค์ต้องเติบโตขึ้นในนาซาเร็ธ ในแคว้นกาลิลีแทน ดังนั้นพระองค์จึงถูกเรียกว่า “พระเยซูชาวนาซาเร็ธ” (มัทธิว 2:23 ฯลฯ) แต่ในสมัยของพระองค์ผู้คนเข้าใจผิด คิดว่าพระองค์เป็นชาวนาซาเร็ธโดยกำเนิด:
ฟีลิปไปหานาธานาเอลบอกเขาว่า “เราได้พบพระองค์ผู้ที่โมเสสได้กล่าวถึง ในหนังสือธรรมบัญญัติ และที่พวกผู้เผยพระวจนะได้กล่าวถึง คือ พระเยซู ชาวนาซาเร็ธบุตรโยเซฟ” นาธานาเอลถามเขาว่า “สิ่งดีอันใดจะมาจากนาซาเร็ธได้หรือ” ฟีลิปตอบว่า “มาดูเถิด” (ยอห์น 1:45-46)
เมื่อประชาชนได้ฟังดังนั้น บางคนก็พูดว่า “ท่านผู้นี้เป็นผู้เผยพระวจนะนั้นแน่” คนอื่นๆก็พูดว่า “ท่านผู้นี้เป็นพระคริสต์” แต่บางคนพูดว่า “พระคริสต์จะมาจากกาลิลีหรือ พระคัมภีร์กล่าวไว้มิใช่หรือ ว่าพระคริสต์จะมาจากเชื้อพระวงศ์ของดาวิด และมาจากหมู่บ้านเบธเลเฮม ชนบทซึ่งดาวิดเคยอยู่นั้น” (ยอห์น 7:40-42)
นิโคเดมัสผู้ที่ได้มาหาพระองค์คราวก่อน นั้น และเป็นคนหนึ่งในพวกเขา ได้กล่าว แก่พวกเขาว่า “กฎหมายของเราตัดสินคนใดโดยที่ยังไม่ได้ฟังเขาก่อน และรู้ว่า เขาได้ทำอะไรบ้างหรือ” เขาทั้งหลายตอบนิโคเดมัสว่า “ท่านมาจากกาลิลีด้วยหรือ จงค้นหาดูเถิด แล้วท่านจะเห็นว่าไม่มีผู้เผยพระวจนะเกิดขึ้นมาจากกาลิลี” (ยอห์น 7:50-52)
ทั้งมัทธิวและลูกา พูดอย่างชัดเจนว่าพระเยซูเป็น “ชาวนาซาเร็ธ” แท้ และเป็น “คนกาลิลี” และประสูติที่เบธเลเฮม พระองค์จึงทำให้คำพยากรณ์ในเรื่องสถานที่สำเร็จเป็นจริง
ประการที่สอง พระเยซูทรงเปิดเผยถึง “ความอ่อนแอ” บางอย่างให้เราเห็น แต่เป็น “ความอ่อนแอ” ที่ แข็งแกร่งกว่ามนุษย์ในหนังสือที่อาโปรกริปปาบันทึกไว้ มีแต่เรื่องราว “มหัศจรรย์” เหลือเชื่อหลายอย่างที่เกิดขึ้นกับพระกุมารเยซู :
พระกุมารไม่ได้เป็นไปอย่างหนังสือที่ อาโปรกริปปาบันทึกไว้ หรือแม้แต่ในคัมภีร์ โกราน ที่พูดถึงพระสติปัญญาอันล้ำเลิศ หรือทรงทำอัศจรรย์ได้ตั้งแต่แบเบาะ พระองค์เป็นเพียงทารก ไม่มีรัศมีลอยอยู่เหนือศีรษะ ไม่มีแสงเปล่งออกมาจากพระ กาย และผู้คนยอมน้อมรับทารกน้อยนี้ (… ไม่ใช่นางมารีย์)15
ในมัทธิวบทที่ 2 ย้ำเตือนเราอีกครั้งถึงความเป็นมนุษย์ของพระเยซู ทรงบอบบางเหมือนทารกทั่วไป พระกุมารน้อยต้องการการดูแลเลี้ยงดูจากบิดามารดา ปกป้องให้พ้นภัยจากเงื้อมมือของเฮโรดผู้จ้องจะฆ่า ต้องมีคนพาหนีไปอียิปต์ และพากลับอิสราเอลเมื่อปลอดภัย โยเซฟเป็นผู้ที่พระเจ้าตรัสสั่งในความฝัน ให้เป็นผู้ปกป้องทารกน้อยนี้ให้พ้นภัย และถึงแม้ในท่ามกลางเหตุการณ์ต่างๆที่ แสดงว่าพระองค์เป็นมนุษย์ ยังมีเหตุการณ์บางอย่าง ที่สำแดงให้รู้ว่าพระองค์ทรงเป็นมากกว่า พระองค์ทรงถือกำเนิดมาในฐานะ “กษัตริย์ของชาวยิว” (2:2) และเมื่อพระองค์ประสูติ มีดาวประหลาดปรากฏขึ้น เพื่อป่าวประกาศไป นำคนต่างชาติผู้มั่งคั่งจากแดนไกล เดินทางมาเพื่อนมัสการพระองค์ นำของบรรณาการมาถวาย – ทองคำ กำยาน และมดยอบ (2:11)16 ทารกนี้ เป็นเด็กพิเศษ และน่าอกสั่นขวัญแขวนสำหรับเฮโรดอย่างยิ่ง เด็กคนนี้ ในความเป็นมนุษย์และบอบบาง ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ ไม่มีสิ่งใดมายับยั้ง ไม่ให้พระองค์ทำพระประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จ ใครจะไปนึกว่าพระเจ้าทรงส่งพระผู้ช่วยให้รอด ลงมาในโลกนี้ ในฐานะทารกน้อย อ่อนแอบอบบาง ช่วยตนเองไม่ได้
ประการที่สาม มนุษย์เป็นปฏิปักษ์และต่อต้านพระเยซู โดยเฉพาะชาวยิวพี่น้องร่วมชาติ คำพยากรณ์ใน มัทธิว 2:23 ทำให้หลายคนวุ่นวายใจ:
ไปอาศัยในเมืองหนึ่งชื่อนาซาเร็ธ เพื่อจะสำเร็จตามพระวจนะ ซึ่งตรัสโดยผู้เผยพระวจนะ เขาจะเรียกท่านว่า ชาวนาซาเร็ธ
ผู้เชี่ยวชาญพระคัมภีร์หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า ไม่มีพระคำตอนไหนที่กล่าวว่า “พระเยซูจะถูกเรียกว่า เป็นชาวนาซาเร็ธ” เจมส์ มอนท์โกเมอรี่ บอยส์ ชี้ให้เห็นข้อสังเกตุสำคัญสองประการ :
ข้อแรก เราต้องดูว่ามัทธิวเขียนพระคำข้อนี้โดยอ้างถึงคำพยากรณ์ของผู้เผยพระวจนะ (เป็นพหูพจน์ – โดยบรรดาผู้เผยพระวจนะ) มากกว่าที่ท่านพูดถึงในตอนอื่นๆ ‘เพื่อจะสำเร็จตามพระวจนะ ซึ่งตรัสโดยผู้เผยพระวจนะ’ (มัทธิว 1:22) หรือ ‘เพราะว่าผู้เผยพระวจนะได้เขียนไว้’ (มัท ธิว 2:5) ซึ่งเป็นการกล่าวแบบกว้างๆ ไม่ได้เจาะจงไปที่ข้อพระคำข้อหนึ่งข้อใดในพระคัมภีร์เดิม17
นอกจากนี้ ท่านยังแทนคำกริยาที่ใช้ประจำเป็นต้นแบบ (ตรัส) ควบคู่ไปกับคำ hoti ซึ่ง คือคำว่า “โดย” เกิดขึ้นครั้งเดียวในพระกิตติคุณฉบับนี้ มัทธิวคงไม่ได้เจาะจงไปที่พระคัมภีร์เดิมตอนใด ตอนหนึ่ง แต่พูดตามคำสอนในพระวจนะทั่วๆไป ดังนั้นท่านจึงพูดว่า ‘เพื่อจะสำเร็จตามพระ วจนะ ซึ่งตรัสโดยผู้เผยพระวจนะ เขาจะเรียกท่านว่าชาวนาซาเร็ธ ’18
บอยส์ส์กล่าวว่า ไม่มีที่ใดในพระคัมภีร์เดิมที่บ่งว่า พระเยซูจะถูกเรียกว่าเป็นชาวนาซาเร็ธ แล้วเราจะตอบปัญหานี้อย่างไร? ผมคิดว่าบอยส์มีคำอธิบายที่ดีที่สุด :
คำอธิบายที่เหมาะสม อาจเป็นได้ว่านาซาเร็ธเป็นสถานที่ๆน่ารังเกียจ เป็นหมู่บ้านที่ไม่มีใครอยากไป “ข้องแวะ” ด้วย เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่คนยิวว่าควรอยู่ห่างเอาไว้ สิ่งที่มัทธิวพยายามจะสื่อ คือสิ่งที่ผู้เผยพระวจนะทำนายว่า พระเมสซิยาห์จะเป็นที่ชิงชังรังเกียจ เป็นบุคคลที่ตกเป็นเหยื่อของความเกลียดชัง 19
บรูเนอร์ให้ความเห็นในทำนองเดียวกัน :
ตามเหตุผลทางทฤษฎี ผมอยากจะกล่าวถึง … ความเป็นไปได้ หรือน่าเป็นไปได้ว่าสำหรับมัทธิว ใครก็ตามถ้าได้ชื่อว่ามาจากนาซาเร็ธ หรือเป็นชาวนาซาเร็ธแล้ว เป็นเหมือนคนที่ถูกมองข้าม และเหตุนี้ ผู้เผยพระวจนะจึงพยากรณ์บ่อยครั้งว่าพระคริสต์จะอยู่ท่ามกลาง และเพื่อเราทั้งหลาย 20 ดังนั้นเมื่อ“ท่านถูกเรียกว่าเป็นชาวนาซาเร็ธ” ความหมายก็น่าจะแปลว่า “เป็นผู้ที่ถูกมองข้าม”21
ผมคิดว่าคำอธิบายของทั้งบอยส์และ บรูเนอร์นั้นดีมาก และสอดคล้องอย่างดีกับคำพยากรณ์ของบรรดาผู้เผยพระวจนะที่เล็งถึงพระเมสซิยา ห์ ดังนั้นหลายต่อหลายครั้ง เราพบคำพยากรณ์ที่กล่าวว่าทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดที่ถูกเกลียดชัง :
ท่านได้ถูกมนุษย์ดูหมิ่นและทอด ทิ้ง เป็นคนที่รับความเจ็บปวด และคุ้นเคยกับ ความเจ็บไข้และดังผู้หนึ่งซึ่งคนทนมองดูไม่ได้ ท่านถูกดูหมิ่น ท่านได้ถูกมนุษย์ ดูหมิ่นและทอดทิ้ง เป็นคนที่รับความเจ็บปวด และคุ้นเคยกับความเจ็บไข้ และดัง ผู้หนึ่งซึ่งคนทนมองดูไม่ได้ ท่านถูกดูหมิ่น (อิสยาห์ 53:3).22
ประการที่สี่ พระเยซูทรงเป็นอิสราเอลใหม่ ในบทที่ 1 มัทธิวเชื่อมโยงพระเยซูเข้ากับอับราฮัมและดาวิด (1:1-17) ในบทที่ 2 มัทธิวขยายวงกว้างออกไปอีก แรกเราเห็นว่าพระเยซูถูกโยงเข้ากับโมเสส โมเสส “ผู้ช่วยกู้” ที่พระเจ้าเลือกให้มาช่วยประชากรของพระองค์ ดังนั้นกษัตริย์ (ฟาโรห์) จึงแสวงชีวิตของท่าน ตั้งแต่ยังเป็นทารก23 พระเจ้าช่วยกู้โมเสสเช่นเดียวกับที่ทรงช่วยพระเยซู มัทธิวยังโยงพระเยซูเข้ากับ ประเทศอิสราเอล เราจึงประหลาดใจที่ “คำพยากรณ์” ในพระธรรมโฮเซยาห์ 11:1 สำเร็จเป็นจริงในองค์พระเยซู :
ครั้นเขาไปแล้วก็มีทูตองค์หนึ่งของ พระเป็นเจ้า ได้มาปรากฏแก่โยเซฟใน ความฝันแล้วบอกว่า “จงลุกขึ้นพากุมารกับมารดาหนีไปประเทศอียิปต์ และคอยอยู่ที่นั่นจนกว่าเราจะบอกเจ้า เพราะว่าเฮโรดจะแสวงหากุมาร เพื่อจะประหารชีวิตเสียในเวลากลางคืนโยเซฟจึงลุกขึ้น พากุมารกับ มารดาไปยังประเทศอียิปต์ และได้อยู่ที่นั่นจนเฮโรดสิ้นพระชนม์ ทั้งนี้เกิด ขึ้นเพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะของพระเป็นเจ้า ซึ่งได้ตรัสไว้โดยผู้เผยพระวจนะว่า เราได้เรียกบุตรของเราให้ออกมาจากอียิปต์ (มัทธิว 2:13-15)
คนยิวคนไหนในสมัยของพระเยซู จะไปคิดว่าพระธรรมโฮเซยา 11:1 เป็นคำพยากรณ์ คำพยากรณ์ที่ เกิดขึ้นเป็นจริงข้อนี้ ทำให้หลายคนงงเพราะนึกไม่ถึง ให้เรามาดูเหตุผลของมัทธิวกัน ชาวอิสราเอลละ ทิ้งแผ่นดินคานาอัน ไปชีวิตต่างแดนที่ในอียิปต์ถึง 400 ปี เมื่อถึงเวลา พระเจ้าส่งโมเสสมาช่วยประชากรของพระองค์กลับคืนสู่ดินแดนพันธสัญญา (ดูปฐมกาล 15:12-21) ตามบันทึกของมัทธิว พระเยซูย้อนรอยอดีตอิสราเอล ในวัยทารก พระองค์ถูกนำไปอียิปต์ (สถานที่ๆพระเจ้าเตรียมไว้เพื่อปก ป้องประชากรของพระองค์ เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงปกป้องพระเยซู) หลังพลัดพรากจากบ้านไปอยู่ที่อียิปต์ พระองค์ทรงเดินทางกลับสู่มาตุภูมิ ดินแดนแห่งพันธสัญญา เช่นเดียวบรรพบุรุษอิสราเอลเคยทำในอดีต
พระเจ้าสัญญากับอับราฮัมว่า จะทรงอำนวยพระพรประชาชาติผ่านทางเชื้อสายของท่าน (ปฐมกาล 12:1-3) แต่เป็นเพราะความบาป ไม่มีผู้ใดในอิสราเอลชอบธรรมพอที่จะเป็นพระพรไปสู่ประชาชาติ พระเยซูทรงเป็นอิสราเอลที่สมบูรณ์แบบ เป็นตัวแทนที่เหมาะสมยิ่งของประเทศ พระเยซูทรงเป็น “เชื้อสาย” ที่กล่าวถึงนี้ เป็นแหล่งที่พระพรจากพระสัญญาอับราฮัมจะเทออกไหลไปสู่ผู้อื่น :
ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างสักเรื่องหนึ่ง ถึงแม้เป็นคำสัญญาของมนุษย์ เมื่อได้รับรองกันแล้ว ไม่มีผู้ใดจะล้มเลิกหรือเพิ่มเติมขึ้นอีกได้ บรรดาพระ สัญญา ที่ได้ประทานไว้แก่อับราฮัมและพงศ์พันธุ์ของท่านนั้น มิได้ตรัสว่า และแก่พงศ์พันธุ์ทั้งหลาย เหมือนอย่างกับว่าแก่คนมากคน แต่เหมือนกับว่าแก่คนผู้เดียวคือ แก่พงศ์พันธุ์ของท่าน ซึ่งเป็นพระคริสต์ (กาลาเทีย 3:15-16)
อิสราเอลเป็นชาติที่ดื้อดึงและชอบกบฏ แม้ผู้นำที่ยิ่งใหญ่อย่างโมเสส ดาวิด และซาโลมอน ก็ยังเป็นคนบาป มีเพียงพระเยซูเท่านั้น ผู้เป็น “บุตรของอับราฮัม” และเป็น “บุตรดาวิด” และเป็น “บุตรพระเจ้า” ด้วย พระองค์เท่านั้นเป็นผู้ทำให้อนาคตของอิสราเอลสำเร็จเป็นจริง เป็นแหล่งแห่งพระพรฝ่ายวิญญาณทุกอย่าง ดังนั้นมัทธิวจึงประกาศว่า พระเยซูทรงเป็นผู้ทำให้พระสัญญา เรื่องพระพรของพระเจ้า และความหวังของอิสราเอลสำเร็จเป็นจริงสมบูรณ์ :
ถ้าเจาะลึกลงไปอีก บรรดานักแปลความหมายพบว่า สิ่งที่พระเยซูทำในบทที่ 2 เหมือนกับสิ่งที่คนอิสราเอลในยุคโบราณเคยทำมาแล้ว พระองค์ทรงละจากแผ่นดินพันธสัญญาอิสราเอลไปยังประเทศเจ้าเก่าที่ใช้หลบภัย อียิปต์ เหมือนกับบุคคลสำคัญทั้งหลาย (จากอับราฮัมไปยังโยเซฟ) ได้ทำในครั้งโบราณ เหมือนกับโมเสสที่สองในอพยพ พระเยซูถูกเรียกให้ออกมาจากอียิปต์ กลับคืนสู่ดินแดนพันธสัญญาอีกครั้ง (‘เราได้เรียกบุตรของเราให้ออกมาจากอียิปต์’) ทั้งหมดนี้ มัทธิวบอกเราว่า “ดูสิ อิสราเอลใหม่!”24
มัทธิว 1 สอนเราเรื่องปฐมกาลใหม่ โดยย้อนประวัติศาสตร์การกำเนิดของบุตรอับราฮัมและบุตรดาวิดตามพระสัญญา มัทธิว 2 จึงสอนเราเรื่องการอพยพใหม่ การเข้าไปอาศัยและออกจากประเทศอียิปต์ของพระเยซู หรือโมเสสใหม่ พระเยซูทรงทำให้พระวจนะสำเร็จสมบูรณ์ ในฐานะของพระเมสซิยาห์ : มัทธิวบทที่ 1 แสดงให้เห็นโดยการสืบทอดลำดับพงศ์ของพระเยซู (อับราฮัม และดาวิด); มัทธิวบทที่ 2 แสดงให้เห็นถึงสถานที่ๆพระองค์เสด็จไป (เบธเลเฮม อียิปต์ อิสราเอล) … .25
… พระองค์เองคือภาพรวมของอิสราเอลทั้งหมด (เป็นตัวแทนของมนุษยชาติ) เป็นถ้วยที่ต้องดื่มจนหยดสุดท้าย เพื่อจะซึมซับเอาไว้ให้หมดสิ้น
“สิ่งที่อิสราเอลเคยเป็นมาทั้งหมด หลอมรวมอยู่ในพระบุคคลขององค์พระเยซู” (จากข้อเขียนของ Meier, Vis., 55, n. 19) พระเยซูคริสต์คืออิสราเอลใหม่ อิสราเอลทำในสิ่งที่พระคัมภีร์ทำนายไว้ทุกประการ ทุกสิ่งที่อิสยาห์เผยไว้สำเร็จเป็นจริงในองค์พระเยซูคริสต์ เกิดขึ้นเป็นจริงโดยคนอิสราเอลเพียงคนเดียว เป็นไปตามหลักการพระคัมภีร์ที่ออสการ์ คัลมานเรียกว่า “ปฏิรูปแบบถดถอย” เมื่อมนุษย์ล้มเหลว (ปฐก. 1-11) อิสราเอลถูกเลือกให้เป็นหนทางความรอดสำหรับมนุษย์ทั้งมวล (ปฐก. 12) เมื่ออิสราเอลล้มเหลว เยซูชาวนาซาเร็ธ คนอิสราเอลทำสำเร็จในนามและเพื่ออิสราเอลเอง (มัทธิว 1) และเมื่อ “การปฏิรูปเดินหน้า” พระเยซูทรงตั้งคริสตจักรของพระองค์เอง เพื่อประชากรใหม่ของพระเจ้า เป็นเกลือ เป็นแสงสว่าง และเป็นสาวกจากทุกชนชาติ (มัทธิว 5;13-16; 28:18-20) จนกว่าพระองค์เสด็จกลับมาเมื่อสิ้นยุค ในบุคคลของพระเยซูองค์เดียว ทรงขมวดของเดิมเสีย และเปิดฉากใหม่ด้วยคริสตจักรของพระองค์เป็นประวัติศาสตร์แห่งความรอดของ อิสราเอลเพื่อโลกมนุษย์ 26
บทสรุป
ผมขอสรุปบทเรียนนี้ด้วยข้อคิดบางประการ
ข้อแรก พระเยซูทรงแบ่งแยกมนุษย์ได้อย่างอัศจรรย์ เรา เห็นข้อแตกต่างนี้ได้อย่างขัดเจนในมัทธิวบทที่ 2 ด้านหนึ่งคือพวกโหราจารย์ ที่เดินทางมาจากแดนไกล (อย่างยากลำบาก) มาเพื่อค้นหา และนมัสการกษัตริย์ของชาวยิว อีกด้านหนึ่งคือเฮโรดในฐานะผู้นำศาสนาและเป็นคนเยรูซาเล็ม เฮโรดได้ทำสิ่งโหดเหี้ยมที่สุด ตามสังหารพระกุมารเยซู ส่วนคนที่เหลือไม่ให้ความสนใจกับพระองค์ เมื่อมนุษย์เผชิญหน้าพระเยซู พวกเขาต้องตัดสินใจว่าจะน้อมรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยตามที่พระเจ้าทรงสัญญา ไว้ หรือจะปฏิเสธพระองค์ เมื่อคุณศึกษาบทเรียนนี้ คุณเองคืออีกคนที่ต้องเลือก : จะรับพระเยซูในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดของพระเจ้า หรือคุณจะปฏิเสธพระองค์ดี? ไม่มีทางสายกลางครับ ไม่เคยมี คุณอยากอยู่ฝ่ายไหน เฮโรด หรือโหราจารย์?
ข้อสอง บทเรียนตอนนี้เตือนเราว่า มีความรู้เรื่องพระเยซูตามพระคัมภีร์เท่านั้นไม่พอ เรา ต้องลงมือทำตามความรู้นั้นเพื่อจะรับความรอดได้ พวกโหราจารย์ต่างชาติไม่ได้มีความรู้เรื่องพระเยซูเท่ากับพวกผู้นำศาสนาใน เยรูซาเล็ม ถึงกระนั้นพวกเขาทำตามเท่าที่รู้ ออกตามหาพระกุมารเยซู และนมัสการพระองค์ พวกเขาพบทางแห่งความรอด ; แต่ชาวเยรูซาเล็มเองกลับไม่พบ
นี่คือคำสอนทิ้งท้ายที่พระเยซูให้ไว้ในคำเทศนาบนภูเขาใช่หรือไม่?
“เหตุฉะนั้นผู้ใดที่ได้ยินคำเหล่านี้ของ เรา และประพฤติตาม เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่มีสติปัญญาสร้างเรือนของตนไว้บนศิลา ฝนก็ตกและน้ำก็ไหลเชี่ยว ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น แต่เรือนมิได้พังลง เพราะว่ารากตั้งอยู่บนศิลา แต่ผู้ที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและไม่ประพฤติตามเขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่ โง่เขลา สร้างเรือนของตนไว้บนทราย ฝนก็ตกและน้ำก็ไหลเชี่ยว ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น เรือนนั้นก็พังทลายลง และการซึ่งพังทลายนั้นก็ใหญ่ยิ่ง” (มัทธิว 7:24-27)
เมื่อคุณได้ยินเรื่องราวของพระเยซูแล้ว คุณได้ลงมือทำหรือยัง? อย่าลืมว่าแค่รู้อย่างเดียวไม่พอ
ข้อสาม บทเรียนตอนต้นของพระกิตติคุณมัทธิว จะช่วยเตรียมเราสำหรับเรื่องราวต่างๆที่จะตามมาของพระกิตติคุณเล่มนี้ เราเรียนรู้ว่าพระเยซูทรงเป็นทั้ง “บุตรพระเจ้า” และ “บุตรมนุษย์” เป็นมนุษย์และเป็นพระเจ้า ทุกสิ่งที่พระเยซูทรงกระทำและตรัสในพระกิตติคุณเล่มนี้ นำไปสู่บทสรุปเพียงบทเดียว เมื่อพระองค์ถือกำเนิด มีบางคนปฏิเสธพระองค์ แต่ก็มีบางคนเชื่อ แม้เวลาผ่านไป ทุกอย่างยังเหมือนเดิม พระเยซูถูกประชากรของพระองค์เองปฏิเสธ (ยอห์น 1:11-12) แต่พวกต่างชาติต่างศาสนากลับยอมรับพระองค์ พระเยซูทรงเป็นอิสราเอลแท้ เป็นผู้ทำให้พระสัญญาสำเร็จเป็นจริง และเป็นความหวังของอิสราเอล คำนำของมัทธิวสำหรับพระกิตติคุณที่แสนมหัศจรรย์เล่มนี้ เตรียมเราให้พร้อมรับเรื่องราวยิ่งใหญ่ที่รอเราอยู่เบื้องหน้า
ข้อสี่ มัทธิวเปลี่ยนมุมมองการอ่านพระคัมภีร์เดิมของเรา มัท ธิวมองเห็นพระเยซูในพระคัมภีร์เดิม ในที่ๆเราไม่คาดคิด เป็นเพราะในหลายๆด้าน พระเยซู อิสราเอลใหม่ ทรงเป็นคำตอบสุดท้ายในพระสัญญาของพระเจ้า เป็นความหวังของอิสราเอล ท่านเห็นพระเยซูในการอพยพออกจากอียิปต์ (โฮเชยา 11:1) ท่านเห็นพระเยซูในที่ๆเราไม่เห็น บางทีสิ่งนี้บอกว่าเราควรมองหาพระเยซูในพระคัมภีร์เก่าให้มากกว่าเดิม และบ่อยกว่าด้วย เราจึงไม่ประหลาดใจเมื่อได้อ่านจากปลายปากกาของ อ.เปาโล :
และได้รับประทานอาหารทิพย์ทุกคน และได้ดื่มน้ำทิพย์ทุกคน เพราะว่าเขาได้ดื่มน้ำซึ่งไหลออกมาจากพระศิลาที่ติดตามเขามา พระศิลานั้นคือพระคริสต์ (1 โครินธ์ 10:3-4)
ขอให้เรามองหาพระเยซูเมื่อเราอ่านพระคัมภีร์เดิม พระองค์ทรงอยู่ที่ั่นั่นมากกว่าที่เราคิด
ข้อห้า มัทธิวมี “วิสัยทัศน์” ในพระราชกิจ ไม่ใช่เฉพาะตอนจบของพระกิตติคุณเท่านั้น (28:18-20) มีตั้งแต่เริ่มแรกทีเดียว เหตุ ใดผู้เขียนชาวยิว เขียนพระกิตติคุณเพื่อคนยิว จึงเขียนเรื่องคนต่างชาติตั้งแต่สองบทแรก หรือเป็นเพราะส่วนสำคัญที่สุดในพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ คือข่าวประเสริฐเรื่องความรอดและพระพรที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้แก่ชนทุกชาติ ไม่ใช่แค่อิสราเอล พระสัญญาอับราฮัมเป็นพระสัญญาแห่งพระพรที่มีให้ทั้งอิสราเอล และมนุษยชาติ นี่คือเหตุที่พระเยซูทรงสำแดงเรื่องชาวต่างชาติให้เห็นชัดเจนในพระกิตติคุณ ลูกา 4:16-30 และที่มัทธิวรวมเชื้อสายคนต่างชาติอยู่ในลำดับพงศ์ของท่าน และอีกครั้งในบทที่ 2 ด้วย พวกเราในฐานะคนต่างชาติ ควรมองเห็นว่าเรามีทางเลือกในเรื่องความบาป และการที่พระเยซูอภัยให้ โดยชดใช้ด้วยพระโลหิตของพระองค์เอง พวกยิวด้วยต้องรับผิดชอบต่อการกบฏและการปฏิเสธพระองค์ มัทธิวเป็นหนังสือแห่งพระกิตติคุณ ; เป็นการประกาศข่าวประเสริฐเรื่องของขวัญแห่งชีวิตนิรันดร์ และการอภัยโทษบาปที่พระเจ้าทรงมอบให้แก่มนุษย์ทุกคน
เป็นพระกิตติคุณที่จบลงด้วยคำสั่ง สั่งให้เรานำข่าวดีนี้ไปบอกกับทุกชนชาติ เป็นสิ่งที่เราพึงกระทำ แต่ อยากให้เราเรียนรู้ด้วยว่า ถึงแม้มนุษย์ล้มเหลวในการทำตามพระมหาบัญชา ที่ให้ไปเป็น “แสงสว่างแก่ประชาชาติ” แต่พระเจ้าจะทรงนำคนที่พระองค์เลือกสรรไว้ให้มาถึงพระองค์ได้ ถึงแม้อิสราเอลล้มเหลวในการเป็น “แสงสว่างแก่คนต่างชาติ” พระเจ้าทรงมุ่งไปยังโหราจารย์ นำพวกเขามานมัสการพระกุมารเยซู แต่นี่ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะไม่ทำตามพระมหาบัญชา ; แต่เป็นการหนุนใจว่าพระเจ้าไม่มีวันปล่อยให้ผู้ที่พระองค์เลือกสรรไว้หลงหาย ไป ไม่ว่าจะบาปแคไหน ไม่ว่าเราจะอยู่ไกลสุดหล้าฟ้าเขียวแค่ไหนก็ตาม
เมื่อเราย้อนนึกถึงเรื่องพระเจ้า “ทรงเรียก” พวกโหราจารย์มา ทำให้เราอดคิดถึงคำพูดของ อ.เปาโลใน หนังสือเอเฟซัสที่กล่าวถึงความรักและพระคุณของพระเจ้า ที่ทรงเรียกให้คนต่างชาติมาพบพระองค์ :
เหตุฉะนั้นท่านจงระลึกว่า เมื่อก่อนท่านเคยเป็นคนต่างชาติตามเนื้อหนัง และพวกที่รับพิธีเข้าสุหนัตซึ่งกระทำแก่เนื้อหนังด้วยมือ เคยเรียกท่านว่า เป็นพวกที่มิได้เข้าสุหนัต จงระลึกว่า ครั้งนั้นท่านทั้งหลายเป็นคนอยู่นอกพระคริสต์ ขาดจากการเป็นพลเมืองอิสราเอล และไม่มีส่วนในบรรดาพันธสัญญาซึ่งทรงสัญญาไว้นั้น ไม่มีที่หวัง และอยู่ในโลกปราศจากพระเจ้า แต่บัดนี้ในพระเยซูคริสต์ ท่านทั้งหลายซึ่งเมื่อก่อนอยู่ไกล ได้เข้ามาใกล้โดยพระโลหิตของพระคริสต์ (เอเฟซัส 2:11-13)
โดย : Robert L (Bob) Deffinbaugh
ได้รับอนุญาตและเป็นลิขสิทธิของ https://bible.org/
แปล : อรอวล ระงับภัย (Church of Joy)
1 นอกเหนือจากที่กล่าวมา พระวจนะคำที่นำมาใช้ทั้งหมดมาจาก NET Bible (The NEW ENGLISH TRANSLATION) หรือ THE NET BIBLE เป็นการแปลพระคัมภีร์ใหม่ทั้งหมด ไม่ใช่นำฉบับแปลภาษาอังกฤษเดิมที่แปลไว้แล้วมาเรียบเรียงใหม่ แต่เป็นการแปลโดยใช้ผู้เชี่ยวชาญพระคัมภีร์มากกว่า 20 ท่าน แปลตรงจากฉบับภาษาฮีบรู อาราเมค และภาษากรีก วัตถุประสงค์ในการแปลคือต้องการเผยแผ่พระวจนะโดยสื่ออีเลคโทรนิค เพื่อใช้ในระบบอินเตอร์เน็ท หรือเก็บไว้เป็นซีดี (compact disk) ทุกคนในโลกที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ท สามารถคัดลอกนำ NET Bible ไปใช้ส่วนตัวได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ นอกจากนี้ ผู้ใดต้องการแบ่งปันพระวจนะกับผู้อื่น สามารถคัดลอกหรือพิมพ์แจกจ่ายเพื่อการศึกษาได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆทั้ง สิ้น เว็บไซด์ที่ใช้คือ : www.netbible.org.
2 จากหนังสือของ J. W. Shepard, The Christ of the Gospels, p. 41. Everett Harrison in his book, Introduction to the New Testament (Grand Rapids: Eerdmans, 1964
3 ดูยอห์น 21:25
4 ดูข้อ 1: “หลังจากพระเยซูได้ทรงบังเกิด ในเยรูซาเล็ม… .” และจากอายุของเด็กๆที่ถูกฆ่า เราจึงรู้ว่าพระเยซูไม่ได้อยู่ในรางหญ้า แต่อาศัยอยู่ในบ้าน (2:11)
5 เหตุใดมัทธิวจึงบอกเราว่า “ดาว” ดวงนั้นปรากฎอีกครั้ง และเหล่าโหราจารย์ยินดียิ่งนักที่ได้เห็นดาว ดวงนั้นอีก (2:9-10)?
6 เฟรเดอริค บรูเนอร์ พยายามอธิบายว่าเหตุใดพระเจ้าจึงให้ดาวนำทางโหราจารย์มา มากกว่าเปิดเผยโดยทางพระวจนะ: “นักดาราศาสตร์ต่างชาติที่น่ารังเกียจเหล่านี้ ไม่มีสิ่งใดดีเลยได้แต่กราบไหว้รูปเคารพ แต่กลับถูกนำมาอิสราเอล แทนชนชาติที่รับการเปิดเผยมาก่อนทางพระวจนะ ชาวต่างชาติกลับเป็นพวกที่ติดตามแสวงหา ในขณะที่ประชากรของพระเจ้านั่งเฉยอยู่กับที่ พวกต่างชาติน่ารังเกียจกลับเชื่อพระวจนะ คนของพระเจ้าไม่ใส่ใจ” นี่คือสิ่งที่มัทธิวค้นพบตั้งแต่ศตวรรษแรก (จากหนังสือของ Bruner, The Christbook: A Historical/Theological Commentary, Waco, Texas: Word Books, 1987, vol. 1, pp. 47-48) ถ้าผมเรียงลำดับเหตุการณ์ถูกต้อง โหราจารย์อาจไม่เคยรู้เรื่องคำพยากรณ์ของมีคาห์ 5:2 มาก่อน แต่อาจได้รับการบอกเล่าว่าจะมี “กษัตริย์ชาวยิว” มาบังเกิดที่เบธเลเฮม
7 บรูเนอร์หน้า 45
8 “สำหรับคนอิสราเอล พวกโหราจารย์เป็นคนต่างชาติที่กราบไหว้รูปเคารพ และยังยึดถือเช่นนั้นจนถึง พระคัมภีร์ใหม่ และถูกพูดถึงในแง่ไม่ดีนัก (ตัวอย่างเช่น กิจการ 8:9-24 ซีโมนคนทำวิทยาคม และใน กิจการ 13:6-11 เอลีมาสหรือบารเยซู (ผู้ทำนายเท็จ ) พวกเขาเป็นพวกแสวงหาคำตอบหรือสอนผู้อื่น ให้แสวงหาจากสิ่งทรงสร้างไม่ใช่จากพระผู้สร้าง พวกเขาคิดคำนวณ และใช้สติปัญญาของตนเอง (เช่น เรื่องจักรราศี) แสวงหาความหมายจากสิ่งต่างๆ คนอิสราเอลจึงรังเกียจพวกหมอดูต่างชาติพวกนี้” บรูเนอร์ หน้า 45
9 เรื่องดาราศาสตร์ในสมัยนั้น อ่านได้จาก Michael Green, Matthew For Today: Expository Study of Matthew (Dallas, Texas: Word Publishing, 1989), pp. 49-50.
10 มุมมองนี้ดูได้จากหนังสือของ James Montgomery Boice, The Gospel of Matthew (Grand Rapids, Michigan: Baker Books, 2001), vol. 1, p. 30.
11 บรูเนอร์ หน้า 50. ตอนผมอ่านผมว่าบรูเนอร์ไม่ถูกต้องทีเดียวนัก ที่กล่าวว่าหลังจากโหราจารย์นมัสการพระเยซูแล้ว คำว่า”กษัตริย์” ถูกถอดไป น่าจะเป็นหลังจากอ้างข้อพระคำมีคาห์ 5:2 แล้วจึงเหลือแค่ “เฮโรด” เฉยๆใน 2:7 อย่างไรก็ตาม ข้อสังเกตุของบรูเนอร์นั้นน่าสนใจมาก
12 ถ้าข้อมูลของผมถูกต้อง เฮโรดน่าจะครอบครองมาแล้วประมาณ 33 ปี (กรีน หน้า48) คงอยู่ในราว 40 ปีก่อนคริสตกาล และปกครองจนถึงสมัยพระเยซู ดังนั้นเมื่อท่านตายน่าจะอายุราวๆ 70 ปี คนแก่ขนาดนี้กลัวเด็กทารกทำไม? หรือท่านเป็นเหมือนเราทั้งหลาย ชอบคิดว่าความตายยังอยู่ห่างไกล
13 กรีน หน้า 52
14 ดู 1 โครินธ์ 1:25
15 บรูเนอร์ หน้า 49
16 มีการเอ่ยถึงการ “นมัสการ” พระเยซูเพียงครั้งเดียวในพระกิตติคุณมาระโก แต่ในมัทธิวพูดถึงสิบครั้ง; … .” บรูเนอร์ หน้า 49
17 บอยส์ vol. 1, หน้า. 42
18 บรูเนอร์ vol. 1, หน้า 42
19 ไอบิด vol. 1, หน้า 42
20 ไอบิด หน้า 62
21 ไอบิด หน้า. 62
22 ให้ดูสดุดี 22:6-8, 13, 17; 69:9, 19-21; อิสยาห์ 49:7; 50:6; ดาเนียล 9:26
23 เรามองเห็นสิ่งที่เชื่อมโยงกันระหว่างพระเยซูและดาวิด ดาวิดได้รับการเจิมตั้งโดยซามูเอลให้เป็น กษัตริย์อิสราเอลองค์ใหม่ แต่ก็ต้องหลบหนีซาอูลกษัตริย์อิสราเอลในตอนนั้นซึ่งแสวงชีวิตของกษัตริย์ องค์ใหม่อยู่ตลอดเวลา
24 บรูเนอร์ หน้า 57
25 ไอบิด หน้า 59
26 บรูเนอร์ หน้า 60
Related Topics: Incarnation
3. การสังหารทารก และผู้บริสุทธิ์ต้องรับทุกข์ (มัทธิว 2:13-18)
Related Mediaคำนำ1
มัทธิวทำให้นักศึกษาพระคัมภีร์ต้องเจอปัญหาหลายประการในการตีความพระ กิตติคุณของท่านในบทที่สอง อย่างที่ชี้ให้เห็นในบทเรียนที่แล้ว ท่านอ้างพระวจนะจากพระคัมภีร์เดิมถึงสี่ครั้งในบทที่สอง มีพระวจนะแค่ข้อเดียวที่คำพยากรณ์ตรงกับเหตุการณ์การประสูติของพระเยซู นั่นคือมีคาห์ 5:2 ในมัทธิว 2:6 มีคาห์พยากรณ์ว่าเบธเลเฮมจะเป็นที่ประสูติของพระเมสซิยาห์ ชัดเจนและตรงที่สุด แม้พวกนักศาสนาในเยรูซาเล็มที่ไม่เชื่อก็ยังเข้าใจ
อีก 3 ข้อจากพระคัมภีร์เดิมที่นำมาใช้ในมัทธิว 2 ไม่ได้เป็นคำพยากรณ์ตรงเป๊ะอย่างที่เราอยากเห็น เช่นจากโฮเชยา 11:1 ในมัทธิว 2:5 ไม่อาจพูดว่าเป็นคำพยากรณ์ที่ใช่ มัทธิวมองว่าที่พระเยซูเสด็จกลับจาก “ลี้ภัย” ที่อียิปต์ ทำให้คำของโฮเชยา “เราได้เรียกบุตรชายของเราออกมาจากอียิปต์” เกิดขึ้นเป็นจริง มัทธิว 2:23 เหมือนนำพระวจนะจากพระคัมภีร์เดิมมาใช้แต่ออกจะซับซ้อน เพราะไม่มีพระวจนะข้อใดในพระคัมภีร์เดิมพูดว่าพระเยซู “จะถูกเรียกว่าเป็นชาวนาซาเร็ธ” แต่ข้อที่จะเราเลือกเรียนกันคือ เยเรมีย์ 31:15 ที่พูดได้ว่าได้เกิดขึ้นจริงตามเหตุการณ์ในมัทธิว 2:16-18:2
ครั้นเขาไปแล้วก็มีทูตองค์หนึ่งของพระ เป็นเจ้า ได้มาปรากฏแก่โยเซฟในความฝันแล้วบอกว่า “จงลุกขึ้นพากุมารกับมารดาหนีไปประเทศอียิปต์ และคอยอยู่ที่นั่นจนกว่าเราจะบอกเจ้า เพราะว่าเฮโรดจะแสวงหากุมาร เพื่อจะประหารชีวิตเสีย” ในเวลากลางคืนโยเซฟจึงลุกขึ้น พากุมารกับมารดาไปยังประเทศอียิปต์ และได้อยู่ที่นั่นจนเฮโรดสิ้นพระชนม์ ทั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะของพระเป็นเจ้า ซึ่งได้ตรัสไว้โดยผู้เผยพระวจนะว่า เราได้เรียกบุตรของเราให้ออกมาจากอียิปต์ ครั้นเฮโรดเห็นว่าพวกโหราจารย์หลอกท่าน ก็กริ้วโกรธยิ่งนัก จึงใช้คนไปฆ่าเด็กผู้ชายทั้งหลาย ในบ้านเบธเลเฮมและที่ใกล้เคียงทั้งสิ้น ตั้งแต่อายุสองขวบลงมา ซึ่งพอดีกับเวลาที่ท่านได้ทราบจากพวกโหราจารย์นั้น ครั้งนั้นก็สำเร็จตามพระวจนะที่ตรัสโดยเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะว่า ได้ยินเสียงในหมู่บ้านรามาห์ เป็นเสียงโอดครวญและร่ำไห้ คือนางราเชลร้องไห้คร่ำครวญ เพราะบุตรทั้งหลายของตน นางไม่รับฟังคำปลอบเล้าโลม เพราะบุตรทั้งหลายนั้นไม่มีแล้ว (มัทธิว 2:13-18)3
มีคำถามเกิดขึ้นหลายข้อเมื่อมัทธิวนำเยเรมีย์ 31:15 มาโยงเข้ากับเฮโรดสังหารทารกในเบธเลเฮม บางคนสนใจวิธีที่มัทธิวใช้พระคำจากพระคัมภีร์เดิม อื่นๆเกี่ยวข้องกับอำนาจอธิปไตยของพระเจ้า และการที่มนุษย์ต้องรับทุกข์ เราจะอธิบายความทุกข์ที่เกิดขึ้นในการประสูติของพระเยซู และการลี้ภัยไปที่อียิปต์ว่าทำไม? จำเป็นด้วยหรือ? ทำไมพระเจ้าถึงอนุญาต? พระองค์น่าจะป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น
มัทธิวทำอย่างไรให้ผู้อ่านเข้าใจการเชื่อมโยงระหว่างเฮโรดสังหารทารกใน 2:16-18 และเยเรมีย์ 31:15? อย่างที่รู้กัน ทารกเหล่านี้ยังเป็นมนุษย์ที่เรียกว่า “ไร้เดียงสา” ทำไมมัทธิวอธิบายเหตุการณ์ที่โหดเหี้ยมนี้ว่าถูกกำหนดไว้แล้ว หรือพระเจ้ามีพระประสงค์ให้เกิดขึ้น?
บทเรียนนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในมัทธิว 2:16-18 เราจะมาหาคำตอบในมุมมองที่กว้างกว่าของพระคัมภีร์ และตามมุมมองของศาสนศาสตร์ จุดมุ่งหมายของบทเรียนนี้เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นเรื่องการทนทุกข์ โดยเฉพาะ “ทุกข์ที่ตัวเองไม่ได้ก่อ” เราจะมาเรียนว่าทำไม และอย่างไร “ผู้บริสุทธิ์ต้องมารับทุกข์” ตามที่พระเจ้ากำหนด จะเริ่มจากดูที่พระวจนะตอนอื่นก่อน แล้วกลับมาที่มัทธิวนำเยเรมีย์ 31:15 มาใช้ในมัทธิว 2:18
ความทุกข์เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ชีวิตคนเรา (โรม 8:18-27)
เพราะข้าพเจ้าเห็นว่าความทุกข์ลำบากแห่ง สมัยปัจจุบัน ไม่สมควรที่จะเอาไปเปรียบกับศักดิ์ศรี ซึ่งจะเผยให้แก่เราทั้งหลาย ด้วยว่าสรรพสิ่งที่ทรงสร้างแล้ว มีความเพียรคอยท่าปรารถนาให้บุตรทั้งหลายของพระเจ้าปรากฏ เพราะว่าสรรพสิ่งเหล่านั้นต้องเข้าอยู่ในอำนาจของอนิจจัง ไม่ใช่ตามใจชอบของตนเอง แต่เป็นไปตามที่พระเจ้าได้ทรงให้เข้าอยู่นั้น ด้วยมีความหวังใจว่า สรรพสิ่งเหล่านั้นจะได้รอดจากอำนาจแห่งความเสื่อมสลาย และจะเข้าในเสรีภาพและศักดิ์ศรีแห่งบุตรทั้งหลายของพระเจ้า เรารู้อยู่ว่าบรรดาสรรพสิ่งที่ทรงสร้างนั้นกำลังคร่ำครวญ และผจญความทุกข์ยากด้วยกันมาจนทุกวันนี้ และไม่ใช่เท่านั้น แต่เราทั้งหลายเองด้วย ผู้ได้รับพระวิญญาณเป็นผลแรก ตัวเราเองก็ยังคร่ำครวญคอยการที่พระเจ้าทรงให้เป็นบุตร คือที่จะทรงให้กายของเราทั้งหลายรอดตาย เหตุว่าเราทั้งหลายรอดแม้เป็นเพียงความหวังใจ แต่ความหวังใจในสิ่งที่เราเห็นได้ หาเป็นความหวังใจไม่ ด้วยว่าใครเล่าจะยังหวังในสิ่งที่เขาเห็นแต่ถ้าเราทั้งหลายคอยหวังใจในสิ่ง ที่เรายังไม่ได้เห็น เราจึงมีความเพียรคอยสิ่งนั้น (18-25)
ในทำนองเดียวกัน พระวิญญาณก็ทรงช่วยเราเมื่อเราอ่อนกำลังด้วย เพราะเราไม่รู้ว่าเราควรจะอธิษฐานขอสิ่งใดอย่างไร แต่พระวิญญาณทรงช่วยขอแทนเรา ในเมื่อเราคร่ำครวญอธิษฐานไม่เป็นคำและพระองค์ผู้ทรงชันสูตรใจมนุษย์ ก็ทรงทราบความหมายของพระวิญญาณ เพราะว่า พระวิญญาณทรงอธิษฐานขอเพื่อธรรมิกชนตามที่ชอบพระทัยพระเจ้า (26-27)
อ. เปาโลชี้ให้เห็นว่ามนุษย์เต็มไปด้วยความบาปและสมควรแก่พระอาชญานิรันดร์ ไม่ว่ามาตรฐานของมนุษย์จะล้มเหลวจนมองไม่เห็นพระเจ้าในธรรมชาติ (โรม 1) หรือการสำแดงของพระเจ้าในธรรมบัญญัติโมเสส (โรม 2) ธรรมบัญญัติไม่อาจช่วยมนุษย์ให้รอด มีแต่ชี้ให้เห็นความผิดพลาด เพราะไม่มีใครทำตามที่บัญญัติไว้ได้ครบถ้วน (โรม 3:1-20) เมื่อมนุษย์ไม่อาจรอดได้จากการกระทำของตนเอง พระเจ้าทรงเตรียมหนทางให้โดยไม่เกี่ยวกับการกระทำ โดยทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์ การสิ้นพระชนม์อย่างทุกข์ทรมานของพระองค์ เพื่อคนที่วางใจในพระองค์จะรอดได้ (โรม 3:21-31) ความรอดโดยทางความเชื่อไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ เป็นทางเดียวกับที่อับราฮัมและธรรมิกชนในพระคัมภีร์เดิมได้รับมาแล้ว (โรม 4)
ในโรม 5 อ.เปาโลพูดถึงสิทธิพิเศษในความรอดที่พระเจ้ามอบให้โดยการสิ้นพระชนม์อย่าง ทุกข์ทรมาน และการคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ ที่น่าสนใจคือสิทธิพิเศษแรกที่ อ.เปาโลพูดถึงเกี่ยวข้องกับการทนทุกข์ :
เหตุฉะนั้น เมื่อเราได้เป็นคนชอบธรรมเพราะความเชื่อแล้ว เราจึงมีสันติสุขในพระเจ้า ทางพระเยซู คริสตเจ้าของเรา โดยทางพระองค์เราจึงได้เข้าในร่มพระคุณที่เรายืนอยู่ และเราชื่นชมยินดีในความไว้วางใจ ว่าจะได้มีส่วนในพระสิริของพระเจ้า ยิ่งกว่านั้น เราชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากของเราด้วย เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยากนั้น ทำให้เกิดความอดทน และความอดทนทำให้เห็นว่าเราเป็นคนที่พระเจ้าทรงใช้ได้ และการที่เราเห็นเช่นนั้นทำให้เกิดมีความหวังใจ และความหวังใจมิได้ทำให้เกิดความเสียใจเพราะผิดหวัง เพราะเหตุว่าความรักของพระเจ้าได้หลั่งเข้าสู่จิตใจของเรา โดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระองค์ได้ประทานให้แก่เราแล้ว ขณะเมื่อเรายังขาดกำลัง พระคริสต์ก็ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อช่วยคนบาปในเวลาที่เหมาะสม ไม่ใคร่จะมีใครตายเพื่อคนตรง แต่บางทีจะมีคนอาจตายเพื่อคนดีก็ได้ แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา เพราะเหตุนั้นเมื่อเราเป็นคนชอบธรรมแล้วโดยพระโลหิตของพระองค์ ยิ่งกว่านั้นเราจะพ้นจากพระอาชญาของพระเจ้าโดยพระองค์ เพราะว่าถ้าขณะที่เรายังเป็นศัตรูต่อพระเจ้าเราได้กลับคืนดีกับพระองค์ โดยที่พระบุตรของพระองค์สิ้นพระชนม์ ยิ่งกว่านั้นอีกเมื่อเรากลับคืนดีแล้ว เราก็จะรอดโดยพระชนม์ชีพของพระองค์แน่ มิใช่เพียงเท่านั้น เราทั้งหลายยังชื่นชมยินดีในพระเจ้า โดยทางพระเยซูคริสตเจ้าของเรา ผู้ทรงเป็นเหตุให้เราได้กลับคืนดีกับพระเจ้า (โรม 5:1-11)
ความรอดของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์หยัดยืน ได้ในความทุกข์ ที่จริงแล้วเรามีความชื่นชมยินดีในความทุกข์ ด้วยรู้ว่าจะทำให้ความเชื่อของเราหนักแน่นมั่นคง และมั่นใจในชีวิตนิรันดร์ ความรอดในองค์พระเยซูคริสต์นี้ ปลดปล่อยผู้เชื่อทุกคนจากการล้มลงของอาดัมและผลสาปแช่งของบาป สิ่งที่อาดัมทำ พระเจ้าทรงลบล้างแล้วในองค์พระเยซูคริสต์ และมากกว่านั้น (5:12-21)
ความรอดของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ไม่ใช่เป็นใบเบิกทางให้ทำบาป แต่เป็นแรงกระตุ้นให้ดำเนินชีวิตตามแบบของพระองค์ เพราะเราผู้ซึ่งนับว่าตายแล้วในพระคริสต์โดยทางความเชื่อ ก็ได้ตายจากบาป และไม่อาจดำเนินชีวิตอยู่ในความบาปต่อไป (โรม 6:1-14) ต้องเข้าใจว่าเราหลุดพ้นจากพันธนาการของบาปแล้ว และตระหนักว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย ซึ่งแน่นอนเราไม่อาจดำเนินในทางนั้นได้อีกต่อไป (6:15-23) ในพระคริสต์ เราไม่เพียงแต่ตายจากบาป เราตายจากธรรมบัญญัติด้วย ซึ่งปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระโดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ (7:1-7) ธรรมบัญญัติไม่ได้เป็นรากเหง้าของปัญหา ความบาปต่างหาก เนื้อหนังของเรา (เรี่ยวแรงตามธรรมชาติของมนุษย์) ไม่เพียงพอเอาชนะความบาปได้ ความบาปจึงเอาชนะได้เมื่อเราพยายามด้วยกำลังของเราเอง (7:8-25)
ทางออกจากอำนาจบาปคืออำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ คนที่วางใจในพระเยซูคริสต์ไม่ได้ตกอยู่ภายใต้คำแช่งสาปอีกต่อไป พวกเขาไม่ตกอยู่ในอาณาจักรของบาปแล้ว และมีอำนาจที่จะเอาชนะอย่างที่กำลังของเนื้อหนังทำไม่ได้ (ความชอบธรรมตามธรรมบัญญิติครบถ้วนแล้วในเรา) แต่ทำได้โดยทางพระวิญญาณ พระวิญญาณเดียวกับที่ชุบพระเยซูคริสต์ขึ้นมาจากความตาย เดี๋ยวนี้สถิตอยู่ในเรา ประทานชีวิตให้กับกายที่เสื่อมสลายนี้ ทุกคนที่เป็นผู้เชื่อแท้ในพระเยซูคริสต์มีพระวิญญาณสถิตอยู่ และที่เหนือกว่าทรงให้เรามั่นใจได้ว่าเราเป็น “บุตรของพระเจ้า” (8:1-17)
เราอาจคิดว่าเมื่ออ่านโรม 8:18 อ.เปาโลกำลังบอกว่าต่อไปนี้ชีวิตเราจะ “โรยด้วยกลีบกุหลาบ” มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ในเรารับประกันว่าความเจ็บปวด และความทุกข์จะหมดสิ้นไป แต่ในข้อ 18-30 อ.เปาโลกลับพูดตรงกันข้าม ท่านยืนยันว่าชีวิตมนุษย์ทุกคนต้องเผชิญกับประสบการณ์ “ความทุกข์ยาก และการคร่ำครวญ” เพราะการล้มลงของมนุษย์และผลที่ตามมา ตามที่ท่านเขียน “เรารู้อยู่ว่าบรรดาสรรพสิ่งที่ทรงสร้างนั้นกำลังคร่ำครวญ และผจญความทุกข์ยากด้วยกันมาจนทุกวันนี้” (8:22) ความวุ่นวายและคำแช่งสาปผลจากความบาปของอาดัมจะยังไม่หมดไปจนกว่าการเสด็จกลับมาอีกครั้งของพระเยซูคริสต์ และ “ให้บุตรทั้งหลายของพระเจ้าปรากฏ” (8:19) และในเวลานั้นพระเจ้าจะ “ทรงให้เป็นบุตร คือที่จะทรงให้กายของเราทั้งหลายรอดตาย” (8:23) และเมื่อเวลานั้นมาถึง เราและสรรพสิ่งทรงสร้างจะได้รับการปลดปล่อยจากพันธนาการของความเสื่อมสลาย (8:21)
ถ้าทั้งสิ้นในโลกนี้ยังทนทุกข์และคร่ำครวญ สำหรับคริสเตียนแล้วต้องเผชิญมากกว่า คริสเตียนเป็นพวกที่ได้ลิ้มรสชีวิตนิรันดร์ และได้รับ “พระวิญญาณเป็นผลแรกแล้ว” (8:22) เราไม่เพียงแต่รอคอยเวลาที่พระเจ้าจะทำให้ทุกสิ่งเป็นสิ่งใหม่ แต่เรายังคร่ำครวญต่อโลกนี้ที่ล่มสลายเพราะความบาป ถึงกระนั้นเราก็ยังรอคอยวันนั้นด้วยความเพียรและความหวังใจ (8:25)
ความรอดในพระคริสต์และของประทานจากพระวิญญาณไม่ได้กันเราออกจากความทุกข์ แต่ทำให้เราฝ่าความทุกข์นั้นไปได้ พระวิญญาณจะเสริมกำลังและพยุงเราไว้ ให้ความมั่นใจในความเป็นบุตร อธิษฐานแทนเมื่อเราคร่ำครวญเพราะความทุกข์ (8:26-27) พระเจ้าองค์เดียวกันนี้ที่นำเราให้รอดพ้นจากพระอาชญาและอำนาจของบาป จะปลดปล่อยเราออกจากความบาปของปัจจุบัน จนกว่าจะถึงวันนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงช่วยเราในท่ามกลางความทุกข์ที่ต้องเผชิญ
สรุปคือ ความทุกข์ยากเป็นประสบการณ์ที่มนุษย์ต้องเผชิญ เพราะเราอยู่ในโลกที่ถูกคำแช่งสาปของบาป พระเจ้าประทานสิ่งที่จำเป็นในการเผชิญความทุกข์ในชีวิต และนำไปจนถึงเป้าหมายที่ทรงเตรียมไว้ให้ในชีวิตเรา เราทนต่อความทุกข์ได้เพราะพระเจ้าประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้ เพื่อปลอบประโลมและให้ความมั่นใจในฐานะบุตรของพระองค์ ทำหน้าที่แทนเมื่อเราอ่อนกำลัง คริสเตียนไม่ได้รับการยกเว้นในเรื่องความทุกข์ แต่เพราะชีวิตใหม่และความหวังใจนิรันดร์ ทำให้สามารถ “ทนทุกข์คร่ำครวญ” ได้พร้อมกับทุกสรรพสิ่งทรงสร้าง รอคอยการกลับมาของพระเยซูคริสต์ และถ้าการทนทุกข์เหล่านี้ทำสิ่งใดให้ได้บ้าง ทำให้เรากระหายหาแผ่นดินสวรรค์ของพระองค์ :
พระวิญญาณนั้นเป็นพยานร่วมกับวิญญาณจิต ของเราทั้งหลายว่า เราทั้งหลายเป็นบุตรของพระเจ้า และถ้าเราทั้งหลายเป็นบุตรแล้ว เราก็เป็นทายาท คือเป็นทายาทของพระเจ้า และเป็นทายาทร่วมกับพระคริสต์ เมื่อเราทั้งหลายทนทุกข์ทรมานด้วยกันกับพระองค์นั้น ก็เพื่อเราทั้งหลายจะได้ศักดิ์ศรีด้วยกันกับพระองค์ด้วย เพราะข้าพเจ้าเห็นว่าความทุกข์ลำบากแห่งสมัยปัจจุบัน ไม่สมควรที่จะเอาไปเปรียบกับศักดิ์ศรี ซึ่งจะเผยให้แก่เราทั้งหลาย (16-18)
ไม่ใช่ทุกการทนทุกข์เป็นผลโดยตรงจากความบาปของเรา –
ยอห์น 9:1-7
เมื่อพระองค์เสด็จดำเนินไปนั้น ทรงเห็นชายคนหนึ่งตาบอดแต่กำเนิด และพวกสาวกของพระองค์ทูลถามพระองค์ว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า ใครได้ทำผิดบาป ชายคนนี้หรือบิดามารดาของเขา เขาจึงเกิดมาตาบอด” พระเยซูตรัสตอบว่า “มิใช่ว่าชายคนนี้หรือบิดามารดาของเขาได้ทำบาป แต่เขาเกิดมาตาบอด เพื่อให้พระราชกิจของพระเจ้าปรากฏในตัวเขา เราต้องกระทำพระราชกิจของพระองค์ผู้ทรงใช้เรามาเมื่อยังวันอยู่ เมื่อถึงกลางคืนไม่มีผู้ใดทำงานได้ ตราบใดที่เรายังอยู่ในโลก เราเป็นความสว่างของโลก” เมื่อตรัสดังนั้นแล้ว พระองค์ก็ทรงบ้วนน้ำลายลงที่ดิน แล้วทรงเอาน้ำลายนั้นทำเป็นโคลนทาที่ตาของคนตาบอด แล้วตรัสสั่งเขาว่า “จงไปล้างโคลนออกเสียในสระสิโลอัมเถิด” (สิโลอัมแปลว่า ใช้ไป) เขาจึงไปล้างแล้วกลับมาก็เห็นได้
เราคงจำเรื่องโยบและเพื่อนๆที่มา “ทอนกำลังใจ” กันได้ พวกเขาให้คำปรึกษาโดยตั้งอยู่บนการคาดเดาที่ผิดพลาด – ความทุกข์มาจากผลโดยตรงของบาปที่ตัวเองก่อเสมอ – แม้แต่สาวกของพระเยซูยังคิดเช่นนั้น ขณะเดินทาง พระเยซูทอดพระเนตรเห็นชายตาบอดแต่กำเนิด ผมสงสัยว่าพวกสาวกจะเห็นมั้ยถ้าพระเยซูไม่เอ่ยถึง4 พวกสาวกทูลถามว่าใครเป็นคนทำบาป ชายตาบอดหรือพ่อแม่ของเขา5 พวกเขาไม่เคยคิดได้เลยว่าชายคนนี้อาจไม่ได้ทนทุกข์เพราะความบาปของตัวเองหรือของพ่อแม่
นี่เป็นคำอธิบายถึงความทุกข์ของมนุษย์ที่ล่อแหลม อาจทำให้บางคนยอมรับได้ ในอีกด้านทำให้มีคำตอบสำหรับความทุกข์ หรือทำให้ทนต่อไปได้ มันง่ายมากที่จะรับเอาคำอธิบายว่าคนที่เจอความทุกข์นั้นสมควรแล้วเพราะก่อ เรื่องเอง แต่คนที่ต้องรับทุกข์ในเรื่องที่ตนเองไม่ได้ก่อก็ยากเกินอธิบาย ในอีกด้าน เป็นคำอธิบายที่ง่ายและยอมรับได้เพราะทำให้ไม่ต้องรับผิดชอบช่วยเหลือคนที่ ทนทุกข์นั้น ถ้าคนที่เจอความทุกข์เพราะตัวเองก่อ ความทุกข์นั้นก็เป็นการพิพากษาของพระเจ้าต่อบาป ถ้าพระเจ้าจะลงโทษคนที่ทำผิด เราเป็นใครที่จะไปช่วยเหลือ? เพราะเราจะกลายเป็นตัวการขัดขวางพระประสงค์ของพระเจ้า
มันยากที่จะนึกว่าชายตาบอดคนนี้รู้สึกอย่างไรเมื่อตกเป็นหัวข้อสนทนา เขาจะไม่รู้เลยหรือว่าถูกผู้คนตราหน้าทำนองนี้มานักต่อนัก พระเยซูทรงตอบคำถามสาวกในแบบที่ทำให้พวกเขาตะลึง ตรัสว่าที่ชายคนนี้ตาบอดแต่กำเนิดไม่ใช่เพราะความบาป ไม่ใช่บาปของเขาเอง หรือบาปของพ่อแม่ พระองค์กลับประกาศว่าที่ชายคนนี้ตาบอดเพื่อให้พระราชกิจของพระเจ้าปรากฏในตัวเขา6 ถ้าผมเป็นชายตาบอดคนนั้น ผมคงหูผึ่งอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรต่อไป หลังจากประกาศไปว่า “เราเป็นความสว่างของโลก” พระเยซูทรงบ้วนพระเขฬะ (น้ำลาย) ลงที่ดิน ทำเป็น “โคลน” ทาที่ตาของชายตาบอด สั่งให้ไปล้างออกที่ในสระสิโลอัม เมื่อเขาทำตาม ก็มองเห็น
ขอให้การอัศจรรย์นี้เป็นคำสั่งและเป็นคำเตือนถึงเราทุกคน ความทุกข์ไม่จำเป็นต้องเป็นผลโดยตรงจากความบาปของคนๆนั้น แน่นอนเราเคยเห็นหลายเหตุการณ์ที่ความบาปและความทุกข์จูงมือไปด้วยกัน นี่เป็นกรณีของชายอัมพาตที่ริมสระเบธซาธาในยอห์นบทที่ 5 พระเยซูทรงเข้าไปรักษาชายคนนี้ แล้วหลบไป ชายอัมพาตนี้ก็แบกแคร่เดินกลับบ้าน ทำให้ละเมิดกฎของวันสะบาโต เขาจึงถูก “ตำรวจศาสนา” จัดการเพราะทำผิดกฎวันสะบาโต เมื่อเขาเล่าให้ฟังเรื่องการรักษา พวกนั้นก็ตื๊ออยากรู้ให้ได้ว่าใครเป็นคนรักษา – ในความคิดพวกเขาคนที่รักษานี้ก็น่าจะ “ละเมิดกฎวันสะบาโต” ด้วย ชายอัมพาตไม่รู้ว่าคนนั้นเป็นใคร เลยบอกไม่ได้ พระเยซูไปพบชายคนนั้นอีกทีที่หลังพระวิหาร แล้วตรัสกับเขาว่า:
“นี่แน่ะ เจ้าหายโรคแล้ว อย่าทำบาปอีก มิฉะนั้นเหตุร้ายกว่านั้นจะเกิดกับเจ้า” ชายคนนั้นก็ได้ออกไปบอกพวกยิวว่า ท่านที่ได้รักษาเขาให้หายโรคนั้น คือพระเยซู (ยอห์น 5:14ข-15)
ชายที่หายจากอัมพาตนี้รีบไปรายงานพวก “เจ้าหน้าที่ยิว” ว่าพระเยซูเป็นผู้รักษาให้หาย ที่แน่ๆคือชายคนนี้ต้องทนทุกข์เพราะบาปของตน พระเจ้าจึงเตือนไม่ให้ทำบาปอีก แทนที่จะเชื่อฟังและละจากบาป เขากลับไปรายงานเรื่องพระเยซูให้เจ้าหน้าที่ฟัง
ความบาปที่เกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วยมีบันทึกอยู่ในยากอบบทที่ 5 ยากอบสั่งให้ผู้ป่วยเชิญบรรดาผู้ปกครองของคริสตจักรมา และถ้าทำบาปก็ให้สารภาพเสีย (ยากอบ 5:14-16) บางครั้งบาปก็เป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ 7 แต่ไม่เสมอไป ในกรณีของชายตาบอดแต่กำเนิด การทนทุกข์ของเขาทำให้พระราชกิจของพระเจ้าได้ปรากฎ
พระเจ้าทรงใช้การทนทุกข์ของเราเพื่อให้เกิดผลดีกับเรา
2โครินธ์ 12:1-10 / ฟีลิปปี 3:7-11 / สดุดี 119:65-72, 92
ข้าพเจ้าจำจะต้องอวด ถึงแม้จะไม่มีประโยชน์อะไร แต่ข้าพเจ้าจะเล่าต่อไป ถึงนิมิตและการสำแดงซึ่งมาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าได้รู้จักชายคนหนึ่งผู้เลื่อมใสในพระคริสต์สิบสี่ปีมาแล้ว เขาถูกรับขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นที่สาม (แต่จะไปทั้งกายหรือไปโดยไม่มีกายข้าพเจ้าไม่รู้ พระเจ้าทรงทราบ) ข้าพเจ้าทราบ (แต่จะไปทั้งกายหรือไม่มีกายข้าพเจ้าไม่รู้ พระเจ้าทรงทราบ) ว่าคนนั้นถูกรับขึ้นไปยังเมืองบรมสุขเกษม และได้ยินวาจาซึ่งจะพูดเป็นคำไม่ได้ และมนุษย์จะออกเสียงก็ต้องห้าม สำหรับชายคนนั้นข้าพเจ้าอวดได้ แต่สำหรับตัวข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าจะไม่อวดเลย นอกจากจะอวดถึงเรื่องการอ่อนแอของข้าพเจ้า เพราะถึงแม้ว่าข้าพเจ้าอยากจะอวดข้าพเจ้าก็ไม่ใช่คนเขลา เพราะข้าพเจ้าพูดตามความจริง แต่ข้าพเจ้าระงับไว้ ก็เพราะเกรงว่า บางคนจะยกข้าพเจ้าเกินกว่าที่เขาได้รู้จากการเห็นและฟังข้าพเจ้า และเพื่อไม่ให้ข้าพเจ้ายกตัวจนเกินไป เนื่องจากที่ได้เห็นการสำแดงมากมายนั้น ก็ทรงให้มีหนามใหญ่ในเนื้อของข้าพเจ้า หนามนั้นเป็นทูตของซาตานคอยทุบตีข้าพเจ้าเพื่อไม่ให้ข้าพเจ้ายกตัวเกินไป เรื่องหนามใหญ่นั้น ข้าพเจ้าวิงวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าถึงสามครั้ง เพื่อขอให้มันหลุดไปจากข้าพเจ้า แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “การที่มีคุณของเราก็พอแก่เจ้าแล้ว เพราะความอ่อนแอมีที่ไหน เดชของเราก็มีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาดที่นั่น” เหตุฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงภูมิใจในบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้า เพื่อฤทธิ์เดชของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้า เหตุฉะนั้นเพราะเห็นแก่พระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงชื่นใจในบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้า ในการประทุษร้ายต่างๆในความยากลำบาก ในการถูกข่มเหง ในความอับจน เพราะว่าข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อใด ข้าพเจ้าก็จะแข็งแรงมากเมื่อนั้น (2โครินธ์ 12:1-10)
พระคัมภีร์บันทึกถึงตัวอย่างที่พระเจ้าทรงใช้ความทุกข์ในชีวิตมนุษย์ให้ เกิดผลดีกับตัวเขาเอง เราเห็นว่าพระเจ้าทรงใช้ความทุกข์ของคนตาบอดแต่กำเนิดเพื่อนำเขามาถึงความ เชื่อ (ดูยอห์น 9:35-38) หลายคนที่มารับการรักษาจากพระเยซูแล้วกลับไปในความเชื่อ พระเจ้าใช้ความทุกข์ในชีวิตผู้นั้นเพื่อให้เกิดผลดีกับตัวเขาเอง
ใน 2โครินธ์ อ.เปาโลยังเดินหน้าต่อสู้กับพวก “อัครทูตเทียม” (2โครินธ์ 11:13) โดยไม่ต้องการเอาตัวเข้าไปเปรียบเทียบ (ดู 2โครินธ์ 11:21-29) ในบทที่ 12 อ.เปาโลพูดถึง “การถูกรับขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นที่สาม” (12:2) ไปยังเมืองบรมสุขเกษมที่ท่านได้ยิน “วาจาซึ่งจะพูดเป็นคำไม่ได้” (12:4) นี่เป็นสิ่งที่นำมาใช้อวดอ้างได้ พระเจ้าจึงอนุญาตให้มี “หนามใหญ่ในเนื้อของท่าน” ความทุกข์นี้เป็นมาจากพระเจ้าที่กระทำผ่าน “ทูตของซาตาน” (12:7) อ.เปาโลวิงวอนพระเจ้าถึงสามครั้งเพื่อให้มันหลุดออกไป แต่ละครั้ง พระเจ้าปฏิเสธคำขอของท่าน เตือนว่า “การที่มีคุณของเราก็พอแก่เจ้าแล้ว” เพราะ “ฤทธิเดชของพระองค์จะเต็มขนาดในความอ่อนแอของท่าน” (12:9)
หนามในเนื้อของ อ.เปาโลทำให้ท่านถ่อมลง ทำให้อ่อนแอในแบบของมนุษย์ เพื่อฤทธิอำนาจของพระเจ้าจะปรากฏชัดในชีวิตท่าน ความทุกข์กันให้ อ.เปาโลไม่ตกอยู่ในบาปความผยองฝ่ายวิญญาณ ไม่พึ่งฤทธิอำนาจของพระเจ้าโดยทางพระวิญญาณ สิ่งนี้ทำให้ท่านมีมุมมองเรื่องความทุกข์แตกต่างไป:
เหตุฉะนั้นเพราะเห็นแก่พระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงชื่นใจในบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้า ในการประทุษร้ายต่างๆในความยากลำบาก ในการถูกข่มเหง ในความอับจน เพราะว่าข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อใด ข้าพเจ้าก็จะแข็งแรงมากเมื่อนั้น (2โครินธ์ 12:10)
ในฟีลิปปี 3 อ.เปาโลพูดถึงพระพรอีกแบบที่พระเจ้ามอบให้ท่านผ่านการทนทุกข์ :
แต่ว่าสิ่งใดที่เคยเป็นคุณประโยชน์แก่ ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าถือว่าสิ่งนั้นไร้ประโยชน์แล้ว เพื่อเห็นแก่พระคริสต์ ที่จริงข้าพเจ้าถือว่าสิ่งสารพัดไร้ประโยชน์ เพราะเห็นแก่ความประเสริฐแห่งความรู้ถึงพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า เพราะเหตุพระองค์ ข้าพเจ้าจึงได้ยอมสละสิ่งสารพัด และถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนหยากเยื่อเพื่อข้าพเจ้าจะได้พระคริสต์ และจะได้ปรากฏอยู่ในพระองค์ ไม่มีความชอบธรรมของข้าพเจ้าเอง ซึ่งได้มาโดยธรรมบัญญัติ แต่มีมาโดยความเชื่อในพระคริสต์ เป็นความชอบธรรมซึ่งมาจากพระเจ้าซึ่งขึ้นอยู่กับความเชื่อ ข้าพเจ้าต้องการจะรู้จักพระองค์ และได้รับประสบการณ์ในฤทธิ์เดช เนื่องในการที่พระองค์ทรงคืนพระชนม์นั้น และร่วมทุกข์กับพระองค์ คือยอมตั้งอารมณ์ตายเหมือนพระองค์ ถ้าเป็นไปได้ข้าพเจ้าก็จะได้เป็นขึ้นมาจากความตายด้วย (ฟีลิปปี 3:7-11)
ครั้งหนึ่ง อ.เปาโลเคยเป็นพวกเคร่งในบทบัญญัติ เป็นฮีบรูแท้ของฮีบรู” และเป็นฟาริสีที่เคร่งครัด (3:5) ประสบการณ์บนถนนสู่ดามัสกัส และการกลับใจที่ตามมาสำแดงให้เห็นถึงความบาป ความชอบธรรมของท่านเอง และความจำเป็นที่ต้องได้รับความรอดโดยทางความเชื่อนอกเหนือจากการงานทาง ศาสนา ในฐานะบุตรของพระเจ้า ท่านมีมุมมองที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ท่านได้พบว่าทุกสิ่งที่ท่านภาคภูมิใจนั้นไร้ประโยชน์ – หรือตามคำพูดของท่านเป็น “หยากเยื่อ” (ข้อ 8) ครั้งที่ท่านมองความทุกข์ว่าเป็นการแช่งสาปจากพระเจ้าต่อคนบาป (เหมือนกับที่พวกสาวกคิดในยอห์น 9) เดี๋ยวนี้ท่านมองความทุกข์ว่าเป็นพระพร ได้มีประสบการณ์ในความทุกข์ยากเพื่อพระคริสต์ และได้มีส่วนในสามัคคีธรรมร่วมกับพระองค์ ทำให้ท่านรู้จักพระเยซูลึกซึ้งกว่าเดิม มีคริสเตียนกี่คนที่มองความทุกข์ของตนเองในแบบเดียวกัน? ในความทุกข์นั้นพวกเขาจะใกล้ชิดพระคริสต์มากขึ้น ความเชื่อเพิ่มมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในความสะดวกสบายฝ่ายกาย ความทุกข์ในชีวิตธรรมิกชนถูกออกแบบมาเพื่อดึงให้เราเข้าใกล้พระเจ้า มีสามัคคีธรรมที่ลึกซึ้งกับพระเยซู เพราะการทนทุกข์ของพระองค์เป็นเหตุให้เราได้เข้าไปใกล้พระเจ้า
ธรรมิกชนในพระคัมภีร์เดิมก็เช่นกัน ได้รับการปลอบประโลมและเติบโตขึ้นในความทุกข์ยาก เห็นได้ในหนังสือสดุดี 119 :
65 พระองค์ได้ทรงกระทำดีต่อผู้รับใช้ของพระองค์
ข้าแต่พระเจ้า ตามพระวจนะของพระองค์
66 ขอทรงสอนปฏิภาณและความรู้แก่ข้าพระองค์
เพราะข้าพระองค์เชื่อถือพระบัญญัติของพระองค์
67 ก่อนที่ข้าพระองค์ทุกข์ยาก ข้าพระองค์หลงเจิ่น
แต่บัดนี้ข้าพระองค์ปฏิบัติตามพระวจนะของพระองค์
68 พระองค์ประเสริฐ และทรงกระทำการดี
ขอทรงสอนกฎเกณฑ์ของพระองค์แก่ข้าพระองค์
69 คนโอหังป้ายความเท็จใส่ข้าพระองค์
แต่ข้าพระองค์ปฏิบัติตามข้อบังคับของพระองค์ด้วยสุดใจ
70 จิตใจของเขาทั้งหลายต่ำช้าเหมือนไขมัน
แต่ข้าพระองค์ปีติยินดีในพระธรรมของพระองค์
71 ดีแล้วที่ข้าพระองค์ทุกข์ยาก
เพื่อข้าพระองค์จะเรียนรู้ถึงกฎเกณฑ์ของพระองค์
72 สำหรับข้าพระองค์ พระธรรมแห่งพระโอษฐ์ของพระองค์
ก็ดีกว่าทองคำและเงินพันๆแท่ง
92 ถ้าพระธรรมของพระองค์ไม่เป็นที่ปีติยินดีของข้าพระองค์
ข้าพระองค์คงพินาศแล้วในความทุกข์ยากของข้าพระองค์ (สดุดี 119:65-72, 92)
ผู้เขียนสดุดีพบว่าการทนทุกข์เป็นรูปแบบการฝึกวินัยชีวิตจากพระเจ้า ทำให้ต้องใส่ใจและเข้าใกล้พระวจนะมากขึ้น ผู้เขียนสดุดีเองก็ไม่มีข้อยกเว้น อาสาฟกล่าวว่าความทุกข์ดึงท่านให้เข้าใกล้พระเจ้า ขณะที่ความมั่งคั่งทำให้หยิ่งผยองและชั่วร้าย (สดุดี 73) โยบเรียนรู้เรื่องพระเจ้าอย่างมากเมื่อต้องเผชิญความทุกข์ และเหนืออื่นใดท่านเรียนรู้ที่จะวางใจในพระปัญญาและการครอบครองอยู่ของ พระองค์ ผู้เขียนหนังสือฮีบรูบอกเราว่า ความทุกข์เพราะถูกลงวินัยเป็นสิ่งยืนยันว่าเรายังเป็นบุตรของพระเจ้า (ฮีบรู 12:1-13)
พระเจ้าทรงใช้ความทุกข์ของเราเพื่อเกิดผลดีต่อผู้อื่น
ปฐมกาล 41:46-52; 45:7-11; 50:18-21
เราคงจำเรื่องที่พี่ๆของโยเซฟอิจฉาและชิงชังน้องชายเพราะเป็นลูกคนโปรด ของยาโคบได้ จึงขายน้องคนนี้ไปเป็นทาสในอียิปต์ ที่อียิปต์โยเซฟยังต้องเจอกับความทุกข์จากฝีมือคนอื่น ไม่ใช่เพราะท่านทำบาป แต่เป็นเพราะสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า เมื่อโยเซฟได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นปกครองอียิปต์ ท่านตั้งชื่อบุตรชายที่บ่งถึงพระหัตถ์อันแสนดีของพระเจ้าเหนือชีวิตท่าน (ปฐมกาล 41:46-52) และเมื่อพี่ชายของท่านมาหาซื้อข้าวที่อียิปต์ โยเซฟมีอิสระพอที่จะช่วยพี่ชายอย่างมีเมตตา แม้ตอนแรกดูเหมือนไม่เป็นเช่นนั้น8 เมื่อพี่ๆของโยเซฟสำนึกในบาป ท่านจึงเปิดเผยตัวตน แน่นอนพวกเขาหวาดกลัวมาก คิดว่าโยเซฟจะใช้อำนาจที่มีแก้แค้นในสิ่งที่ทำกับท่านไว้ พวกพี่ๆยังไม่เข้าใจพระประสงค์ดีของพระเจ้าในความทุกข์ยาก แม้เป็น “ความทุกข์ที่ตัวเองไม่ได้ก่อ”ก็ตาม แต่โยเซฟเข้าใจดี :
พระเจ้าทรงใช้เรามาก่อนพี่ เพื่อสงวนคนที่เหลือส่วนหนึ่งบนแผ่นดินไว้ให้พี่ และช่วยชีวิตของพี่ไว้ด้วยการช่วยกู้อันใหญ่หลวง ฉะนั้นมิใช่พี่เป็นผู้ให้เรามาที่นี่ แต่พระเจ้าทรงให้มา พระองค์ทรงโปรดให้เราเป็นเหมือนตัวบิดาฟาโรห์ เป็นเจ้าในราชวังทั้งสิ้น และเป็นผู้ครอบครองประเทศอียิปต์ทั้งหมด รีบไปหาบิดาเราบอกท่านว่า ‘โยเซฟบุตรของท่านพูดดังนี้ว่า พระเจ้าทรงโปรดให้ข้าพเจ้าเป็นเจ้าเหนืออียิปต์ทั้งสิ้น ขอไปหาลูก อย่าได้ช้า พ่อจะได้อาศัยอยู่ในเมืองโกเชน และพ่อจะได้อยู่ใกล้ลูก ทั้งตัวพ่อกับลูกหลาน และฝูงแพะแกะฝูงโค และทรัพย์ทั้งหมดของพ่อ ลูกจะบำรุงรักษาพ่อที่นั่น ด้วยยังจะกันดารอาหารอีกห้าปี มิฉะนั้นพ่อและครอบครัวของพ่อและผู้คนที่พ่อมีอยู่จะยากจนไป’ (ปฐมกาล 45:7-11)
พี่ชายก็พากันมากราบลงต่อหน้าโยเซฟแล้วว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นผู้รับใช้ของท่าน” โยเซฟจึงบอกเขาว่า “อย่ากลัวเลย เราเป็นดังพระเจ้าหรือ พวกท่านคิดร้ายต่อเราก็จริง แต่ฝ่ายพระเจ้าทรงดำริให้เกิดผลดีอย่างที่บังเกิดขึ้นนี้แล้ว คือช่วยชีวิตคนเป็นอันมาก ดังนั้นพี่อย่ากลัวเลย เราจะบำรุงเลี้ยงพี่ทั้งบุตรด้วย” โยเซฟพูดปลอบโยนพวกพี่น้องดังนี้ทำให้เขาอุ่นใจ (ปฐมกาล 50:18-21)
ดังนั้นการทนทุกข์เพราะเหตุที่ตนเองไม่ได้ก่อ ไม่เพียงแต่เกิดผลดีกับตนเอง แต่ยังเกิดผลดีกับคนอื่นๆด้วย9
ความทุกข์บางอย่างเกิดจากความบาปของผู้อื่น
1ซามูเอล 21:1—22:11-23; 2ซามูเอลl 12:1-23
ใน 1ซามูเอล 21 ดาวิดต้องหนีไปจากกษัตริย์ซาอูลที่จ้องจะตามฆ่า ดาวิดและคนของท่านขาดแคลนอาหารจึงไปที่เมืองโนบ ที่อาหิเมเลคปุโรหิตอาศัยอยู่ อาหิเมเลคสัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติเมื่อดาวิดมาหาท่านตามลำพัง ดาวิดหลอกท่านว่ามาราชการลับให้กษัตริย์ซาอูล และต้องไม่ให้ผู้ใดรู้ (21:1-2) ดาวิดขอแบ่งขนมปังจากท่าน และได้รับบางส่วนจากขนมปังบริสุทธิ์ และอาหิเมเลคได้มอบดาบของโกลิอัทให้กับดาวิด ดาบที่ดาวิดยึดมาได้ตอนฆ่าโกลิอัท แต่ที่เกิดขึ้น โดเอกชาวเอโดม คนของกษัตริย์ซาอูลอยู่ที่นั่นพอดี และเห็นเหตุการณ์ ต่อมาโดเอกไปรายงานให้ซาอูลทราบ ผลก็คือซาอูลสั่งฆ่าปุโรหิตหลายคนรวมทั้งครอบครัวพวกเขาด้วย
พระราชาตรัสว่า “อาหิเมเลค เจ้าจะต้องตายแน่ ทั้งเจ้าและพงศ์พันธุ์บิดาของเจ้าด้วย” และพระราชาก็รับสั่งแก่ราชองครักษ์ผู้ยืนเฝ้าอยู่ว่า “จงหันมาประหารปุโรหิตเหล่านี้ของพระเจ้าเสีย เพราะว่ามือของเขาอยู่กับดาวิดด้วย เขารู้แล้วว่ามันหนีไป แต่ไม่แจ้งให้เรารู้” แต่ข้าราชการผู้รับใช้ของพระราชาไม่ยอมลงมือ ทำกับปุโรหิตของพระเจ้า แล้วพระราชาจึงตรัสกับโดเอกว่า “เจ้าจงไปฟันปุโรหิตเหล่านั้น” โดเอกคนเอโดมก็หันไปฟันบรรดาปุโรหิต ในวันนั้น เขาฆ่าบุคคลที่สวมเอโฟดผ้าป่านเสีย แปดสิบห้าคน และเขาประหารชาวเมืองโนบ ซึ่งเป็นเมืองของปุโรหิตเสียด้วยคมดาบ ฆ่าเสียด้วยคมดาบ ทั้งผู้ชาย ผู้หญิง เด็ก และเด็กกินนม โค ลาและแกะ (1ซามูเอล 22:16-19)
เรารู้จากท่าทีที่ดาวิดตอบสนองต่อโศกนาฏกรรมนี้ ท่านรู้สึกรับผิดชอบต่อการตายของพวกปุโรหิตและครอบครัว (1ซามูเอล 22:21-23) ความรู้สึกผิดไม่ได้เกิดจากที่ท่านไปขอปันขนมปังจากอาหิเมเลค เพราะพระเยซูเองยังตรัสว่าทำได้ (ดูมัทธิว 12:3-4) ไม่ชัดเจนว่าที่ดาวิดโกหกเป็นสาเหตุของโศกนาฏกรรมครั้งนี้ แต่ที่แน่ๆคนเหล่านี้ต้องตายลงเพราะความอิจฉาของซาอูล บาปของชายคนหนึ่ง (ซาอูล) และที่ดาวิดพยายามหาอาหารให้คนของท่านนำความตายไปถึงคนอีกมากมาย10
ดาวิดอาจไม่ผิดที่ทำให้พวกปุโรหิตที่เมืองโนบต้องตาย แต่บาปของท่านเป็นเหตุให้บุตรชายของท่านเองต้องตาย (2ซามูเอล 11 และ 12) ขณะที่กองทัพอิสราเอลออกทำสงคราม ดาวิดพักอยู่ที่วังในเยรูซาเล็ม (2ซามูเอล 11:1) ผลก็คือท่านบังเอิญมองลงไปจากดาดฟ้าพระราชวังเห็นสตรีนางหนึ่งกำลังอาบน้ำ จึงให้คนไปสอบถามว่าเป็นใคร ถึงจะรู้ว่าเธอเป็นภรรยาของทหารที่ซื่อสัตย์ในกองทัพของท่าน ดาวิดเรียกเธอมาหาที่วังและหลับนอนกับเธอ แล้วพยายามปกปิดบาปนั้นโดยสั่งให้โยอาบแม่ทัพ ส่งอุรียาห์ไปในพื้นที่ๆการสู้รบดุเดือดที่สุด แล้วละไว้ที่นั่นให้ตาย นาธันมาเผชิญหน้ากับดาวิดเรื่องความบาปของท่าน แจ้งท่านว่าเด็กที่หญิงนั้นตั้งครรภ์เพราะบาปของท่านจะต้องตาย แม้ดาวิดจะสำนึกผิดและวิงวอนขอต่อพระเจ้า พระเจ้าก็นำชีวิตเด็กนั้นไป เด็ก “ไร้เดียงสา” คนนี้ตายเพราะความบาปของดาวิด คนที่ไม่รู้เรื่องด้วยบางครั้งต้องมารับเคราะห์เพราะความบาปของผู้อื่น
บ่อยครั้งความทุกข์ก็เกิดจากหลายสาเหตุมารวมกัน
2 ซามูเอล 24:1-25; 1 พงศาวดาร 21:1-30
ผมขอชี้ให้เห็นสั้นๆว่าไม่เสมอไปที่ความทุกข์เกิดขึ้นเพราะสาเหตุใด สาเหตุหนึ่ง ชีวิตมันไม่ง่ายอย่างนั้น แม้แต่ความบาปด้วย ใน 2ซามูเอล 24 และ 1พงศาวดาร 21 เราอ่านเรื่องภัยพิบัติที่ถูกส่งลงมายังอิสราเอลเพราะดาวิดโง่เขลาไปนับ จำนวนคน ไม่ฟังคำคัดค้านของผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์อย่างโยอาบและผู้บังคับบัญชาในกอง ทัพของท่าน (2ซามูเอล 24:3-4) ในอีกด้าน เราเห็นว่าคนของดาวิดต้องตายลงถึง 70,000 คนเพราะความเขลาของท่าน (2ซามูเอล 24:15) และเห็นจากเรื่องราวใน 1พงศาวดาร 21 (ข้อ 1) ซาตานได้ยืนขึ้นต่อสู้อิสราเอล ดลใจให้ดาวิดนับจำนวนอิสราเอล ดังนั้นซาตานก็มีบทบาทในพิบัติครั้งนี้ด้วย แต่จาก 2ซามูเอล 24:1 เราเรียนรู้ว่าเรื่องราวมันซับซ้อนกว่านั้น :
พระพิโรธของพระเจ้าได้เกิดขึ้นต่ออิสราเอลอีก เพื่อทรงต่อสู้เขาทั้งหลายจึงทรงดลใจดาวิดตรัสว่า” จงไปนับคนอิสราเอลและคนยูดาห์” (2ซามูเอล 24:1)
พระวจนะข้อนี้ เราเห็นว่าพระเจ้าทรงอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมด ซึ่งไม่น่าประหลาดใจสำหรับคริสเตียน แต่ที่เราเรียนรู้คือพระเจ้าทรง “ดลใจ” ดาวิด เพราะพระพิโรธต่ออิสราเอล ดังนั้นคนอิสราเอลไม่ใช่ว่าไม่รู้เรื่อง พวกเขามีความผิด และพระเจ้าลงโทษชนชาตินี้เพราะบาปของพวกเขา ความทุกข์บางทีก็มาจากสาเหตุที่ซับซ้อน ทั้งหมดล้วนแล้วแต่มาจากรากเหง้าความบาปของมนุษย์
มีเพียงบุคคลเดียวที่บริสุทธิ์
เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องจำไว้ว่าไม่มีใครเลย ไม่มีสักคน แม้แต่ทารกที่ “บริสุทธิ์” แท้จริง ในแง่ว่าพวกเขาปราศจากบาป ดาวิดกล่าวไว้นานมาแล้ว :
ดูเถิด ข้าพระองค์ถือกำเนิดมาในความผิดบาป
และมารดาตั้งครรภ์ข้าพระองค์ในบาป (สดุดี 51:5)
อ.เปาโลยืนยันในเรื่องนี้โดยอ้างจากพระวจนะในพระคัมภีร์เดิมในโรม 3:10-12 ที่กล่าวว่า:
10“ตามที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า ไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมสักคนเดียว ไม่มีเลย
11 ไม่มีคนที่เข้าใจ ไม่มีคนที่แสวงหาพระเจ้า
12 เขาทุกคนหลงผิดไปหมด เขาทั้งปวงเลวทรามเหมือนกันสิ้น ไม่มีสักคนเดียวที่กระทำดี ไม่มีเลย
บุคคลเดียวที่เกิดมาโดยปราศจากบาป และดำเนินชีวิตอย่างสมบูรณ์แบบ ปราศจากตำหนิ คือองค์พระเยซูคริสต์ของเรา พระองค์เพียงผู้เดียวที่สามารถพูดได้ว่า
มีผู้ใดในพวกท่านหรือ ที่ชี้ให้เห็นว่าเราได้ทำผิด ถ้าเราพูดความจริง ทำไมท่านจึงไม่เชื่อเรา? (ยอห์น 8:46)
พระองค์ผู้เดียวเท่านั้นที่ไร้ความผิด ลูกแกะปราศจากตำหนิของพระเจ้า ที่ได้หลั่งพระโลหิตเพื่อชำระมนุษย์ให้พ้นจากบาปของพวกเขา :
และถ้าท่านอธิษฐานขอต่อพระองค์ เรียกพระองค์ว่า พระบิดาผู้ทรงพิพากษาทุกคนตามการกระทำของเขา โดยไม่มีอคติ จงประพฤติตนด้วยความยำเกรงตลอดเวลาที่ท่านอยู่ในโลกนี้ ท่านรู้ว่าพระองค์ได้ทรงไถ่ท่านทั้งหลายออกจากการประพฤติอันหาสาระมิได้ ซึ่งท่านได้รับต่อจากบรรพบุรุษของท่าน มิใช่ไถ่ไว้ด้วยสิ่งที่เสื่อมสลายได้ เช่นเงินและทอง แต่ทรงไถ่ด้วยพระโลหิตประเสริฐของพระคริสต์ ดังเลือดลูกแกะที่ปราศจากตำหนิหรือจุดด่าง แท้จริงพระเจ้าได้ทรงกำหนดพระคริสต์นั้นไว้ก่อนทรงสร้างโลก แต่ทรงให้พระคริสต์ปรากฏพระองค์ในวาระสุดท้ายนี้ เพื่อท่านทั้งหลาย เพราะพระคริสต์ท่านจึงวางใจในพระเจ้า ผู้ทรงชุบพระคริสต์ให้ฟื้นจากความตาย และทรงประทานพระเกียรติแก่พระองค์ เพื่อให้ความเชื่อและความหวังใจของท่านดำรงอยู่ในพระเจ้า (1เปโตร 1:17-21)
เมื่อพูดถึงผู้บริสุทธิ์ที่ต้องทนทุกข์ เราต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้อง มีเพียงพระเยซูคริสต์เท่านั้นที่ต้องทนทุกข์ทั้งที่บริสุทธิ์ คนอื่นๆที่ทนทุกข์ก็เป็นเพราะพวกเขาเป็นคนบาป เมื่อเราพูดถึง “ผู้บริสุทธิ์ต้องมารับทุกข์” เรากำลังพูดถึงความทุกข์ที่ไม่ได้เกิดจากบาปโดยตรงของพวกเขา แต่เป็นเหตุเพราะบาปที่คนอื่นกระทำ
คำเล้าโลมใจของเรา :
การลงโทษของพระเจ้านั้นยุติธรรม และพระองค์จะไม่ลงโทษผู้บริสุทธิ์
ปฐมกาล 18:16-33; โยนาห์ 4:1-11
เมื่อพูดถึงคนที่ต้องทนทุกข์โดยไม่รู้เรื่อง เราได้รับคำปลอบประโลมที่ยิ่งใหญ่จากพระวจนะของพระเจ้า ลองมาดูบทสนทนาระหว่างอับราฮัมและพระเจ้า ในเรื่องการลงโทษเหนือโสดมและโกโมราห์ :
แล้วบุรุษเหล่านั้นก็ออกจากที่นั่น เดินไปจนเห็นเมืองโสโดม และอับราฮัมก็ตามไปส่งด้วย พระเจ้าตรัสว่า “ควรหรือที่เราจะซ่อนสิ่งซึ่งเราจะกระทำนั้นมิให้อับราฮัมรู้ เพราะอับราฮัมจะเป็นประชาชาติใหญ่โตและมีกำลังมาก และประชาชาติทั้งหลายในโลกจะได้รับพรก็เพราะท่าน เพราะเราเลือกเขาแล้ว เพื่อเขาจะได้กำชับลูกหลาน และครอบครัวที่สืบมา ให้รักษาพระมรรคาของพระเจ้า โดยทำความชอบธรรมและความยุติธรรม เพื่อว่าพระเจ้าจะได้ประทานสิ่ง ซึ่งพระองค์ทรงสัญญาไว้แล้วให้แก่อับราฮัม” พระเจ้าได้ตรัสว่า “เสียงร้องกล่าวโทษเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์ นั้นดังเหลือเกิน และบาปของเขาก็หนักมาก เราจะลงไปดูว่า พวกเขากระทำผิดจริงตามคำร้องทุกข์ที่มาถึงเรานั้นหรือไม่ ถ้าไม่เราก็จะรู้” บุรุษเหล่านั้นจึงออกจากที่นั่นเดินตรงไปยังเมืองโสโดม แต่อับราฮัมยังยืนเฝ้าพระเจ้าอยู่ อับราฮัมได้เข้ามาใกล้ กราบทูลว่า “พระองค์จะทรงทำลายผู้ชอบธรรมพร้อมกับคนอธรรมหรือ สมมุติว่ามีคนชอบธรรมห้าสิบคนอยู่ในเมืองนั้น พระองค์จะยังทรงทำลายเมืองนั้นไม่ยับยั้งอาชญา เพราะเห็นแก่คนชอบธรรมห้าสิบคนที่อยู่ในเมืองนั้นหรือ ขอพระองค์อย่าคิดที่จะกระทำเช่นนั้นเลย อย่าคิดที่จะฆ่าคนชอบธรรมพร้อมกับคนอธรรม ทำกับคนชอบธรรมอย่างเดียวกับคนอธรรม ขอพระองค์อย่าทรงทำเช่นนั้นเลย พระองค์ผู้พิพากษาสากลโลกจะไม่กระทำสิ่งที่ยุติธรรมหรือ” พระเจ้าตรัสว่า “ที่โสโดมถ้าเราพบคนชอบธรรมในเมืองห้าสิบคนเราจะ ไม่ลงอาชญาในเมืองนั้นทั้งเมืองเพราะเห็นแก่เขา” อับราฮัมทูลตอบว่า “ขอประทานโทษ ที่ข้าพระองค์บังอาจกราบทูลต่อพระเจ้า ข้าพระองค์ผู้เป็นเพียงผงคลีและขี้เถ้า สมมุติว่าในห้าสิบคนนั้นขาดไปห้าคน พระองค์จะยังทรงทำลายเมืองนั้นทั้ง เมืองเพราะขาดห้าคนหรือ” และพระองค์ตรัสว่า “เราจะไม่ทำลาย ถ้าเราพบคนชอบธรรมสี่สิบห้าคนที่นั่น” ท่านก็ทูลพระองค์อีกว่า “สมมุติว่าพระองค์ทรงพบสี่สิบคนที่นั่น” พระองค์ตรัสตอบว่า “เพราะเห็นแก่สี่สิบคนเราจะไม่กระทำ” ท่านจึงทูลว่า “ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่าทรงพระพิโรธเลย ข้าพระองค์จะขอกราบทูล สมมุติพระองค์ทรงพบเพียงสามสิบคนที่นั่น” พระองค์ตรัสตอบว่า “เราจะไม่ลงอาชญา ถ้าเราพบสามสิบที่นั่น” ท่านทูลว่า “ขอประทานโทษที่ข้าพระองค์บังอาจกราบทูล ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า สมมุติว่าทรงพบเพียงยี่สิบคนที่นั่น” พระองค์ตรัสตอบว่า “เพราะเห็นแก่ยี่สิบคน เราจะไม่ทำลายเมืองนั้น” ท่านทูลว่า “ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่าทรงพระพิโรธเลย ข้าพระองค์ขอกราบทูลอีกครั้งนี้ครั้งเดียว สมมุติว่า ทรงพบเพียงสิบคนที่นั่น” พระองค์ตรัสตอบว่า “เพราะเห็นแก่สิบคนเราจะไม่ทำลายเมืองนั้น” เมื่อพระองค์ตรัสกับอับราฮัมจบลงแล้ว พระเจ้าก็เสด็จไป ส่วนอับราฮัมก็กลับไปบ้าน (ปฐมกาล18:16-33)
พระเจ้ากำลังจะลงโทษเมืองโสดมและโกโมราห์ แต่พระองค์ต้องการแบ่งปันเรื่องนี้กับอับราฮัม เมื่อได้ยินว่าเมืองนี้กำลังจะถูกทำลาย อับราฮัมเป็นห่วงว่าคนบริสุทธิ์จะถูกทำลายไปพร้อมกับคนชั่ว จึงโต้แย้งว่าพระเจ้าของท่านจะทำในสิ่งที่ยุติธรรม คือไม่ปฏิบัติในแบบเดียวกันกับทั้งคนชั่วและคนดี (18:23-25) ในตอนจบ ท่านต่อรองว่าถ้ามีคนชอบธรรมสักสิบคนที่ในเมืองนั้น พระเจ้าจะไม่ลงโทษ ที่เรารู้ แน่นอน สิบคนก็ยังไม่มี กระนั้นพระเจ้าก็ยังทรงไว้ซึ่งพระลักษณะของพระองค์ ก่อนส่งไฟลงไปเผาเมืองชั่วร้ายนั้น พระองค์ทรงให้โลทและครอบครัวอพยพออกมา (ปฐมกาล 19:12-26) พระเจ้าของเรายุติธรรม และพระองค์ไม่ได้ลงโทษคนชอบธรรมไปพร้อมๆกับคนอธรรม
ความจริงเดียวกันนี้11 เป็นบทเรียนอยู่ในหนังสือโยนาห์บทที่สี่ด้วย :
เมื่อพระเจ้าทอดพระเนตรการกระทำของเขา แล้วว่า เขากลับไม่ประพฤติชั่วต่อไป พระเจ้าก็ทรงกลับพระทัย ไม่ลงโทษ ตามที่พระองค์ตรัสไว้ และพระองค์ก็มิได้ทรงลงโทษเขา เหตุการณ์นี้ไม่เป็นที่พอใจโยนาห์อย่างยิ่ง และท่านโกรธ ท่านจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า เมื่อข้าพระองค์ยังอยู่ในประเทศของข้าพระองค์ ข้าพระองค์พูดแล้วว่าจะเป็นไปเช่นนี้มิใช่หรือ นี่แหละเป็นเหตุให้ข้าพระองค์ได้รีบหนีไปยังเมืองทารชิช เพราะข้าพระองค์ทราบว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงกอปรด้วยพระคุณ และทรงพระกรุณา ทรงกริ้วช้า และบริบูรณ์ด้วยความรัก มั่นคง และทรงกลับพระทัยไม่ลงโทษ ข้าแต่พระเจ้า เพราะฉะนั้น บัดนี้ ขอพระองค์ทรงเอาชีวิตของข้าพระองค์ไปเสีย เพราะว่าข้าพระองค์ตายเสียก็ดีกว่าอยู่” ละพระเจ้าตรัสว่า “การที่เจ้าโกรธเช่นนี้ดีอยู่หรือ” แล้วโยนาห์ก็ออกไปนอกนคร นั่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองนั้น และท่านทำเพิงไว้เป็นที่ท่านอาศัย ท่านนั่งอยู่ใต้ร่มเพิงคอยดูเหตุการณ์อันจะเกิดขึ้นกับนครนั้น และพระเจ้าทรงกำหนดให้ต้นละหุ่งต้นหนึ่ง งอกขึ้นมาเหนือโยนาห์ ให้เป็นที่กำบังศีรษะของท่าน เพื่อให้บรรเทาความร้อนรุ่มกลุ้มใจในเรื่องนี้ เพราะเหตุต้นละหุ่งต้นนี้โยนาห์จึงมีความยินดียิ่งนัก แต่ในเวลาเช้าวันรุ่งขึ้น พระเจ้าทรงกำหนดให้หนอนตัวหนึ่งมากัดกินต้นละหุ่งต้นนั้น จนมันเหี่ยวไป เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว พระเจ้าทรงกำหนดให้ลมตะวันออกที่ร้อนผากพัดมา และแสงแดดก็แผดลงบนศีรษะของโยนาห์จนท่าน อ่อนเพลียไปและท่านก็ทูลขอว่า ให้ท่านตายเสียเถิด ท่านว่า “ข้าตายเสียก็ดีกว่าอยู่” แต่พระเจ้าตรัสกับโยนาห์ว่า “ที่เจ้าโกรธเพราะต้นละหุ่งนั้นดีอยู่แล้วหรือ” ท่านทูลว่า “ที่ข้าพระองค์โกรธถึงอยากตายนี้ดีแล้ว พระเจ้าข้า” และพระเจ้าตรัสว่า “เจ้าหวงต้นไม้ซึ่งเจ้ามิได้ลงแรงปลูก หรือมิได้กระทำให้มันเจริญ มันงอกเจริญขึ้นในคืนเดียว แล้วก็ตายไปในคืนเดียวดุจกัน ไม่สมควรหรือที่เราจะหวงเมืองนีนะเวห์นครใหญ่นั้น ซึ่งมีพลเมืองมากกว่าหนึ่งแสนสองหมื่นคน ผู้ไม่ทราบว่าข้างไหนมือขวาข้างไหนมือซ้าย และมีสัตว์เลี้ยงเป็นอันมากด้วย” (โยนาห์ 3:10 – 4:11)
เมื่อประชากรนีนะเวห์กลับใจ พระเจ้าก็ยับยั้ง และโยนาห์ไม่พอใจ ท่านแทบคลั่ง สิ่งที่คนอื่นสรรเสริญพระเจ้า (ข้า พระองค์ทราบว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงกอปรด้วยพระคุณ และทรงพระกรุณา ทรงกริ้วช้า และบริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง และทรงกลับพระทัยไม่ลงโทษ – ข้อ 2 ด้านบน)12 โยนาห์กลับประท้วง ท่านเกลียดชังพระคุณ13ไม่ สังเกตเลยว่านี่คือสิ่งเดียวที่ทำให้ท่านยังมีชีวิตอยู่ โยนาห์ต้องการเห็นคนบาปพวกนี้ชดใช้ ต้องการนั่งดูพระอาชญาที่จะเทลงเหนือพวกเขา แม้จะสำนึกผิดแล้วก็ตาม โยนาห์มองไม่เห็นเงาของร่มไม้ที่พระเจ้าประทานให้เป็นของขวัญแห่งพระคุณ มัวแต่โกรธเคืองเพราะถูกเอาคืนไป ราวกับว่าเป็นสิ่งที่ท่านสมควรได้รับ
ความบาปของโยนาห์ยิ่งแย่หนักเมื่อโยงเข้ากับเด็กๆในนีนะเวห์ ท่านต้องการเห็น (จากคำพูดของอับราฮัม) พระเจ้ากวาดคนชอบธรรมไปพร้อมกับคนอธรรม” 14
ความยุติธรรมของพระเจ้าปรากฎชัดเมื่อเทียบกับความโกรธที่โยนาห์คิดว่าตน เองชอบธรรม ไม่สนใจแม้พวกเขาจะกลับใจ แค่อยากเห็นพวกเขาพินาศ พระเจ้าไม่เพียงแต่ปิติที่ได้ช่วยคนบาปให้กลับใจ พระองค์ทรงห่วงใยเด็กที่ไร้เดียงสา และจะไม่ลงโทษพวกเขาแม้พ่อแม่พวกเขาจะชั่วร้ายก็ตาม
ความรอดของพระเจ้า และทารกที่ถูกสังหาร
มัทธิว 2:13-18; เยเรมีย์ 31:15
สิ่งที่พระเจ้าตรัสกับโยนาห์ทำให้เราเกิดปัญหากับพระกิตติคุณมัทธิว 2 ข้อ 13-18 ที่กำลังเรียนกัน:
ครั้นเขาไปแล้วก็มีทูตองค์หนึ่งของพระ เป็นเจ้า ได้มาปรากฏแก่โยเซฟในความฝันแล้วบอกว่า “จงลุกขึ้นพากุมารกับมารดาหนีไปประเทศอียิปต์ และคอยอยู่ที่นั่นจนกว่าเราจะบอกเจ้า เพราะว่าเฮโรดจะแสวงหากุมาร เพื่อจะประหารชีวิตเสีย” ในเวลากลางคืนโยเซฟจึงลุกขึ้น พากุมารกับมารดาไปยังประเทศอียิปต์ และได้อยู่ที่นั่นจนเฮโรดสิ้นพระชนม์ ทั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะของพระเป็นเจ้า ซึ่งได้ตรัสไว้โดยผู้เผยพระวจนะว่า เราได้เรียกบุตรของเราให้ออกมาจากอียิปต์ ครั้นเฮโรดเห็นว่าพวกโหราจารย์หลอกท่าน ก็กริ้วโกรธยิ่งนัก จึงใช้คนไปฆ่าเด็กผู้ชายทั้งหลาย ในบ้านเบธเลเฮมและที่ใกล้เคียงทั้งสิ้น ตั้งแต่อายุสองขวบลงมา ซึ่งพอดีกับเวลาที่ท่านได้ทราบจากพวกโหราจารย์นั้น ครั้งนั้นก็สำเร็จตามพระวจนะที่ตรัสโดยเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะว่า ได้ ยินเสียงในหมู่บ้านรามาห์ เป็นเสียงโอดครวญและร่ำไห้ คือนางราเชลร้องไห้คร่ำครวญ เพราะบุตรทั้งหลายของตน นางไม่รับฟังคำปลอบเล้าโลม เพราะบุตรทั้งหลายนั้นไม่มีแล้ว (มัทธิว 2:13-18)
พวกโหราจารย์ได้รับคำสั่งจากพระเจ้าให้เดินทางกลับเส้นทางอื่น พวกเขาเชื่อฟัง (2:12) แล้วพระองค์สั่งโยเซฟให้พาพระกุมารและนางมารีย์ไปลี้ภัยที่ในอียิปต์ เพราะเฮโรดกำลังหาทางฆ่าพระกุมาร โยเซฟเชื่อฟัง เมื่อเฮโรดรู้ว่าแผนสังหารทารกที่จะเป็นกษัตริย์ล้มเหลว ก็โกรธเคืองมาก จากข้อมูลที่ดาวมาปรากฎแก่โหราจารย์ และสถานที่กำเนิดตามคำพยากรณ์ที่นักศาสนาบอก เฮโรดพอรู้อายุและที่อยู่ของพระกุมาร แม้จะไม่ได้เห็นตัวจริง แต่พอรู้ว่าไม่น่าถึงสองขวบ เฮโรดคิดว่าเอาตัวเลขกลมๆนี้มาเป็นตัวตั้ง สังหารทารกทั้งหมดในเขตเบธเลเฮม ทารกชายอายุต่ำกว่าสองขวบทั้งหมดในเบธเลเฮมจึงถูกฆ่าตาย
จำนวนทารกที่ตายตามที่คาดเดาอาจดูเยอะเกินจริง โดยทั่วไปคิดว่าไม่น่าเกิน 20 หรือ 30 แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความผิดของเฮโรด หรือความทุกข์ระทมของพ่อแม่ลดลง อาจมีคำถามว่าทำไมมัทธิวเลือกที่จะบันทึกรายละเอียดการฆ่าทารก แต่ไม่บันทึกรายละเอียดการตายของเฮโรด คนอ่านอาจรู้สึกไม่พอใจที่ทารกโดนสังหารอย่างไม่เป็นธรรม อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเฮโรดหลังสิ่งโหดเหี้ยมที่เขาทำ ให้มาดูว่าพระกิตติคุณมัทธิวตอนนี้ให้บทเรียนอะไรกับเรา?
ประการแรก – เรื่องการสังหารทารกที่บริสุทธิ์ดูเหมือนเมฆทะมึนที่จู่ๆก็มาปกคลุมความชื่นชมยินดีในการประสูติของพระเยซูคริสต์ อย่าลืมว่าพระเยซูเสด็จมาเพื่อตายบนไม้กางเขนในเงื้อมมือของชาวยิวที่ไม่เชื่อและคนต่างชาติ และเราได้พบพระนามพระเยซูในมัทธิว 1:
“เธอจะประสูติบุตรชาย แล้วเจ้าจงเรียกนามท่านว่า เยซู เพราะว่าท่านเป็นผู้ที่จะโปรดช่วยชนชาติของท่านให้รอดจากความผิดบาปของเขา” (มัทธิว 1:21)
วิธีที่พระเยซูจะมา “โปรดช่วยชนชาติของท่านให้รอดจากความผิดบาป” คือยอมสละพระชนม์อย่างผู้บริสุทธิ์บนกางเขนที่เนินหัวกระโหลก การประสูติของพระเยซูเป็นเหตุการณ์ที่ชื่นชมยินดี เหมือนข้อความในบัตรอวยพรวันคริสตมาส แต่เป็นการประสูติของพระผู้ช่วยให้รอดที่ต้องไปสิ้นพระชนม์ในเยรูซาเล็ม มัทธิวจึงเตรียมปูพื้นให้ผู้อ่านแต่เนิ่นๆ ประชาชนและผู้ปกครองในเยรูซาเล็มต่างวุ่นวายใจเมื่อได้ยินคำว่า “กษัตริย์ของชาวยิว” มาบังเกิดในเบธเลเฮม
เราอาจจะเปรียบเทียบเรื่องต้นกำเนิดของพระเยซูในมัทธิวและในลูกาได้ ผู้เขียนแต่ละท่านเลือกสถานการณ์ เหตุการณ์ และผู้คนที่แตกต่างกัน แต่ทั้งคู่เตรียมผู้อ่านให้ตระหนักถึงความจริงว่าผู้ที่มาประสูติในเบธเลเฮม มาสละพระชนม์เพื่อความบาปของประชากรของพระองค์ มัทธิวเตรียมเราไว้ก่อนโดยบันทึกเรื่องเด็กบริสุทธิ์ถูกสังหาร ลูกาทำผ่านถ้อยคำที่สิเมโอนพูดกับนางมารีย์ :
แล้วสิเมโอนก็อวยพรแก่เขา แล้วกล่าวแก่นางมารีย์มารดาพระกุมารนั้นว่า “ดูก่อน ท่านทรงตั้งพระกุมารนี้ไว้ เป็นเหตุให้หลายคนในพวกอิสราเอลล้มลงหรือยกตั้งขึ้น และจะเป็นหมายสำคัญซึ่งคนปฏิเสธ เพื่อความคิดในใจของคนเป็นอันมากจะได้ปรากฏแจ้ง ถึงหัวใจของท่านเองก็ยังจะถูกดาบแทงทะลุด้วย” (ลูกา 2:34-35)
ถ้าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนพระเยซูบังเกิดเล็งถึงเหตุการณ์อื่นๆในชีวิต ที่จะเกิดขึ้นจนถึงวันสิ้นพระชนม์ เหตุการณ์ช่วงการบังเกิดควรมีการเตือนล่วงหน้าว่าพระองค์จะต้องสิ้นพระชนม์
ยังมีอีกมิติหนึ่งเรื่องทารกถูกสังหาร ผมเชื่อว่าน่าจะนำมาพิจารณา บางคนคิดว่ามันไกลเกินเอื้อม แต่ผมไม่ใช่คนเดียวที่ยื่นไปแตะมิตินี้ ผมถามตัวเองด้วยคำถามง่ายๆ : อะไรคือเหตุผลที่เฮโรดต้องฆ่าทารกเพศชาย? คำตอบที่ผมคิดว่าง่ายและชัดเจนคือ เฮโรดสังหารทารกพวกนี้เพราะอยู่ในข่ายว่าน่าจะเป็นพระเยซู เฮโรดไม่ได้สั่งฆ่าเด็กผู้หญิงอายุต่ำกว่าสิบสองในเยรูซาเล็ม ฆ่าเฉพาะทารกชายอายุต่ำกว่าสองในเขตเบธเลเฮม ทำไมครับ? เพราะเฮโรดต้องการฆ่าพระเยซูผู้จะมาเป็น “กษัตริย์ของชาวยิว” เฮโรดสั่งฆ่าเฉพาะทารกที่เกิดตามคำพยากรณ์ที่เล็งถึงพระเมสซิยาห์ และคะเนอายุตามที่พวกโหราจารย์บอกเมื่อเห็นดวงดาว ในอีกแง่ ทารกพวกนี้คือคนกลุ่มแรกที่พลีชีพเพื่อพระคริสต์
เราต้องตั้งคำถาม : อะไรทำให้มัทธิวพยายามเชื่อมโยงการสังหารทารกเข้ากับเยเรมีย์ 31:15? ผมขอเริ่มจากตั้งข้อสังเกตพระวจนะตอนที่มัทธิวอ้างในเยเรมีย์ 31
(1) บริบทของเยเรมีย์ 31 คือการตกไปเป็นเชลยของอิสราเอล การกลับสู่มาตุภูมิ และกลับสู่สภาพดี โดยเฉพาะพระเจ้าให้ความมั่นใจกับอาณาจักรเหนือของอิสราเอลว่าจะทำให้คืนสู่ สภาพดีเมื่อเป็นไทจากอัสซีเรีย ลองมาดูข้อคิดเห็นจากหนังสือ Bible Knowledge Commentary ข้อ 2-6:
พระเจ้าให้คำมั่นว่าจะฟื้นฟูอาณาจักรเหนือ คนที่รอดตายจากดาบ(ที่อาจถูกอัสซีเรียทำลาย) จะได้ลิ้มรสความโปรดปรานของพระเจ้า เมื่อพระองค์นำเขาเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร เหมือนเป็นการอพยพครั้งใหม่ 16:14-15; 23:7-8; โฮเชยา 2:14-15 ความวุ่นวายในหลายปีที่ตกเป็นเชลยจะหมดไปเมื่อพระเจ้าเข้ามาแทรกแซง และทำให้ชนชาติอิสราเอลได้หยุดพัก 15
ต่อไปมาดูข้อคิดเห็นจาก Bible Knowledge Commentary ข้อ 7-9:
เมื่อพระเจ้านำประชากรที่อพยพครั้งใหม่กลับสู่อิสราเอล พระองค์จัดเตรียมทุกสิ่งที่จำเป็นให้พวกเขา จะนำพวกเขาเดินข้างลำธารน้ำ (เทียบกับ อพยพ 15:22-25; กันดารวิถี 20:2-13; สดุดี 23:2) จะได้เดินในทางราบซึ่งไม่สะดุด พระองค์ทำทั้งหมดนี้เพราะความสัมพันธ์พิเศษที่มีต่ออิสราเอล ทรงเป็นพระบิดาของชนชาตินี้ (ดูเฉลยธรรมบัญญัติ 32:6) เอฟราอิม (เน้นถึงชนเผ่าเหนือของอิสราเอล) เป็นเหมือนบุตรหัวปี (ดูอพยพ 4:22) เยเรมีย์ใช้ภาพความสัมพันธ์ระหว่างบิดาและบุตรเพื่อให้เห็นถึงความรักลึก ซึ้งที่พระเจ้ามีต่อประชากรของพระองค์ (ดูโฮเชยา 11:1, 8)16
การ “ตกไปเป็นเชลย” คงจะรวมถึงตกเป็นเชลยของบาบิโลนในเวลาต่อมาด้วย รามาห์ ตามที่บันทึกไว้เป็นจุดรวมพลประชากรยูดาห์ก่อนถูกส่งไปเป็นเชลยที่บาบิโลน :
เยเรมีย์จึงให้ภาพการร้องไห้คร่ำครวญของพวกผู้หญิงในอาณาจักรเหนือขณะ เห็นลูกๆถูกอุ้มไปเป็นเชลยในปี 722 ก.ค.ศ. อย่างไรก็ตาม เยเรมีย์อาจหมายถึงการส่งคนยูดาห์ไปเป็นเชลยในปี 586 ก.ค.ศ. ในแง่ที่รามาห์เป็นจุดรวมพลเพื่อให้เนบูคัดเนสซาร์จับส่งไปเป็นเชลย (ดู 40:1)17
(2) อารมณ์ของบทนี้มีแต่การเฉลิมฉลองด้วยความยินดี เพราะพระเจ้าจะนำประชากรของพระองค์กลับสู่มาตุภูมิ และฟื้นฟูสู่สภาพดี เทพระพรลงมาเหนือพวกเขา ในแง่นี้ คนที่ร้องไห้คร่ำครวญจะไม่ร้องอีกต่อไป
10 “บรรดาประชาชาติเอ๋ย จงฟังพระวจนะของพระเจ้า
และจงประกาศพระวจนะนั้น ในแผ่นดินชายทะเลที่ห่างออกไป
จงกล่าวว่า ‘ท่านที่กระจายอิสราเอลนั้นจะรวบรวมเขา และจะดูแลเขาอย่างกับผู้เลี้ยงแกะดูแลฝูงแกะของเขา’
11 เพราะพระเจ้าทรงไถ่ยาโคบไว้แล้ว
และได้ไถ่มาจากมือที่แข็งแรงเกินกว่าเขา
12 เขาทั้งหลายจะมาร้องเพลงอยู่บนที่สูงแห่งศิโยน
และเขาจะปลาบปลื้มเพราะของดีของพระเจ้า
เพราะเมล็ดข้าว เหล้าองุ่นและน้ำมันและเพราะลูกของแกะและโค
ชีวิตของเขาทั้งหลายจะเหมือนกับสวนที่มีน้ำรด และเขาจะไม่อ่อนระทวยอีกต่อไป
13 แล้วพวกพรหมจารีจะเปรมปรีดิ์ในการเต้นรำ
และคนหนุ่มกับคนแก่จะรื่นเริง เราจะกลับความโศกเศร้าของเขาให้เป็นความชื่นบาน
เราจะปลอบโยนเขาและให้ความยินดีแก่เขาแทนการไว้ทุกข์ (เยเรมีย์ 31:10-13)
(3) สถานที่ๆพูดถึงในเยเรมีย์ 31:15 คือรามาห์ และบุคคลที่พูดถึงคือราเชลที่ร่ำไห้เพราะบุตรของเธอ ทำให้นึกถึงการตายของราเชลในปฐมกาล 35:16-19 ราเชลมีปัญหาขณะคลอดบุตรชาย เธอตั้งชื่อเขาว่าเบนโอนี “บุตรแห่งความโศกเศร้า” แล้วเปลี่ยนเป็นเบนยามิน (บุตรแห่งมือขวาของเรา) ก็ถือกำเนิดมา แต่ราเชลตายหลังคลอด ราเชลเป็นมารดาของโยเซฟ (ผู้เป็นบิดาของเอฟราอิมและมนัสเสห์) และเบนยามิน เธอถูกเรียกว่าเป็น “มารดาของอิสราเอล” เธอใกล้ชิดและผูกพันกับอาณาจักรตอนเหนือของอิสราเอลมาก จึงเป็นการง่ายที่จะอธิบายการคร่ำครวญของแม่ๆในอาณาจักรเหนือว่าเป็น “นางราเชลร้องไห้คร่ำครวญเพราะบุตรทั้งหลายของตน” เมื่อถูกอัสซีเรียจับไปเป็นเชลย ถ้อยคำเดียวกันนี้สามารถนำมาอธิบายถึงแม่ๆในอาณาจักรใต้ที่คร่ำครวญเมื่อ เห็นบุตรถูกนำตัวไปต่อหน้าต่อตา
(4) บริบทของเยเรมีย์ 31 ยังเป็น “พันธสัญญาใหม่” ด้วย:
“พระเจ้าตรัสว่า ดูเถิด วันเวลาจะมาถึง เมื่อเราจะหว่านพืชคนและพืชสัตว์ในประชา อิสราเอลและประชายูดาห์ และจะเป็นไปอย่างนี้ คือเมื่อเราเฝ้าดูเขา เพื่อจะถอนออกและพังลงคว่ำเสีย ทำลาย และนำเหตุร้ายมาฉันใด เราจะเฝ้าดูเหนือเขาเพื่อจะสร้างขึ้นและปลูกฝังฉันนั้น พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ ในสมัยนั้น เขาจะไม่กล่าวต่อไปอีกว่า ‘บิดารับประทานองุ่นเปรี้ยวและบุตรก็เข็ดฟัน’ แต่ทุกคนจะต้องตายเพราะบาปของตนเอง มนุษย์ทุกคนที่รับประทานองุ่นเปรี้ยว ก็จะเข็ดฟัน “พระเจ้าตรัสว่า ดูเถิด วันเวลาจะมาถึง ซึ่งเราจะทำพันธสัญญาใหม่กับประชาอิสราเอลและประชายูดาห์ ไม่เหมือนกับพันธสัญญาซึ่งเราได้กระทำกับ บรรพบุรุษของเขาทั้งหลาย เมื่อเราจูงมือเขาเพื่อนำเขาออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ เป็นพันธสัญญาของเราซึ่งเขาผิด ถึงแม้ว่าเราได้เป็นสามีของเขา พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ แต่นี่จะเป็นพันธสัญญาซึ่งเราจะกระทำกับ ประชาอิสราเอลภายหลังสมัยนั้น พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ เราจะบรรจุพระธรรมไว้ในเขาทั้งหลาย และเราจะจารึกมันไว้บนดวงใจของเขาทั้งหลาย และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นประชากรของเรา และทุกคนจะไม่สอนเพื่อนบ้านของตน และพี่น้องของตนแต่ละคนอีกว่า ‘จงรู้จักพระเจ้า’ เพราะเขาทั้งหลายจะรู้จักเราหมดตั้งแต่คน เล็กน้อยที่สุดถึงคนใหญ่โตที่สุด พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ เพราะเราจะให้อภัยบาปชั่วของเขา และจะไม่จดจำบาปของเขา ทั้งหลายอีกต่อไป” (เยเรมีย์ 31:27-34)
ผมพบว่าเยเรมีย์พยายามอธิบายถึงความสำคัญจากผลที่เกิดในพันธสัญญาใหม่ใน ข้อ 29 และ 30 ประเด็นของท่านคือเมื่ออยู่ภายใต้พันธสัญญาเดิม เด็กจะต้องรับผลจากโทษบาปของพ่อแม่ ซึ่งจะไม่เป็นเช่นนั้นในพันธสัญญาใหม่ ถ้ามาพิจารณาพระคำในเยเรมีย์ 31:15 ให้ใกล้ๆ ผมพบว่ามันยากที่จะพูดว่าทารกบริสุทธิ์ที่ตายลงในเบธเลเฮมเป็นเพราะบาปของ พ่อแม่ และจากที่เราเรียนมาในตอนต้น ก็ยังยากที่จะสรุปว่าที่ทารกเหล่านี้ตายเพราะอยู่ภายการตัดสินของพระเจ้า ซึ่งแตกต่างจากกรณีของเฮโรด ที่ตายในมัทธิวบทที่ 2
แล้วเราจะเชื่อมรอยต่อนี้ได้อย่างไร? ผมเชื่อว่ามัทธิวกำลังบอกเราว่าพระเยซูคืออิสราเอลใหม่ และพระองค์เชื่อมต่อกับโมเสสผู้ถูกฟาโรห์ตามล่าชีวิตด้วย แต่พระเจ้าทรงช่วยไว้ พระเยซูเช่นเดียวกับดาวิด ถูกกษัตริย์ขี้อิจฉาตามล่าเพราะเป็นภัยคุกคามต่อราชบัลลังก์ พระองค์ทรงเป็นทุกสิ่งที่อิสราเอลทำไม่สำเร็จ ดังนั้นการเดินทางไปอียิปต์และกลับมาจึงเป็นเหมือนย้อนรอยอพยพตามที่โฮเชยา พูดถึงในโฮเชยา 11:1
การเดินทางไปอียิปต์และกลับมาของพระเยซูคือภาพอิสราเอลที่ตกไปเป็นเชลย (ทั้งเชลยอัสซีเรียของอาณาจักรเหนือ และเชลยบาบิโลนของอาณาจักรใต้) มัทธิวจึงโยงการร้องไห้คร่ำครวญของราเชลที่บุตรถูกอุ้มไป แม้จะโอดครวญเพราะคิดว่าพวกเขาจะไม่ได้กลับมาอีกแล้ว แต่พระเจ้าสัญญาว่าพวกเขาจะได้กลับมา รับการฟื้นฟูและรับพระพร สิ่งนี้เป็นนัยบอกเราหรือไม่ว่าการคร่ำครวญของแม่ (และพ่อด้วย) ที่ในเบธเลเฮม ที่ลูกถูกฆ่าจะเป็นเวลาเพียงสั้นๆด้วย? และทั้งหมดนี้เป็นเพราะพระเยซูผู้เป็นอิสราเอลใหม่ ขณะที่ทารกพวกนี้ตายเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ ผมเชื่อว่าเมื่อถึงเวลา พวกเขาจะฟื้นขึ้นมาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ และจะกลับมาด้วยสง่าราศี18 เฮโรดตายโดยต่อต้าน “กษัตริย์ของชาวยิว” ทารกพวกนี้ตายโดยแสดงความเป็นหนึ่งเดียวกันกับ “กษัตริย์ของชาวยิว” ปลายทางช่างแตกต่างกันสิ้นดี
ข้อคิดสุดท้ายเรื่องการทนทุกข์จาก โรม 8
ในบทเรียนนี้ เราได้เห็นว่ามีหลายสาเหตุที่ทำให้มนุษย์ต้องเผชิญความทุกข์ และมีผลหลายแบบ ขณะที่เราอยากได้คำตอบง่ายๆในเรื่องความทุกข์ (คำตอบแบบที่พวกสาวกอยากได้ในยอห์น 9 หรือจากเพื่อนๆของโยบ) แต่คำตอบแบบนั้นหาไม่ได้ เป็นเวลาหลายปีกว่าชายตาบอดแต่กำเนิดจะรู้สาเหตุของความทุกข์ที่เขาเผชิญ และเชื่อว่าเขาคิดว่ามันคุ้มค่า โยบไม่ได้รับคำตอบจากความทุกข์ของท่าน ท่านแค่ถูกเตือนว่าพระเจ้าคือผู้ใด แค่นั้นก็เพียงพอ ขณะที่ยังหาคำตอบง่ายๆสำหรับคำถามเรื่องความทุกข์ไม่ได้ แต่มีความมั่นใจบางประการที่ทำให้เราอดทนได้ในความเชื่อ เพื่อจะสรุปเรื่องความมั่นใจนี้ ผมขอให้เรากลับไปที่โรม 8
(1) การทนทุกข์เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ในชีวิตมนุษย์ (โรม 8:18-25) ใน 1โครินธ์ 10 ตามที่ อ.เปาโลเขียน:
ไม่มีการทดลองใดๆเกิดขึ้นกับท่าน นอกเหนือจากการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ทั้งหลาย พระเจ้าทรงสัตย์ธรรม พระองค์จะไม่ทรงให้ท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ และเมื่อท่านถูกทดลองนั้น พระองค์จะทรงโปรดให้ท่านมีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ด้วย เพื่อท่านจะมีกำลังทนได้ (1โครินธ์ 10:13)
การมีชีวิตอยู่ในโลกที่เสื่อมสลายนี้แปลว่าเราต้องเผชิญกับผลของความ เสื่อมด้วย ทำให้ความทุกข์กลายเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ชีวิต ไม่ใช่เพราะเป็นคริสเตียน แต่ในฐานะมนุษย์
(2) องค์พระเยซูคริสต์ทรงสถิตกับเราเสมอโดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งประทานความมั่นใจให้เราว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า และมีความหวังใจในชีวิตนิรันดร์ พระองค์ทรงสื่อสารแทนเราเมื่อเป็นทุกข์หนัก พระเยซูให้ความมั่นใจว่าจะทรงอยู่กับเราเสมอจนกว่าจะสิ้นยุค (มัทธิว 28:20) พระองค์ตรัสว่าจะไม่ละหรือทอดทิ้งเราเลย (ฮีบรู 13:5) เราจะไม่มีวันอยู่ตามลำพังในท่ามกลางความทุกข์ ที่จริงแล้วพระองค์ดึงเราให้เข้าใกล้โดยผ่านความทุกข์ (ดูสดุดี 73:21-28)
(3) คริสเตียนต้องมั่นใจว่าความทุกข์ใดที่ผ่านเข้ามาในชีวิตมาจากพระหัตถ์แห่ง ความรักของพระเจ้าที่มีต่อพวกเขา เพื่อให้เกิดผลดี และเพื่อพระสิริของพระองค์ :
เรารู้ว่า พระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง คือคนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์ เพราะว่าผู้หนึ่งผู้ใดที่พระองค์ได้ทรงทราบอยู่แล้ว ผู้นั้นพระองค์ได้ทรงตั้งไว้ให้เป็นตามลักษณะพระฉาย แห่งพระบุตรของพระองค์ เพื่อพระบุตรนั้นจะได้เป็นบุตรหัวปีท่ามกลางพวกพี่น้องเป็นอันมาก และบรรดาผู้ที่พระองค์ได้ทรงตั้งไว้นั้น พระองค์ได้ทรงเรียกมาด้วย และผู้ที่พระองค์ได้ทรงเรียกมานั้น พระองค์ทรงโปรดให้เป็นผู้ชอบธรรม และผู้ที่พระองค์ทรงโปรดให้เป็นผู้ชอบธรรม พระองค์ก็ทรงโปรดให้มีศักดิ์ศรีด้วย (โรม 8:28-30)
(4) เราสามารถเผชิญความทุกข์อย่างผู้มีชัยชนะ โดยรับรู้ความจริงว่าพระคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดของเรา ได้ทนทุกข์เพื่อเรา เพื่อให้เราได้รับชีวิตนิรันดร์:
ถ้าเช่นนั้นเราจะว่าอย่างไร ถ้าพระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเรา ใครจะขัดขวางเรา พระองค์ผู้มิได้ทรงหวงพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ แต่ได้ทรงโปรดประทานพระบุตรนั้นเพื่อประโยชน์แก่เรา ถ้าเช่นนั้นพระองค์จะไม่ทรงโปรดประทานสิ่งสารพัดให้เราทั้งหลาย ด้วยกันกับพระบุตรนั้นหรือ ใครจะฟ้องคนเหล่านั้นที่พระเจ้าได้ทรงเลือกไว้ พระเจ้าทรงโปรดให้พ้นโทษแล้ว ใครเล่าจะเป็นผู้ปรับโทษอีก พระเยซูคริสต์น่ะหรือ ผู้ทรงสิ้นพระชนม์แล้ว และยิ่งกว่านั้นอีกได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ทรงสถิต ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า และทรงอธิษฐานขอเพื่อเราทั้งหลายด้วย แล้วใครจะให้เราทั้งหลายขาดจากความรักของพระคริสต์ได้เล่า จะเป็นความทุกข์ หรือความยากลำบาก หรือการเคี่ยวเข็ญ หรือการกันดารอาหาร หรือการเปลือยกาย หรือการถูกโพยภัย หรือการถูกคมดาบหรือ ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า เพราะเห็นแก่พระองค์ ข้าพระองค์จึงถูกประหารวันยังค่ำ และนับว่าเป็นแกะสำหรับจะเอาไปฆ่า แต่ ว่าในเหตุการณ์ทั้งปวงเหล่านี้ เรามีชัยเหลือล้นโดยพระองค์ผู้ได้ทรงรักเราทั้งหลาย เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า แม้ความตาย หรือชีวิต หรือบรรดาทูตสวรรค์ หรือเทพเจ้า หรือสิ่งซึ่งมีอยู่ในปัจจุบันนี้ หรือสิ่งซึ่งจะมีในภายหน้า หรือฤทธิ์เดชทั้งหลาย หรือซึ่งสูง หรือซึ่งลึก หรือสิ่งใดๆอื่นที่ได้ทรงสร้างแล้วนั้น จะไม่สามารถกระทำให้เราทั้งหลายขาดจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้ (โรม 8:31-39)
สรรเสริญพระเจ้าที่เรามีพระบิดา ที่รักเรา และทรงครอบครองอยู่ ผู้อนุญาตให้เราผ่านความทุกข์เพื่อผลดีของเรา และเพื่อพระสิริของพระองค์ !
โดย : Robert L (Bob) Deffinbaugh
ได้รับอนุญาตและเป็นลิขสิทธิของ https://bible.org/
แปล : อรอวล ระงับภัย (Church of Joy)
1 บทเรียนต่อเนื่องบทนี้ปรับจากต้นฉบับเดิมของพระกิตติคุณมัทธิวบทเรียนที่ 3 จัดทำโดย อ. Robert L. Deffinbaugh วันที่ 2 มีนาคม 2003
2 ผมเพิ่มพระวจนะข้อ 3-15 เพื่อให้ง่ายต่อการดูบริบท
3 นอกจากที่กล่าวไปแล้ว พระวจนะที่นำมาอ้างอิงทั้งหมดมาจาก NET Bible (The NEW ENGLISH TRANSLATION) เป็น ฉบับแปลใหม่ทั้งหมด ไม่ใช่นำฉบับเก่าในภาษาอังกฤษมาเรียบเรียงใหม่ ใช้ผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการพระคัมภีร์มากกว่า ยี่สิบคน รวบรวมข้อมูล ทั้งจากภาษาฮีบรูโดยตรง ภาษาอาราเมข และภาษากรีก โครงการแปลนี้เริ่มมาจากที่เราต้องการนำ พระคัมภีร์ เผยแพร่ผ่านสื่ออีเลคโทรนิค เพื่อรองรับการใช้งานทางอินเตอร์เน็ท และซีดี (compact disk) ที่ใดก็ตามในโลก ที่ต่อเข้าอินเตอร์เน็ทได้ ก็สามารถเรียกดู และพริ้นทข้อมูลไว้เพื่อใช้ศึกษาเป็นการส่วนตัวได้โดยไม่คิดมูลค่า นอกจากนี้ ผู้ใดก็ตาม ที่ต้องการนำข้อมูลเกี่ยวกับพระคัมภีร์ไปเผยแพร่ต่อโดยไม่คิดเงิน สามารถทำได้จากเว็บไซด์ : www.netbible.org.
4 ผมมีประสบการณ์ในประเทศอินเดียที่ช่วยให้เข้าใจว่าทำไมหลายคนมองคนตาบอดว่า ไร้สมรรถภาพ ตอนเข้าประเทศอินเดียพร้อมกับเพื่อนตาบอดอีกคน เคร็ก เนลสัน เราถูกเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองสอบถาม เมื่อเห็นว่าเพื่อนของผมพิการ เขาหันมาที่ผมแทน ถามว่า “เขาป่วยเหรอ?” เพื่อนผมตอบว่า “ผมไม่ได้ป่วย ผมแค่มองไม่เห็น” พอได้ยิน เจ้าหน้าที่คนนั้นไม่ยอมพูดกับเพื่อนผมเลย พูดกับผมแทน เหมือนกับเพื่อนผมไม่มีตัวตน จึงไม่น่าประหลาดใจที่ขอทานพิการนอกพระวิหาร (กิจการ 3) เรียกร้องอยากได้บางสิ่งเมื่อเขารู้สึกว่าเปโตรและยอห์นมองมา
5 ชายคนนี้ตาบอดมาตั้งแต่เกิด ดังนั้นเรื่องทำบาปคงเป็นไปได้ยาก แต่กลับต้องรู้สึกว่าที่ตาบอดเป็นเพราะพระเจ้าลงโทษ
6 ดูลูกา 4:18-19
7 ดูตัวอย่างที่พระเยซูรักษาชายพิการที่สระเบธซาธา พระองค์กลับไปพบเขาที่พระวิหาร ตรัสสั่งว่า “นี่แน่ะ เจ้าหายโรคแล้ว อย่าทำบาปอีก มิฉะนั้นเหตุร้ายกว่านั้นจะเกิดกับเจ้า” (ยอห์น 5:14)
8 โยเซฟแกล้งทำเป็นดุดัน (ปฐมกาล 42:7) เพราะเขาแอบไปร้องไห้เมื่ออยู่ลำพัง (42:24; 43:30)
9 ใน 2โครินธ์ 1:3-7 ด้วยที่ อ.เปาโลสอนว่าการเล้าโลมใจที่เราได้รับเมื่อผจญความทุกข์ทำให้เราสามารถไป เล้าโลมใจผู้อื่นในยามที่พวกเขาทุกข์ได้
10 อย่าลืมว่าความตายของพวกปุโรหิตอาจเกี่ยวข้องกับคำแช่งสาปของเอลีใน 1 ซามูเอล 2:27-36
11 ในปฐมกาล อับราฮัมคัดค้านพระเจ้าแทนผู้ชอบธรรม ในโยนาห์ พระเจ้าทรงปกป้อง “พวกไร้เดียงสา” เช่นเด็กๆและสัตว์เลี้ยง
12 ดูอพยพ 34:6 เนหะมีย์ 9:17, 31; สดุดี 103.8; 111:14; 112:4; 116:5
13 สิ่งหนึ่งที่พวกคิดว่าตนเองชอบธรรมเกลียดชังคือพระคุณ
14 ผู้อ่านอาจจะสังเกตว่าผมใช้คำว่า “ไร้เดียงสา” แทนคำว่าผู้ชอบธรรมตามที่อับราฮัมใช้ในปฐมกาล 18:23 เพราะสถานการณ์นี้แตกต่างจากสถานการณ์ในโสดมโกโมราห์ แต่ก็มีส่วนคล้าย
15 จาก Walvoord, J. F. Zuck, R. B., & Dallas Theological Seminary. 1983-c1985. The Bible Knowledge Commentary: An Exposition of the Scriptures. Victor Books: Wheaton, IL. Emphasis mine.
16 Ibid.
17 Ibid.
18 ข้อสรุปนี้ใกล้เคียงกับที่ผมเข้าใจว่าทารกที่ตายจะได้ไปสวรรค์ มุมมองที่ผมพูดไว้อย่างละเอียดในบทเรียน 2ซามูเอล 12
Related Topics: Suffering, Trials, Persecution
4. ยอห์นผู้ให้บัพติศมา และพระเยซู (มัทธิว 3:1-17)
Related Mediaคำนำ1
หลายปีมาแล้วผมและภรรยานั่งดูรายการโทรทัศน์ถ่ายทอดสดงานประกาศของบิลลี่ เกรแฮมในดัลลัส เท็กซัส มีเพลงร้องนำเพราะๆจากไมเคิล ดับเบิ้ลยู สมิท และวงดนตรีไกเธอร์ โวคัล แบนด์ พอถึงเวลาบิลลี่ เกรแฮมต้องขึ้นพูด ผู้ที่ขึ้นไปกล่าวแนะนำคืออดีตประธานาธิบดีจอร์จ บุช (คนพ่อ) บุชพูดถึงบิลลี่ได้อย่างน่าฟัง พูดถึงความสัตย์ซื่อของท่านในการประกาศข่าวประเสริฐ รวมถึงคำเทศนาที่ท่านเคยเทศน์ให้อดีตประธานาธิบดีคนก่อนๆและครอบครัวฟังมา หลายปี
ถ้าพระเยซูจะไปเทศนาที่สนามฟุตบอลในดัลลัส เท็กซัส คุณว่าใครควรเป็นคนขึ้นไปกล่าวแนะนำพระองค์? ผมแน่ใจว่าคนแรกคงไม่ใช่ยอห์นผู้ให้บัพติศมาแน่ ที่จริงผมว่าคงไม่มีการนำเสนอชื่อท่านด้วยซ้ำ แต่เราพูดได้ว่าภารกิจในชีวิตของยอห์นคือแนะนำพระเยซูคริสต์ว่าคือพระเม สซิยาห์ตามพระสัญญา ความหวังใจของคนทุกยุคสมัย แต่ใครจะไปคิดว่าพระเจ้าจะเลือกคนอย่างยอห์นผู้ให้บัพติศมาทำภารกิจนี้? ถ้าจะพูดว่ายอห์นนั้นมี “เอกลักษณ์” เฉพาะตัว ก็เป็นการประเมินที่ต่ำไป ท่านเป็นเหมือน “คนป่า” ในถิ่นทุรกันดาร เป็นชายที่ตั้งแต่เด็กไปใช้ชีวิตอยู่ “ในถิ่นทุรกันดาร จนถึงวันที่ท่านจะได้มาปรากฏแก่ชนชาติอิสราเอล” (ลูกา 1:80)2 สวมเสื่อผ้าที่ทำด้วยขนอูฐ อาหารคือจั๊กจั่นและน้ำผึ้งป่า (มัทธิว 3:4) คำพูดของท่านไม่ได้รับการขัดเกลา ทื่อและตรงเป้า แทนที่จะต้อนรับทุกคนที่มาหา ท่านกลับใช้ถ้อยคำโจมตีบางคนด้วยซ้ำ และนี่คือชายที่พระเจ้าเลือกสรรไว้ให้แนะนำพระบุตรของพระองค์ พระเมสซิยาห์
ไม่ว่าใครจะคิดอย่างไรเกี่ยวกับยอห์น ไม่มีใครกล้าปฏิเสธความสำเร็จของท่าน นอกจากความเป็นตัวตนของท่านแล้ว ยอห์นดึงดูดฝูงชนมากมาย สิ่งที่ท่านประกาศสร้างผลกระทบยิ่งใหญ่ให้กับผู้คนมากมาย เหมือนกับที่ทูตสวรรค์ได้บอกกับเศคาริยาห์บิดาของท่านทุกประการ:
แต่ทูตองค์นั้นกล่าวแก่ท่านว่า “เศคาริยาห์เอ๋ย อย่ากลัวเลย ด้วยได้ทรงฟังคำอธิษฐานของท่านแล้ว นางเอลีซาเบธ ภรรยาของท่านจะมีบุตรเป็นผู้ชาย และท่านจงตั้งชื่อบุตรนั้นว่ายอห์น ท่านจะมีความปรีดาและยินดี และคนเป็นอันมากจะเปรมปรีดิ์ที่บุตรนั้นบังเกิดมา เพราะว่าเขาจะเป็นใหญ่จำเพาะพระเจ้า เขาจะไม่กินน้ำองุ่นหมักและเหล้าเลย และจะประกอบไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ตั้งแต่ครรภ์มารดา เขาจะนำพงศ์พันธุ์อิสราเอล หลายคนให้หันกลับมาหาพระเจ้าของเขาทั้งหลาย เขาจะนำหน้าพระองค์โดยน้ำใจและ ฤทธิ์เดชของเอลียาห์ ให้พ่อกลับคืนดีกับลูก และคนดื้อด้านให้กลับได้ปัญญา ของคนชอบธรรม เพื่อจัดเตรียมชนชาติหนึ่งไว้ให้สมแก่พระเจ้า” (ลูกา 1:13-17)
ความยิ่งใหญ่ของยอห์นไม่อาจปฏิเสธได้ หนังสือพระกิตติคุณทั้งสี่เล่มต่างก็บันทึกเรื่องพันธกิจของพระเยซูคริสต์ โดยมีถ้อยคำของยอห์นนำร่อง พระเยซูคริสต์เองยังตรัสยกย่องท่าน:
“เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ในบรรดาคนซึ่งเกิดจากผู้หญิงมานั้น ไม่มีผู้ใดใหญ่กว่ายอห์นผู้ให้รับบัพติศมา แต่ว่าผู้ที่ต่ำต้อยที่สุดในแผ่นดินสวรรค์ก็ยังใหญ่กว่ายอห์นเสียอีก“ (มัทธิว 11:11)
ผู้ชายทุกคนเหมือนกับเฮโรด ไม่ค่อยกล้ายุ่งกับยอห์น ในอีกแง่ เฮโรดอาจกลัวฝูงชน เพราะพวกเขานับถือท่าน (มัทธิว 14:5) แต่ในอีกแง่ เฮโรดเองก็ยำเกรงยอห์น (มาระโก 6:20) ภาพลักษณ์ของยอห์นอาจดูไม่โดดเด่น แถมยังเป็นนักพูดที่ไม่ได้โด่งดัง แต่ที่แน่ๆท่านดึงดูดฝูงชนจำนวนมาก หลายคนทำตามที่ท่านสอน แม้ไม่ได้เดินทางไปไหนไกล แต่เรารู้ว่ามีผู้มาติดตามท่านจากที่ไกลเช่นจากยูเดีย และเอเฟซัส:
มียิวคนหนึ่งชื่ออปอลโล เกิดในเมืองอเล็กซานเดรีย เป็นคนมีโวหารดี และชำนาญมากในทางพระคัมภีร์ ท่านมายังเมืองเอเฟซัส อปอลโลคนนี้ได้รับการอบรมในทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า และมีใจร้อนรนกล่าวสั่งสอนอย่างถูกต้องถึงเรื่องพระเยซู ถึงแม้ท่านรู้แต่เพียงบัพติศมาของยอห์นเท่านั้น (ยอห์น 26) ท่านได้เข้าไปในธรรมศาลาสั่งสอนโดยใจกล้า แต่เมื่อปริสสิลลากับอาควิลลาได้ฟังท่านแล้ว เขาจึงรับท่านมาสั่งสอนให้รู้ทางของพระเจ้าให้ถูกต้องยิ่งขึ้น (กิจการ 18:24-26)
ขณะที่อปอลโลยังอยู่ในเมืองโครินธ์ เปาโลได้ไปตามที่ดอน แล้วมายังเมืองเอเฟซัส ท่านพบสาวกบางคนที่นั่น จึงถามเขาว่า “เมื่อท่านทั้งหลายเชื่อนั้น ท่านได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือเปล่า” เขาตอบว่า “เปล่า เรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นเราก็ยังไม่เคยได้ยินเลย” เปาโลจึงถามเขาว่า “ถ้าอย่างนั้นท่านได้รับบัพติศมาอันใดเล่า” เขาตอบว่า “บัพติศมาของยอห์น” เปาโลจึงว่า “ยอห์นให้รับบัพติศมาสำแดงถึงการกลับใจใหม่ แล้วบอกคนทั้งปวงให้เชื่อในพระองค์ผู้จะเสด็จมาภายหลังคือพระเยซู” เมื่อเขาได้ยินอย่างนั้น เขาจึงรับบัพติศมาในพระนามของพระเยซูเจ้า เมื่อเปาโลได้วางมือบนเขาแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เสด็จลงมาบนเขา เขาจึงพูดภาษาแปลกๆและได้ทำนายด้วย คนเหล่านั้นมีประมาณสิบสองคน (กิจการ 19:1-7)
ในฐานะผู้เผยพระวจนะ ยอห์นผู้ให้บัพติศมาเป็นสิ่งแปลกใหม่ในอิสราเอลยุคนั้น เพราะผ่านมาเกือบ 400 ปีที่พระเจ้าไม่ได้ตรัสผ่านผู้เผยพระวจนะ (ดูอิสยาห์ 29:10) แล้วจู่ๆจากถิ่นทุรกันดารในยูเดียก็มีเสียงป่าวร้องขึ้นมา “จงกลับใจเสียใหม่ เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว” (มัทธิว 3:2) ผู้คนต่างก็แห่ไปที่ถิ่นทุรกันดาร ไปดูและไปฟังท่าน บางคนไปเพราะอยากรู้อยากเห็น ขณะที่บางคนไปเพราะต้องการกลับใจ สารภาพบาป และรับบัพติศมา คนอื่นๆ (เช่นพวกสะดูสิ และฟาริสี มัทธิว 3:7) อาจไปเพราะไปหาแนวร่วมมาต่อต้าน
บทเรียนนี้จะมุ่งไปที่ยอห์นผู้ให้บัพติศมา พันธกิจของท่าน ข่าวที่ท่านประกาศและวิธีการ ในขณะที่ผู้เขียนพระกิตติคุณแต่ละเล่มเน้นความสำคัญและให้มุมมองที่ต่างกัน ผมตั้งใจให้บทเรียนบทนี้เกี่ยวข้องกับยอห์นผู้ให้บัพติศมาตามมุมองของมัทธิว
ข้อสังเกต
เราควรเริ่มจากตั้งข้อสังเกตในตัวของท่านยอห์นผู้ให้บัพติศมา
(1) ยอห์นผู้ให้บัพติศมาเป็นบุคคลที่มีเอกลักษณ์ ที่แน่ๆ เป็นคนที่โดดเด่นท่ามกลางฝูงชน เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่ไม่ต้องการให้ท่านแปดเปื้อนจากวงการศาสนาที่ เสื่อม ลงในยุคนั้น ท่านเป็นชาวนาซาเร็ธโดยกำเนิด และประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ตั้งแต่ครรภ์มารดา (ลูกา 1:15) และตามที่กล่าวไปแล้วเสื้อผ้าและอาหารของท่าน “ตกขอบ” อีกต่างหาก ตั้งแต่เป็นเด็กท่านออกไปอยู่ในทะเลทราย ในถิ่นทุรกันดารของแคว้นยูเดีย แม้จะเกิดในครอบครัวปุโรหิต ท่านไม่ได้ใช้ชื่อตามหรือรับหน้าที่ต่อจากบิดา (ลูกา 1:59-63, 80) และแม้ยอห์นเป็นผู้เผยพระวจนะ ท่านก็ไม่ได้ทำการอัศจรรย์หรือหมายสำคัญใดๆ:
คนเป็นอันมากพากันมาหาพระองค์ กล่าวว่า “ยอห์นมิได้ทำหมายสำคัญใดๆเลย แต่ทุกสิ่งซึ่งยอห์นได้กล่าวถึงท่านผู้นี้เป็นความจริง” (ยอห์น 10:41)
มันยากที่ผมจะจินตนาการ แต่ยอห์นไม่ได้รู้จักพระเยซูว่าเป็นพระเมสซิยาห์ตามพระสัญญา จนกระทั่งได้ให้บัพติศมาพระองค์ :
วันรุ่งขึ้นยอห์นเห็นพระเยซูกำลังเสด็จมา ทางท่าน ท่านจึงกล่าวว่า “จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับความผิดบาปของโลกไปเสีย พระองค์นี้แหละที่ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า ‘ภายหลังข้าพเจ้า จะมีผู้หนึ่งเสด็จมาเป็นใหญ่กว่าข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนข้าพเจ้า’ ข้าพเจ้าเองก็ไม่ได้รู้จักพระองค์ แต่เพื่อให้พระองค์ทรงเป็นที่ประจักษ์แก่พวกอิสราเอล ข้าพเจ้าจึงได้มาให้บัพติศมาด้วยน้ำ” และยอห์นกล่าวเป็นพยานว่า “ข้าพเจ้าเห็นพระวิญญาณเหมือนดังนกพิราบ เสด็จลงมาจากสวรรค์และทรงสถิตบนพระองค์ ข้าพเจ้าเองไม่รู้จักพระองค์ แต่พระองค์ทรงใช้ให้ข้าพเจ้าให้บัพติศมาด้วยน้ำ ได้ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘เมื่อเจ้าเห็นพระวิญญาณเสด็จลงมาสถิตอยู่บนผู้ใด ผู้นั้นแหละเป็นผู้ให้บัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์’ และข้าพเจ้าก็ได้เห็นแล้วและได้เป็นพยานว่า พระองค์นี้แหละเป็นพระบุตรของพระเจ้า” (ยอห์น 1:29-34)3
(2) มัทธิว (และผู้เขียนพระกิตติคุณเล่มอื่นๆ) ระมัดระวังในการเชื่อมโยงยอห์นเข้ากับพระคัมภีร์เดิม ในพระกิตติคุณสี่เล่ม แต่ละเล่มยอห์นคือผู้ที่เป็น “เสียงหนึ่งร้องว่า” (อิสยาห์ 40):
เสียงหนึ่งร้องว่า
“จงเตรียมมรรคาแห่งพระเจ้าในถิ่นทุรกันดาร”
“จงทำทางหลวงสำหรับพระเจ้าของเรา” (อิสยาห์ 40:3) ที่นำมาใช้ในมัทธิว 3:3 ดูมาระโก 1:3 ด้วย
ลูกา 3:4-6; ยอห์น 1:23
เจาะลงไป เราจะเห็นมัทธิวโยงยอห์นเข้ากับเอลียาห์4 โดยเฉพาะลักษณะของท่าน ใน 2พงศ์กษัตริย์ 1 อาหัสยาห์โอรสอาหับ ตกลงมาจากช่องพระแกลตาข่ายและบาดเจ็บ อยากรู้ว่าตัวเองจะหายมั้ย จึงส่งผู้สื่อสารไปสอบถามบาอัลเซบุบ เอลียาห์เข้ามาขวางผู้สื่อสารนี้ ส่งพวกเขากลับไปหาอาหัสยาห์พร้อมคำตำหนิ ลองดูท่าทีตอบสนองของอาหัสยาห์เมื่อผู้สื่อสารกลับมา:
ผู้สื่อสารนั้นก็กลับมาเฝ้าพระราชา พระองค์ตรัสถามเขาทั้งหลายว่า “ทำไมพวกเจ้าจึงพากันกลับมา” และเขาทั้งหลายทูลพระองค์ว่า “มีชายคนหนึ่งมาพบกับพวกข้าพระบาท และพูดกับพวกข้าพระบาทว่า ‘จงกลับไปหาพระราชาผู้ใช้ท่านมา และทูลพระองค์ว่า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เพราะไม่มีพระเจ้าในอิสราเอลแล้วหรือ เจ้าจึงใช้คนไปถามพระบาอัลเซบูบพระเจ้าแห่งเอโครน เพราะฉะนั้นเจ้าจะไม่ได้ลงมาจากที่นอนซึ่งเจ้าได้ขึ้นไปนั้น แต่เจ้าจะต้องตายแน่’” พระองค์ตรัสถามเขาทั้งหลายว่า “คนที่ได้มาพบเจ้าและบอกสิ่ง เหล่านี้แก่เจ้านั้นเป็นคนในลักษณะใด” เขาทั้งหลายทูลตอบพระองค์ว่า “ท่านสวมเสื้อขนและมีหนังคาดเอวของท่านไว้” และพระองค์ตรัสว่า “เป็นเอลียาห์ชาวทิชบี”(2พงศ์กษัตริย์ 1:5-8)
ทำไมถึงเอลียาห์? คำตอบแรก และตรงที่สุดคือสิ่งที่มาลาคีพยากรณ์ไว้ (3:1; 4:5) เอลียาห์ เช่นเดียวกับยอห์น เหมือนคนป่าในถิ่นทุรกันดาร อยู่ไม่เป็นที่ อาศัยห่างไกลจากสังคม แต่เอลียาห์เป็นผู้เผยพระวจนะในอาณาจักรเหนือ ไม่ใช่ในยูดาห์ ซึ่งตามข้อเท็จจริงผมเชื่อว่าสิ่งนี้มีความหมาย เอลียาห์ทำพันธกิจในยุคที่ “พวกเสเแสร้ง” อย่างกษัตริย์อาหับครองบัลลังก์ ผู้ที่ไม่สมควรนั่งบนบัลลังก์ของดาวิด พอยุคของยอห์น “พวกเสแสร้ง” คือเฮโรด เป็นลูกครึ่ง (เทียบกับเฉลยธรรมบัญญัติ 17:15) เมื่อภรรยาที่ชั่วร้ายของอาหับ เยเซเบล (ธิดาของกษัตริย์ไซดอนผู้ไหว้รูปเคารพ) หาทางฆ่าเอลียาห์ เฮโรเดียส ภรรยาที่ชั่วร้ายและใจคดของเฮโรดก็เช่นกัน หาทางฆ่ายอห์นด้วย (มัทธิว 14:1-2) อาธาลิยาห์ ธิดาของอาหับกับเยเซเบล เป็นหญิงที่ชั่วร้ายแต่งงานกับเยโฮรัมกษัตริย์แห่งยูดาห์ (2พงศ์กษัตริย์ 8:16-19, 26) ยิ่งทำให้เสื่อมลงไปใหญ่ ลูกสาวของเฮโรเดียสก็ไม่ต่างกัน มีส่วนทำให้เฮโรดตกต่ำและสังหารชีวิตของยอห์นผู้ให้บัพติศมา (มัทธิว 14:1-12) เมื่อเอลียาห์มาต่อต้านกษัตริย์และราชินีแห่งอิสราเอล ยอห์นผู้ให้บัพติศมาก็ไปเผชิญหน้ากับกษัตริย์เฮโรดและภรรยานางเฮโรเดียส
เอลียาห์เรียกร้องให้อาณาจักรเหนือกลับใจและหันเสียจากบาปล่วงประเวณีที่ หันไปนมัสการพระของคนต่างชาติ ยอห์นผู้ให้บัพติศมาเรียกร้องให้ชาวยิวในยูดาห์สำนึกบาปและกลับใจ เพราะทำให้ศาสนาเที่ยงแท้เสื่อมตามไปด้วย ตามที่เอเสเคียล 16 กล่าวไว้ เยรูซาเล็มและยูดาห์ทำบาปที่ร้ายแรงกว่าที่อิสราเอลละทิ้งศาสนา ยูดาห์แพศยากว่าอิสราเอลถึงสองเท่า จึงต้องรับพระอาชญาที่หนักกว่า
ขณะที่เอลียาห์เข้าใจว่าตนเองทำพันธกิจไม่สำเร็จ (1พงศ์กษัตริย์ 19) ยอห์นผู้ให้บัพติศมาก็ด้วย ท่านถามเพราะสงสัยว่าพระเยซูคือพระเมสซิยาห์หรือเปล่า (มัทธิว 11:2) ในกรณีของเอลียาห์ พันธกิจของท่านสำเร็จลงเมื่อไปเจิมตั้งฮาซาเอลเป็นกษัตริย์เหนือซีเรีย และเยฮูเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล (1พงศ์กษัตริย์ 19:15-16) นอกจากนั้น เอลียาห์เลือกเอลีชามารับหน้าที่ต่อจากท่าน (1พงศ์กษัตริย์ 19:16) เอลีชาสำหรับเอลียาห์เหมือนกับพระเยซูสำหรับยอห์นผู้ให้บัพติศมา จึงไม่น่าประหลาดขณะที่พระเจ้าเรียกยอห์นให้มาประกาศถึงการเสด็จมาของ กษัตริย์เที่ยงแท้แห่งอิสราเอล ท่านก็จะมาประณามกษัตริย์จอมปลอม (เฮโรด) ที่กำลังนั่งครองบัลลังก์
(3) พันธกิจของยอห์นตามที่มัทธิวบันทึก บรรยายถึงความพิเศษและเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของท่าน และอย่างที่คาด พระกิตติคุณทุกเล่มพูดถึงพันธกิจของยอห์นผู้ให้บัพติศมาในแง่มุมที่คล้ายกัน แต่เน้นบางมุมที่แตกต่าง มาระโกไม่มีแง่ลบสำหรับคนที่เข้ามาขอรับบัพติศมา ส่วนลูกา ยอห์นเจาะไปที่ฝูงชนที่เข้ามาหา เตือนคนที่คิดว่าตัวเองเป็นลูกหลานอับราฮัม และพูดถึงตัวอย่าง “ผลของการกลับใจ” คนที่มีเสื้อหรือมีอาหารพอให้แบ่งปันให้คนที่ไม่มี (ลูกา 3:11)5 คนเก็บภาษีก็ไม่ควรเก็บเกินพิกัด (3:12-13) ฝ่ายทหารอย่ากรรโชก อย่าใส่ความเพื่อเอาเงิน ควรพอใจในค่าจ้างของตน (3:14)
พระกิตติคุณมัทธิวเน้นในแง่มุมที่ต่างไปเมื่อพูดถึงฝูงชนที่เข้ามาหายอห์น :
ครั้นยอห์นเห็นพวกฟาริสี และพวกสะดูสีพากันมาเป็นอันมาก เพื่อจะรับบัพติศมา ท่านจึงกล่าวแก่เขาว่า “เจ้าชาติงูร้าย ใครได้เตือนเจ้าให้หนีจากพระอาชญาซึ่งจะมาถึงนั้น เหตุฉะนั้นจงพิสูจน์การกลับใจของเจ้าด้วยผลที่เกิดขึ้น อย่านึกเหมาเอาในใจว่าตัวมีอับราฮัมเป็นบิดา เพราะเราบอกเจ้าทั้งหลายว่า พระเจ้าทรงฤทธิ์อาจจะให้บุตรเกิดขึ้นแก่อับราฮัมจากก้อนหินเหล่านี้ได้ บัดนี้ขวานวางไว้ที่โคนต้นไม้แล้ว และทุกต้นที่ไม่เกิดผลดีจะต้องตัดแล้วโยนทิ้งในกองไฟ เราให้เจ้าทั้งหลายรับบัพติศมาด้วยน้ำ แสดงว่ากลับใจใหม่ก็จริง แต่พระองค์ผู้จะมาภายหลังเรา ทรงมีอิทธิฤทธิ์ยิ่งกว่าเราอีก ซึ่งเราไม่คู่ควรแม้จะถอดฉลองพระบาทของพระองค์ พระองค์จะทรงให้เจ้าทั้งหลาย รับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยไฟ พระหัตถ์ของพระองค์ถือพลั่วพร้อมแล้ว และจะทรงชำระลานข้าวของพระองค์ให้ทั่ว พระองค์จะทรงเก็บข้าวของพระองค์ไว้ในยุ้งฉาง แต่พระองค์จะทรงเผาแกลบด้วยไฟที่ไม่รู้ดับ” (มัทธิว 3:7-12)
พระกิตติคุณมัทธิวเน้นไปที่บุคคลกลุ่มหนึ่งที่มาตามเฝ้าดูยอห์น ท่านเอ่ยชื่อให้ผู้อ่านรู้ด้วย “พวกฟาริสี และพวกสะดูสี” ซึ่งไม่ได้มารับบัพติศมา แต่มาเรื่องที่ยอห์นให้บัพติศมา บางฉบับเลือกที่จะแปลทำนองว่าผู้นำศาสนาเหล่านี้มาเพื่อขอรับบัพติศมา แต่ในลูกาเขียนไว้ชัดเจนว่าพวกสะดูสีและพวกฟาริสีเหล่านี้กลับไปโดยไม่ได้ รับบัพติศมา :
เมื่อผู้สื่อข่าวทั้งสองของยอห์นไปแล้ว พระองค์จึงตรัสกับประชาชนถึงยอห์นว่า “ท่านทั้งหลายได้ออกไปในถิ่นทุรกันดารเพื่อดูอะไร มิใช่ดูต้นอ้อไหวโดยถูกลมพัดนะ ถ้าอย่างนั้นท่านทั้งหลายได้ไปดูอะไร ดูคนนุ่งห่มผ้าเนื้ออ่อนนิ่มหรือ ดูเถิด คนนุ่งห่มผ้างดงามและอยู่อย่างฟุ่มเฟือยย่อมอยู่ในราชสำนัก แต่ท่านทั้งหลายออกไปดูอะไร ดูผู้เผยพระวจนะหรือ แน่ทีเดียว และเราบอกท่านว่า ท่านนั้นเป็นผู้ประเสริฐยิ่งกว่าผู้เผยพระวจนะเสียอีก คือยอห์นนี้แหละที่พระคัมภีร์กล่าวถึงว่า เราใช้ทูตของเราไปข้างหน้าท่าน ผู้นั้นจะเตรียมมรรคาของท่านไว้ข้างหน้าท่าน เราบอกท่านทั้งหลายว่า ในบรรดาคนที่บังเกิดจากผู้หญิงมานั้น ไม่มีผู้ใดใหญ่กว่ายอห์น แต่ว่าผู้ที่ต่ำต้อยที่สุดในแผ่นดินของพระเจ้าก็ใหญ่กว่ายอห์นเสียอีก” (ฝ่ายคนทั้งปวงเมื่อได้ยินรวมทั้งพวกเก็บภาษีด้วยก็ได้รับว่าพระเจ้า ยุติธรรม โดยที่เขาได้รับบัพติศมาของยอห์นแล้ว แต่พวกฟาริสีและพวกบาเรียนไม่ยอมรับพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับเขา โดยที่มิได้รับบัพติศมาจากยอห์น) (ลูกา 7:24-30)
มัทธิวเป็นคนยิวและเขียนหนังสือเล่มนี้ให้ผู้อ่านชาวยิว ท่านชี้ให้เห็นความจริงว่าผู้นำชาวยิวถูกยอห์นผู้ให้บัพติศมากล่าวตำหนิ อย่างรุนแรง ยอห์นไม่ยอมรับว่าคนพวกนี้กลับใจจริง เป็นพวกหน้าซื่อใจคด เราเห็นว่าพวกผู้นำศาสนาในเยรูซาเล็มไม่ได้ใส่ใจถึงการมาบังเกิดของพระเม สซิยาห์ในเบธเลเฮม (มัทธิว 2:1-6) เราทราบว่ายอห์นผู้ให้บัพติศมาตำหนิผู้นำศาสนาชาวยิวที่มาเพราะสงสัยหรือ อยากรู้อยากเห็น มัทธิวจึงเหมือนปูทางให้เราสำหรับถ้อยคำตักเตือนจากพระเยซูคริสต์ :
“เพราะเราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าความชอบธรรมของท่าน ไม่ยิ่งกว่าความชอบธรรมของพวกธรรมาจารย์ และพวกฟาริสี ท่านจะไม่มีวันได้เข้าสู่แผ่นดินสวรรค์” (มัทธิว 5:20)
เราเหมือนถูกเตรียมเอาไว้รับมือกับการต่อต้านที่รุนแรงของผู้นำชาวยิวที่ จะมีต่อพระเยซูคริสต์ พวกเขาถือว่าพระองค์เป็นศัตรูต่อ “อาณาจักร” ของพวกเขา
(4) ถ้อยคำของยอห์น : “จงกลับใจเสียใหม่ เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว” (มัทธิว 3:2) เป็นการประกาศว่าแผ่นดินสวรรค์อยู่ใกล้แค่เอื้อม แปลว่ากษัตริย์ใกล้จะมาปรากฏพระองค์ ยอห์นรอบคอบในสิ่งที่ท่านทำเมื่อนำไปเทียบกับพระราชกิจของพระเมสซิยาห์ ท่านเป็นเพียงเสียงที่ร้องอยู่ในถิ่นทุรกันดาร แต่พระเมสซิยาห์นั้นยิ่งใหญ่กว่า ท่านคิดว่าตนเองไม่คู่ควรแม้จะไปถอดฉลองพระบาท (3:11) ยอห์นให้บัพติศมาด้วยน้ำ แต่พระเมสซิยาห์จะให้บัพติศมาในสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า
การประกาศถึงการเสด็จมาของพระเมสซิยาห์เป็นเหมือนคำเตือน ในพระกิตติคุณมัทธิว การป่าวร้องของยอห์นเหมือนคำเตือนไปถึงผู้นำชาวยิว รวมถึงพวกฟาริสี และบรรดาผู้นำที่เรียกว่าเคร่งศาสนา6 สิ่งที่ยอห์นประกาศเป็นคำเตือนถึงการพิพากษาที่กำลังจะมาถึง:
ครั้นยอห์นเห็นพวกฟาริสี และพวกสะดูสีพากันมาเป็นอันมาก เพื่อจะรับบัพติศมา ท่านจึงกล่าวแก่เขาว่า “เจ้าชาติงูร้าย ใครได้เตือนเจ้าให้หนีจากพระอาชญาซึ่งจะมาถึงนั้น เหตุฉะนั้นจงพิสูจน์การกลับใจของเจ้าด้วยผลที่เกิดขึ้น อย่านึกเหมาเอาในใจว่าตัวมีอับราฮัมเป็นบิดา เพราะเราบอกเจ้าทั้งหลายว่า พระเจ้าทรงฤทธิ์อาจจะให้บุตรเกิดขึ้นแก่อับราฮัมจากก้อนหินเหล่านี้ได้ บัดนี้ขวานวางไว้ที่โคนต้นไม้แล้ว และทุกต้นที่ไม่เกิดผลดีจะต้องตัดแล้วโยนทิ้งในกองไฟ (มัทธิว 3:7-10)
พระเมสซิยาห์เสด็จมาเพื่อ “ช่วยชนชาติของพระองค์ให้รอดจากความผิดบาป” (มัทธิว 1:21) จึงจำเป็นที่ชนชาติของพระองค์ต้องเห็นถึงความบาปของตัวเองก่อน ถ้ามนุษย์ยังอยากดื้อดึงในความบาปของตน การเสด็จมาของพระเมสซิยาห์จึงมาเพื่อพิพากษา ไม่ใช่มาเพื่อช่วยให้รอด
ในความคิดของผม ยอห์นผู้ให้บัพติศมาเช่นเดียวกับผู้เผยพระวจนะส่วนใหญ่ ไม่ได้แยกแยะชัดเจนระหว่างการเสด็จมาของพระเมสซิยาห์ครั้งแรกและครั้งที่สอง เหมือนพวกเขาไม่เข้าใจว่าพระองค์จะเสด็จมาสองครั้ง ครั้งแรกมาตายเพื่อเป็นเครื่องบูชาสมบูรณ์แบบแทนคนบาปทั้งหลาย และครั้งที่สองเพื่อมีชัยเหนือศัตรู และตั้งอาณาจักรของพระองค์ ความจริงสิ่งที่ยอห์นประกาศเน้นไปที่การเสด็จมาครั้งที่สองมากกว่า ซึ่งไม่น่าประหลาดใจสำหรับพวกเรา แต่เป็นความลำบากใจของพวกผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เดิม:
บรรดาผู้เผยพระวจนะผู้ได้พยากรณ์ถึงพระ คุณซึ่งจะบังเกิดแก่ท่านทั้งหลาย ก็ได้สืบค้นและสอบถามเกี่ยวกับเรื่องความรอดนี้ เขาได้สืบค้นหาบุคคลและเวลา ซึ่งพระวิญญาณของพระคริสต์ผู้ทรงสถิตอยู่ในตัวเขาได้ทรงบ่งไว้ เมื่อเขาได้ทำนายถึงความทุกข์ทรมานของพระคริสต์ และถึงพระสิริที่จะมาภายหลัง ก็ทรงโปรดเผยให้ผู้เผยพระวจนะเหล่านั้นทราบว่า ที่เขาเหล่านั้นได้ปรนนิบัติในเหตุการณ์ทั้งปวงนั้น ไม่ใช่สำหรับเขาเองแต่สำหรับท่านทั้งหลาย บัดนี้คนเหล่านั้นที่ประกาศข่าวประเสริฐแก่ท่านทั้งหลาย ก็ได้กล่าวสิ่งเหล่านั้นแก่ท่านแล้ว โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงโปรดประทานจากสวรรค์ เป็นสิ่งซึ่งพวกทูตสวรรค์ปรารถนาจะได้ดู (1เปโตร 1:10-12)
ผมเห็นว่าการเสด็จมาของพระเมสซิยาห์ครั้งแรกและครั้งที่สองที่ดูคลุม เครือนี้อธิบายถึงสิ่งที่ยอห์นสงสัย ซึ่งเราจะเรียนกันต่อไปในมัทธิวบทที่ 11:
ฝ่ายยอห์นเมื่อติดอยู่ในเรือนจำ ได้ยินถึงกิจการแห่งพระคริสต์ก็ได้ใช้ศิษย์ไป ทูลถามพระองค์ว่า “ท่านเป็นผู้ที่จะมานั้นหรือ หรือจะต้องคอยผู้อื่น” (มัทธิว 11:2-3)
พระเยซูทรงทำการอัศจรรย์รักษาโรคหลายครั้ง คนตาบอดมองเห็น คนง่อยเดินได้ บางคนได้รับการชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตาย (มัทธิว 11:5) ปัญหาคือการรักษาโรคอย่างอัศจรรย์นี้ไม่ใช่มาเพื่อพิพากษา แต่กลับเป็นการมาช่วยให้รอด ยอห์นเน้นไปที่การพิพากษาของพระเจ้า พระเยซูให้คนกลับไปบอกยอห์นว่าให้ดูการอัศจรรย์ที่พระองค์ทำ และนำไปเปรียบเทียบกับสิ่งที่บรรดาผู้เผยพระวจนะพยากรณ์ว่าพระเมสซิยาห์จะทำ เมื่อเสด็จมา หนึ่งในนั้นอยู่ในลูกาบทที่ 4:
แล้วพระองค์เสด็จมาถึงเมืองนาซาเร็ธ เป็นที่ซึ่งพระองค์ทรงเจริญวัยขึ้น พระองค์เสด็จเข้าไปในธรรมศาลาในวันสะบาโตตามเคย และทรงยืนขึ้นเพื่อจะอ่านพระธรรม เขาจึงส่งพระคัมภีร์อิสยาห์ผู้เผยพระวจนะให้แก่พระองค์ เมื่อพระองค์ทรงคลี่หนังสือนั้นออก ก็ค้นพบข้อที่เขียนไว้ว่า พระวิญญาณแห่งพระเป็นเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ได้ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้ เพื่อนำข่าวดีมายังคนยากจน พระองค์ได้ทรงใช้ข้าพเจ้าให้ร้องประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย ให้ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก ให้ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับเป็นอิสระ และให้ประกาศปีแห่งความโปรดปรานของพระเป็นเจ้า (ลูกา 4:16-19)
สิ่งที่ยอห์นประกาศเป็นคนละเรื่องกับพระเยซูหรือ? ไม่ครับ เมื่อพระเยซูเริ่มต้นเทศนา พระองค์ตรัสย้ำสิ่งที่ยอห์นประกาศไว้ :
ตั้งแต่นั้นมา พระเยซูได้ทรงตั้งต้นประกาศว่า “จงกลับใจเสียใหม่ เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว” (มัทธิว 4:17)
ถ้ามนุษย์จะได้รับความรอด ต้องมีบางสิ่งที่มาช่วยพวกเขาเพื่อให้รอดจากพระอาชญาของพระเจ้าซึ่งจะเทลงมาเหนือคนบาป
เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก มิใช่เพื่อพิพากษาลงโทษโลก แต่เพื่อช่วยกู้โลกให้รอดโดยพระบุตรนั้น ผู้ที่วางใจในพระบุตรก็ไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษ ส่วนผู้ที่มิได้วางใจก็ต้องถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว เพราะเขามิได้วางใจในพระนามพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า (ยอห์น 3:16-18)
เพราะเหตุนั้นเมื่อเราเป็นคนชอบธรรมแล้วโดยพระโลหิตของพระองค์ ยิ่งกว่านั้นเราจะพ้นจากพระอาชญาของพระเจ้าโดยพระองค์ (โรม 5:9)
สิ่งที่ยอห์นประกาศไม่เพียงแต่เตือนถึงพระอาชญาที่กำลังจะมาถึง แต่เป็นการเรียกให้ลงมือปฏิบัติ ยอห์นเรียกร้องให้มนุษย์กลับใจจากบาปและรับบัพติศมา คำว่า “กลับใจ”ยอห์ นหมายถึงอะไร? หมายถึงการเปลี่ยนแปลงความคิด และหันหลังกลับ การกลับใจของยอห์นมีความหมายมากกว่าแค่เปลี่ยนความคิด แต่ยังรวมถึงอื่นๆ ผมเชื่อว่าต้องมีความสำนึกผิดและเสียใจ การกลับใจยังหมายถึงเปลี่ยนความคิดและจิตใจ ซึ่งจะส่งผลไปถึงการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ เช่นเปลี่ยนวิถีชีวิต มัทธิวไม่ได้ลงรายละเอียดว่าชีวิตควรเปลี่ยนไปอย่างไรเมื่อกลับใจ พระเยซูทรงวางแนวทางชีวิตไว้ให้ การพิสูจน์การกลับใจของเจ้าด้วยผลที่เกิดขึ้น (3:8) ซึ่งลูกาให้ตัวอย่างไว้หลายแบบ รวมไปถึงคนเก็บภาษี และทหารด้วย (ลูกา 3:11-14)
เมื่ออ่านพระวจนะตอนต่างๆที่พูดถึงสิ่งที่ยอห์นผู้ให้บัพติศมาประกาศ ผมรู้สึกว่ายอห์นไม่ได้แค่ต้องการให้คนกลับใจจากบาปของตน คิดว่าท่านกำลังเรียกร้องให้กลับใจโดยเลิกและละทิ้งระบอบความเชื่อเดิมที่ ต่างจากความเชื่อในพระเยซูคริสต์ในเรื่องการอภัยบาปและรับของขวัญแห่งความ รอดนิรันดร์ พันธกิจของยอห์นในพระกิตติคุณมัทธิวเน้นไปที่ระบอบศาสนาจอมปลอมที่ผู้นำยิว บัญญัติขึ้นมา (เริ่มมาจากฟาริสี)
“เหตุฉะนั้นจงพิสูจน์การกลับใจของเจ้า ด้วยผลที่เกิดขึ้น อย่านึกเหมาเอาในใจว่าตัวมีอับราฮัมเป็นบิดา เพราะเราบอกเจ้าทั้งหลายว่า พระเจ้าทรงฤทธิ์อาจจะให้บุตรเกิดขึ้นแก่อับราฮัมจากก้อนหินเหล่านี้ได้ บัดนี้ขวานวางไว้ที่โคนต้นไม้แล้ว และทุกต้นที่ไม่เกิดผลดีจะต้องตัดแล้วโยนทิ้งในกองไฟ” (มัทธิว 3:8-10)
ยิวไว้ใจในระบอบศาสนาเดิมของบรรพบุรุษในเรื่องความรอด พวกเขาคิดว่าเป็นลูกหลานของอับราฮัมแล้ว มั่นใจได้ว่ามีตั๋วพิเศษแถวหน้าเข้าแผ่นดินสวรรค์ อ.เปาโลอธิบายไว้อย่างเข้มข้นในโรม 9 ว่าการเป็นคริสเตียนเป็นคนละเรื่องกับการเป็นลูกหลานอับราฮัม ยอห์นผู้ให้บัพติศมาปฏิเสธเรื่องความรอดโดยทางบรรพบุรุษอย่างหนักแน่น พระเจ้าทรงฤทธิ์อาจจะให้บุตรเกิดขึ้นแก่อับราฮัมจากก้อนหินเหล่านี้ได้ (3:9) พวกต่างชาติต่างก็มีวิถีปฏิบัติในแบบของตน และพระกิตติคุณลูกาเองก็พูดเรื่องนี้ การกลับใจจึงไม่ใช่แค่ละทิ้งบาปบางอย่าง แต่เป็นการละทิ้งระบอบหรือวิถีที่วางใจในกำลังและการกระทำของมนุษย์แทนที่จะ มีความเชื่อในการหลั่งพระโลหิตของพระเยซูคริสต์เพื่อชดใช้แทนบาปของมนุษย์
เราต้องเข้าใจให้ชัดเจนว่ายอห์นไม่ได้บอกว่าแผ่นดินสวรรค์ที่กำลังมานั้น ต้องพึ่งพาการกระทำของมนุษย์ ไม่ใช่ให้มนุษย์กลับใจเพื่อให้แผ่นดินสวรรค์มา แต่มนุษย์ควรกลับใจ“เพราะ” แผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว :
“เรื่องสำคัญที่น่ายินดีคือส่วนที่มนุษย์รับผิดชอบ – กลับใจ หันกลับ เปลี่ยนแปลง – ไม่ใช่ทำเพื่อผลักดันให้การปกครองของพระเจ้าเข้ามา ที่แน่ใจได้คือ “เพราะ” การปกครองของพระเจ้ากำลังใกล้เข้ามาไม่ว่าเราจะเปลี่ยนหรือไม่ก็ตาม แปลว่าแผ่นดินสวรรค์ไม่ได้มาเพราะเราเปลี่ยนแปลง เราจะ “รับโทษ” เพราะแผ่นดินสวรรค์ใกล้เข้ามา หรือจะ “รับพระพร” โดยคุกเข่าลงสำนึกผิดและหันกลับ “แผ่นดินพระเจ้ากำลังมาถึง อย่ารอช้า จงรีบกลับใจ” ข่าวเรื่องการมาถึงของแผ่นดินพระเจ้า “ทำให้” มนุษย์สามารถทำในส่วนของตนได้คือ สำนึกผิด กลับใจ และเปลี่ยนแปลง”7
สัญลักษณ์ภายนอกของการกลับใจคือรับบัพติศมา บัพติศมาอย่างเดียวที่คนยิวสมัยนั้นรู้จักคือบัพติศมาเข้าลัทธิยูดาย บัพติศมาแบบนั้นผู้เชื่อต้องทำพิธีชำระตัวเองและ (ถ้าเป็นผู้ชาย) ต้องเข้าสุหนัต พิธีชำระตัวเองและเข้าสุหนัตที่คนต่างชาติต้องทำถึงจะเข้าลัทธิยูดายได้และ อยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติในพระคัมภีร์เดิม ทำให้รู้ว่าคนยิวต้องถ่อมใจลงมาแค่ไหนเพื่อจะรับบัพติศมา ข้อสรุปจึงชัดเจน : ถ้าคนยิวต้องการกลับใจก่อนพระเมสซิยาห์เสด็จมา เขาจำต้องยอมรับว่าลัทธิยูดายไม่อาจช่วยให้รอดพ้นจากบาปได้ และการยอมเข้าบัพติศมาก็เท่ากับลดตัวเองลงมาอยู่ระดับ (ต่ำลง) เดียวกับคนต่างชาติ ทั้งคนยิวและคนต่างชาติต่างเหมือนกันคือต้องเตรียมตัวพร้อมรับการเสด็จมาของ พระเมสซิยาห์โดย: (1) กลับใจจากระบอบศาสนาจอมปลอมที่เคยวางใจ (2) สารภาพบาป และ (3) รับบัพติศมา เช่นเดียวกับที่คนต่างชาติเปลี่ยนไปนับถือศาสนายูดาย จึงไม่น่าประหลาดใจที่ทำไมพวกฟาริสีถึงไม่ต้องการเข้าพิธีบัพติศมา !
คำสอนของพระเยซูต่างจากที่ยอห์นประกาศเล็กน้อย เพราะพระเยซูประกาศว่า ลัทธิยูดาย ก็ยังไม่พอช่วยใครให้รอดจากบาป และเข้าแผ่นดินสวรรค์ได้ :
“อย่าคิดว่าเรามาเลิกล้างธรรมบัญญัติและ คำของผู้เผยพระวจนะ เรามิได้มาเลิกล้าง แต่มาทำให้สมบูรณ์ทุกประการ เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ตราบใดที่ฟ้าและดินดำรงอยู่ แม้อักษรหนึ่งหรือขีดๆหนึ่งก็จะไม่สูญไปจากธรรมบัญญัติ จนกว่าสิ่งที่จะต้องเกิด ได้เกิดขึ้นแล้ว เหตุฉะนั้น ผู้ใดได้ทำให้ข้อเล็กน้อยสักข้อหนึ่งในธรรมบัญญัตินี้เบาขึ้น ทั้งสอนคนอื่นให้ทำอย่างนั้นด้วย ผู้นั้นจะได้ชื่อว่าเป็นผู้น้อยที่สุดในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ใดที่ประพฤติและสอนตามธรรมบัญญัติ ผู้นั้นจะได้ชื่อว่าเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์ เพราะเราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าความชอบธรรมของท่าน ไม่ยิ่งกว่าความชอบธรรมของพวกธรรมาจารย์ และพวกฟาริสี ท่านจะไม่มีวันได้เข้าสู่แผ่นดินสวรรค์” (มัทธิว 5:17-20)
คำสอนของยอห์นจึงเกิดปัญหาขึ้นในใจผม “ทำไมคำสอนของท่านถึงเป็นเชิงลบ?” เมื่อลองคิดดู ผมขอตอบแบบนี้ครับ
ประการแรก อย่าลืมว่ายอห์นผู้ให้บัพติศมาคือใคร คือผู้เผยพระวจนะ ที่จริงเป็นผู้เผยพระวจนะคนสุดท้ายจากพระคัมภีร์เดิม ภารกิจของท่านในฐานะผู้เผยพระวจนะคือเรียกร้องให้มนุษย์มองเห็นสภาพตนเองที่ ตกไปจากพระบัญญัติของพระเจ้าและประกาศว่าพวกเขาต้องถูกลงพระอาชญา พระบัญญัติทำอะไรอีกนอกจากคำแช่งสาป – ชี้ให้เห็นหนทางความรอดที่แท้จริงโดยทางความเชื่อไม่ใช่ทำตามบทบัญญัติ
ประการที่สอง ยอห์นกำลังพูดกับใคร ท่านกำลังพูดกับคนบาป – คนบาปชาวยิวที่ไว้ใจว่าตนเองสืบเชื้อสายมาจากอับราฮัม และพูดกับคนบาปต่างชาติ เช่นคนเก็บภาษีที่เก็บเกินพิกัด กับทหารที่ใช้อำนาจข่มขู่เงินจากคนไม่มีทางสู้ ถ้าคนบาปจะรอดได้ พวกเขาต้องตระหนักว่าเป็นคนบาป สมควรแก่การพิพากษาถึงชีวิต
ประการที่สาม คำเทศนาของยอห์นพูดถึงการพิพากษาที่จะมาถึง ซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพระเยซูคริสต์ หลายคนที่ได้ยินถ้อยคำของยอห์นและปฏิเสธว่าพระเยซูคือพระเมสซิยาห์ตามพระ สัญญา จะตกอยู่ในข่ายถูกพิพากษา คำเทศนาเชิงลบของยอห์น ทำให้ผมนึกถึงคำเตือนของโมเสสในเฉลยธรรมบัญญัติ 28 โมเสสนำพันธสัญญาเดิมที่พระเจ้าทำไว้กับอิสราเอลมากล้าวซ้ำ ท่านพูดถึงพระพรสำหรับคนที่รักษาพระบัญญัติ และพระอาชญาสำหรับคนที่ไม่เชื่อฟัง ในบทที่ 28 ตอนที่ท่านพูดถึงพระพรมีความยาว 15 ข้อ และที่เหลือของบทอีก 54 ข้อพูดถึงพระอาชญา โมเสสโดยการดลใจของพระเจ้าเน้นเรื่องการพิพากษา เพราะท่านรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ท่านตาย:
และพระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “ดูเถิด วันซึ่งเจ้าต้องตายก็ใกล้เข้ามาแล้ว จงเรียกโยชูวามา และเจ้าทั้งสองจงมาเฝ้าเราในเต็นท์นัดพบ เพื่อเราจะได้กำชับเขา” โมเสสและโยชูวาก็เข้าไปในเต็นท์นัดพบ และพระเยโฮวาห์ทรงปรากฏในเสาเมฆที่ในเต็นท์นัดพบ และเสาเมฆนั้นอยู่ที่ประตูเต็นท์นัดพบ และพระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “ดูเถิด ตัวเจ้าจวนจะต้องหลับอยู่กับบรรพบุรุษของเจ้าแล้ว และชนชาตินี้จะลุกขึ้นและเล่นชู้กับพระแปลกๆของแผ่นดินนี้ ในที่ที่เขาไปอยู่ท่ามกลางนั้น เขาทั้งหลายจะทอดทิ้งเราเสียและหักพันธสัญญาซึ่งเราได้ กระทำไว้กับเขา แล้วในวันนั้นเราจะกริ้วต่อเขา และเราจะทอดทิ้งเขาเสียและซ่อนหน้าของเราเสียจากเขา เขาทั้งหลายจะถูกกลืน และสิ่งร้ายกับความลำบากเป็นอันมากจะมาถึงเขา ในวันนั้นเขาจึงจะกล่าวว่า ‘สิ่งร้ายเหล่านี้ตกแก่เรา เพราะพระเจ้าไม่ทรงสถิตท่ามกลางเราไม่ใช่หรือ’ ในวันนั้นเราจะซ่อนหน้าของเราเสียจากเขาเป็นแน่ ด้วยเหตุความชั่วซึ่งเขาได้กระทำเพราะเขาได้หัน ไปหาพระอื่น เหตุฉะนี้เจ้าทั้งสองจงเขียนบทเพลงนี้ และสอนคนอิสราเอลให้ร้องจนติดปาก เพื่อบทเพลงนี้จะเป็นพยานของเราปรักปรำคนอิสราเอล เพราะว่าเมื่อเราจะได้นำเขาเข้ามาในแผ่นดิน ซึ่งมีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ ซึ่งเราได้ปฏิญาณจะประทานแก่บรรพบุรุษของเขา และเขาได้รับประทานอิ่มหนำและอ้วนพี เขาจะหันไปปรนนิบัติพระอื่น และหมิ่นประมาท เราและผิดพันธสัญญาของเรา และเมื่อสิ่งร้ายและความลำบากหลายอย่างมาถึงเขาแล้ว เพลงบทนี้จะเผชิญหน้าเป็นพยาน (เพราะว่าเพลงนี้จะอยู่ที่ปากลูกหลานของเขาไม่มีวันลืม) เพราะเรารู้ถึงความมุ่งหมายที่เขากำลังจะก่อขึ้นมาแล้ว ก่อนที่เราจะนำเขาเข้าไปในแผ่นดินซึ่งเราปฏิญาณไว้นั้น” โมเสสจึงได้เขียนบทเพลงนี้ในวันเดียวกันนั้นและสอนให้ แก่ประชาชนอิสราเอล (เฉลยธรรมบัญญัติ 31:14-22)
ประการที่สี่ คำเทศนาของยอห์นและการตอบสนองของผู้คน เล็งถึงคำเทศนาในอนาคตของพระเยซูคริสต์และการตอบสนองของผู้คน มัทธิวเลือกเน้นไปที่การตอบสนองของยอห์นที่มีต่อผู้นำศาสนาชาวยิวที่แค่อยาก มาฟัง (หรือมาตรวจสอบ) ยอห์นใช้ถ้อยคำรุนแรงตำหนิ และต่อว่าผู้นำทางศาสนาที่ไม่ได้มาเพื่อกลับใจ แต่มาต่อต้านและยังปฏิเสธไม่ฟังท่านด้วย พระเยซูเองใช้ถ้อยคำตำหนิรุนแรงต่อพวกที่มาต่อต้านพระองค์ – กลุ่มผู้นำศาสนาพวกเดิม พวกนี้เป็นผู้นำที่เชื่อว่าตนเองชอบธรรมดีแล้ว และต่อต้านทุกคนที่เหมือนจะคุกคาม “อาณาจักร” พวกเขา คนพวกนี้เชื่อมั่นว่าตัวเองมีตั๋วห้าสิบหลาเข้าสู่แผ่นดินสวรรค์ของพระเจ้า แบบเดียวกับที่ยอห์นตำหนิผู้นำศาสนาหัวสูงพวกนี้ด้วยถ้อยคำรุนแรง พระเยซูก็ทรงทำเช่นกัน
(5) ถ้อยคำของยอห์นเป็นการถ่ายทอดและส่งต่อและเพื่อให้เตรียมพร้อม ถ้าจะเข้าใจคำเทศนาของยอห์น ก่อนอื่นเราต้องตระหนักถึงช่วงเวลาเจาะจงในชีวิตของท่านและบทบาทเฉพาะที่ ท่านเล่น ซึ่งเท่ากับเป็นการเชื่อมช่องว่างระหว่างพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่
ในอีกมุม คำเทศนาของยอห์นเป็นเหมือน”จุดเริ่มต้นของพระกิตติคุณ” เมื่อพวกสาวกตัดสินใจหาคนมาทำหน้าที่แทนยูดาส พวกเขาคุยกันถึงคุณสมบัติของผู้ที่จะมาทำหน้าที่แทน :
เหตุฉะนั้น ในบรรดาคนที่เป็นพวกเดียวกับเราเสมอตลอดเวลาที่พระเยซูเจ้าได้เสด็จเข้าออก กับเรา คือตั้งแต่บัพติศมาของยอห์น จนถึงวันที่พระเจ้าทรงรับพระองค์ขึ้นไปจากเรา คนหนึ่งในพวกนี้จะต้องเป็นพยานกับเรา ว่าพระองค์ได้ทรงคืนพระชนม์แล้ว” (กิจการ 1:21-22 ดู 10:37; 13:23-25 ด้วย)
หนังสือพระกิตติคุณ และการประกาศข่าวประเสริฐเริ่มต้นจากคำเทศนาของยอห์นผู้ให้บัพติศมาพูดถึง เรื่องนี้ เราต้องเข้าใจความจริงว่าคำพูดที่ยอห์นผู้ให้บัพติศมาประกาศไป ยังไม่ได้เป็นข่าวประเสริฐที่ครบถ้วน เพราะยอห์นยังเป็นส่วนหนึ่งของระบอบเก่า :
เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ในบรรดาคนซึ่งเกิดจากผู้หญิงมานั้น ไม่มีผู้ใดใหญ่กว่ายอห์นผู้ให้รับบัพติศมา แต่ว่าผู้ที่ต่ำต้อยที่สุดในแผ่นดินสวรรค์ก็ยังใหญ่กว่ายอห์นเสียอีก และ ตั้งแต่สมัยยอห์นผู้ให้รับบัพติศมาถึงทุกวันนี้ แผ่นดินสวรรค์ก็เป็นสิ่งที่คนได้แสวงหาด้วยใจร้อนรน และผู้ที่ใจร้อนรนก็เป็นผู้ที่ชิงเอาได้ เพราะว่าคำของผู้เผยพระวจนะทั้งหลาย และธรรมบัญญัติได้พยากรณ์มาจนถึงยอห์นนี้ ถ้าท่านทั้งหลายจะยอมรับให้เป็น ก็ยอห์นนี่แหละ เป็นเอลียาห์ซึ่งจะมานั้น (มัทธิว 11:11-14 และที่ผมเน้น)
ยอห์นเป็นผู้เผยพระวจนะคนสุดท้ายของยุคพระคัมภีร์เดิม คำของท่านมีเพื่อเตรียมมนุษย์สำหรับการเสด็จมาของพระเมสซิยาห์ และข่าวประเสริฐแห่งความรอดที่จะประกาศออกไปหลังจากพระองค์สิ้นพระชนม์ ถูกฝัง คืนพระชนม์ และเสด็จสู่สวรรค์ พระเยซูและอัครสาวกชี้ชัดเจนว่าข่าวประเสริฐยังมีมากกว่าที่ยอห์นประกาศ และดียิ่งกว่า:
เพราะว่ายอห์นให้รับบัพติศมาด้วยน้ำ แต่ไม่ช้าไม่นานท่านจะรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ (กิจการ 1:5)
มียิวคนหนึ่งชื่ออปอลโล เกิดในเมืองอเล็กซานเดรีย เป็นคนมีโวหารดี และชำนาญมากในทางพระคัมภีร์ ท่านมายังเมืองเอเฟซัส อปอลโลคนนี้ได้รับการอบรมในทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า และมีใจร้อนรนกล่าวสั่งสอนอย่างถูกต้องถึงเรื่องพระเยซู ถึงแม้ท่านรู้แต่เพียงบัพติศมาของยอห์นเท่านั้น ท่านได้เข้าไปในธรรมศาลาสั่งสอนโดยใจกล้า แต่เมื่อปริสสิลลากับอาควิลลาได้ฟังท่านแล้ว เขาจึงรับท่านมาสั่งสอนให้รู้ทางของพระเจ้าให้ถูกต้องยิ่งขึ้น (กิจการ 18:24-26)
ขณะที่อปอลโลยังอยู่ในเมืองโครินธ์ เปาโลได้ไปตามที่ดอน แล้วมายังเมืองเอเฟซัส ท่านพบสาวกบางคนที่นั่น จึงถามเขาว่า “เมื่อท่านทั้งหลายเชื่อนั้น ท่านได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือเปล่า” เขาตอบว่า “เปล่า เรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นเราก็ยังไม่เคยได้ยินเลย” เปาโลจึงถามเขาว่า “ถ้าอย่างนั้นท่านได้รับบัพติศมาอันใดเล่า” เขาตอบว่า “บัพติศมาของยอห์น” เปาโลจึงว่า “ยอห์นให้รับบัพติศมาสำแดงถึงการกลับใจใหม่ แล้วบอกคนทั้งปวงให้เชื่อในพระองค์ผู้จะเสด็จมาภายหลังคือพระเยซู” เมื่อเขาได้ยินอย่างนั้น เขาจึงรับบัพติศมาในพระนามของพระเยซูเจ้า เมื่อเปาโลได้วางมือบนเขาแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เสด็จลงมาบนเขา เขาจึงพูดภาษาแปลกๆและได้ทำนายด้วย คนเหล่านั้นมีประมาณสิบสองคน (กิจการ 19:1-7)
โดยทางพันธกิจของยอห์น พระเจ้าทรงแนะนำพระเยซูให้รู้จักในฐานะพระเมสซิยาตามพระสัญญาที่รอคอยมานาน เช่นเดียวกับที่พระองค์ใช้ซามูเอลให้ไปเจิมตั้งซาอูล (1ซามูเอล 10) และต่อมาเจิมตั้งดาวิด (1ซามูเอล 16) ขึ้นเป็นกษัตริย์อิสราเอล อย่างที่ท่านอัครสาวกยอห์นพูด หน้าที่ของท่านคือเป็น “สหายของเจ้าบ่าว” ซึ่งมีสิทธิพิเศษได้ยินเสียงของเจ้าบ่าว และชื่นชมยินดี (ยอห์น 3:29)
บทสรุป
ยอห์นมีบทบาทสำคัญต่อการเริ่มพระราชกิจของพระเยซูคริสต์ ท่านเรียกร้องให้ผู้คนเตรียมพร้อมรับการเสด็จมาของพระเมสซิยาห์ สิ่งที่ท่านประกาศห่างไกลจากคำว่าล้าสมัย พระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมาเป็นครั้งที่สอง และครั้งนี้จะมาเพื่อพิพากษามนุษย์
พระองค์ทรงสั่งให้เราทั้งหลายประกาศแก่คน ทั้งปวง และเป็นพยานว่า พระเจ้าได้ทรงตั้งพระองค์ไว้เป็นผู้พิพากษาทั้งคนเป็นและคนตาย (กิจการ 10:42)
เพราะพระองค์ได้ทรงกำหนดวันหนึ่งไว้ ในวันนั้นพระองค์จะทรงพิพากษาโลกตามความชอบธรรม โดยมนุษย์ผู้นั้นซึ่งพระองค์ได้ทรงเลือกไว้ และพระเจ้าได้ทรงโปรดให้คนทั้งปวงมีความแน่ใจในเรื่องนี้ โดยทรงให้มนุษย์ผู้นั้นคืนชีวิต” (กิจการ 17:31 และ 2ทิโมธี 4:1)
การเสด็จมาครั้งแรก พระเยซูทรงแบกรับความบาปของเราไว้ที่พระองค์ และรับโทษจากผลของบาปนั้น เมื่อเสด็จกลับมาอีกครั้ง พระองค์จะพิพากษาคนบาป และปลดโลกนี้ให้เป็นไทจากบาป ภารกิจของเราในฐานะคริสเตียน คือประกาศข่าวดีที่พระเยซูมาช่วยคนบาปนี้ และเตือนผู้คนว่าวันแห่งการพิพากษาใกล้เข้ามาแล้วสำหรับคนที่ปฏิเสธไม่รับ พระองค์ การกลับใจเช่นเดียวกับความเชื่อ ไม่ใช่สิ่งที่เราทำสำเร็จเอง แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า การกลับใจคือบางสิ่งที่พระเจ้าใส่เข้ามาในเรา ไม่ว่าจะอย่างไร เราถูกเรียกให้กลับใจมาเชื่อในพระองค์
ครั้นยอห์นถูกอายัดแล้ว พระเยซูได้เสด็จมายังแคว้นกาลิลี ทรงเทศนาประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า และตรัสว่า “เวลากำหนดมาถึงแล้ว และแผ่นดินของพระเจ้าก็มาใกล้แล้ว จงกลับใจเสียใหม่ และเชื่อข่าวประเสริฐเถิด” (มาระโก 1:14-15)
ครั้นมาแล้วเปาโลจึงกล่าวว่า “ท่านทั้งหลายย่อมทราบอยู่เองว่า ข้าพเจ้าได้ประพฤติต่อท่านอย่างไรทุกเวลา ตั้งแต่วันแรกเข้ามาในแคว้นเอเชีย ข้าพเจ้าได้ปรนนิบัติพระเจ้าด้วยความถ่อมใจ ด้วยน้ำตาไหล และด้วยถูกการทดลอง ซึ่งมาถึงข้าพเจ้าเพราะพวกยิวคิดร้ายต่อข้าพเจ้า และสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งเป็นคุณประโยชน์แก่ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้ามิได้ปิดซ่อนไว้ แต่ได้ชี้แจงให้ท่านเห็น กับได้สั่งสอนท่านในที่ประชุม และตามบ้านเรือน ทั้งเป็นพยานแก่พวกยิวและพวกกรีก ถึงเรื่องการกลับใจใหม่เฉพาะพระเจ้า และความเชื่อในพระเยซูคริสตเจ้าของเรา (กิจการ 20:18-21)
พวกเรา เช่นเดียวกับยอห์นผู้ให้บัพติศมา ควรยื่นมือไปช่วยผู้คนให้กลับใจจากบาปและมามีความเชื่อในพระเยซูคริสต์ สิ่งนี้คือการเตรียมมนุษย์ให้พร้อมสำหรับการเสด็จกลับมาของพระเยซู กลับมาเพื่อพิพากษาตามที่ยอห์นสัญญาไว้ว่าจะเกิดขึ้น:
บัดนี้ขวานวางไว้ที่โคนต้นไม้แล้ว และทุกต้นที่ไม่เกิดผลดีจะต้องตัดแล้วโยนทิ้งในกองไฟ เราให้เจ้าทั้งหลายรับบัพติศมาด้วยน้ำ แสดงว่ากลับใจใหม่ก็จริง แต่พระองค์ผู้จะมาภายหลังเรา ทรงมีอิทธิฤทธิ์ยิ่งกว่าเราอีก ซึ่งเราไม่คู่ควรแม้จะถอดฉลองพระบาทของพระองค์ พระองค์จะทรงให้เจ้าทั้งหลาย รับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยไฟ พระหัตถ์ของพระองค์ถือพลั่วพร้อมแล้ว และจะทรงชำระลานข้าวของพระองค์ให้ทั่ว พระองค์จะทรงเก็บข้าวของพระองค์ไว้ในยุ้งฉาง แต่พระองค์จะทรงเผาแกลบด้วยไฟที่ไม่รู้ดับ” (มัทธิว 3:10-12)
ในเวลาเมื่อมนุษย์ยังไร้เดียงสา พระเจ้ามิได้ทรงถือโทษ แต่เดี๋ยวนี้ พระเจ้าได้ตรัสสั่งแก่มนุษย์ทั้งปวงทั่วทุกแห่งให้กลับใจใหม่ เพราะพระองค์ได้ทรงกำหนดวันหนึ่งไว้ ในวันนั้นพระองค์จะทรงพิพากษาโลกตามความชอบธรรม โดยมนุษย์ผู้นั้นซึ่งพระองค์ได้ทรงเลือกไว้ และพระเจ้าได้ทรงโปรดให้คนทั้งปวงมีความแน่ใจในเรื่องนี้ โดยทรงให้มนุษย์ผู้นั้นคืนชีวิต” (กิจการ 17:30-31)
“ข้าแต่กษัตริย์อากริปปา เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ข้าพระบาทจึงเชื่อฟังนิมิต ซึ่งมาจากสวรรค์นั้น และมิได้ขัดขืน แต่ข้าพระบาทได้กล่าวสั่งสอนเขา ตั้งต้นที่เมืองดามัสกัส และในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแว่นแคว้นยูเดียและแก่ชาวต่างประเทศ ให้เขากลับใจใหม่ ให้หันมาหาพระเจ้า และกระทำการซึ่งสมกับที่กลับใจใหม่แล้ว” (กิจการ 26:1-20)
เดี๋ยวนี้คำว่าสำนึกผิดกลับใจไม่ค่อยมีใครนำมาเทศนา ไม่นานมานี้ผมดีใจมากที่ได้ยินบิลลี่ เกรแฮม เรียกร้องให้หญิงและชายสำนึกผิดกลับใจ มาเชื่อในพระเยซูในงานประกาศที่ดัลลัส เท็กซัส หันกลับมาหาพระเยซูเพื่อรับความรอดคือต้องหันเสียจากบาปที่เคยทำ บ่อยครั้งการพยายามทำให้ข่าวประเสริฐน่าลิ้มลอง การกลับใจจึงถูกข้ามไป ลดความสำคัญลง หรือถึงขั้นตัดทิ้ง บางครั้งการนำเสนอข่าวประเสริฐเหมือนกับนำพระราชกิจของพระเยซูใส่เพิ่มเข้า ไปกับแฟ้มส่วนตัวของคุณ เหมือนกับลงทุนเพิ่มอีกตัว ไม่มีการตัดอะไรทิ้ง ความจริงคือคุณต้องเปิดแฟ้มเอาของเก่าทิ้งไป (ไว้ใจในสิ่งอื่นที่ไม่ใช่พระเยซูคริสต์) แล้วให้พระคริสต์เข้ามาเติมเต็ม เศรษฐีหนุ่มไม่มีตัวเลือกให้เก็บความมั่งคั่งไว้ (ซึ่งคือพระของเขา) ดูมัทธิว 6:19-34; 19:16-22 เขาต้องสละทุกสิ่งเพื่อติดตามพระเยซู ถ้าเราจะประกาศข่าวประเสริฐ เราต้องไม่ลืมเรื่องการกลับใจ และความเชื่อด้วย สององค์ประกอบนี้ไม่ได้ค้านกัน แต่เป็นสองด้านของเหรียญเดียวกัน
คำประกาศของยอห์นเตือนเราถึงบทบาทสำคัญของธรรมบัญญัติ เหมือนนำร่องสู่พระกิตติคุณ ขณะที่พระคุณอยู่ตรงข้ามกับธรรมบัญญัติ (ดูโรม 4:16; 6:14; 7:6; กาลาเทีย 2:22; 5:1-4) แต่ธรรมบัญญัตินั้นชี้ไปที่พระคุณ:
ก่อนที่ความเชื่อมานั้น เราถูกธรรมบัญญัติกักตัวไว้ ถูกกั้นเขตไว้จนความเชื่อจะปรากฏ เพราะฉะนั้นธรรมบัญญัติจึงควบคุมเราไว้จนพระคริสต์เสด็จมา เพื่อเราจะได้เป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อ แต่บัดนี้ความเชื่อนั้นได้มาแล้ว เราจึงมิได้อยู่ใต้บังคับของผู้ควบคุมอีกต่อไปแล้ว (กาลาเทีย 3:23-25)
ธรรมบัญญัติเตรียมเราไว้สำหรับพระคุณ โดยเปิดเผยให้เห็นความบาปของเราเอง และไม่สามารถที่จะเอาใจพระเจ้าโดยการกระทำดี ดังนั้นธรรมบัญญัติจึงเป็นสิ่งที่ทำให้เรามองไปที่พระเจ้าเพื่อความรอดโดย พระคุณ ไม่ใช่ด้วยตัวเราเอง:
เรารู้แล้วว่า ธรรมบัญญัติทุกข้อที่ได้กล่าวนั้น ก็ได้กล่าวแก่คนเหล่านั้นที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ เพื่อปิดปากทุกคน และเพื่อให้มนุษย์ทุกคนในโลกอยู่ใต้การพิพากษาของพระเจ้า เพราะว่าในสายพระเนตรของพระเจ้าไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดเป็นคนชอบธรรม โดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติได้ เพราะว่าธรรมบัญญัตินั้นทำให้เรารู้จักบาปได้ แต่บัดนี้ได้ปรากฏแล้วว่า ความชอบธรรมซึ่งมาจากพระเจ้านั้นปรากฏนอกเหนือกฎบัญญัติ ธรรมบัญญัติกับพวกผู้เผยพระวจนะเป็นพยานอยู่ คือความชอบธรรมของพระเจ้า ซึ่งทรงประทานโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ แก่ทุกคนที่เชื่อ เพราะว่าคนทั้งหลายไม่ต่างกัน เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า แต่พระเจ้าทรงพระกรุณาให้เขาเป็นผู้ชอบธรรม โดยไม่คิดมูลค่า โดยที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่เขาให้พ้นบาปแล้ว (โรม 3:19-24)
เฟรเดอริค บรูเนอร์พูดไว้ในทำนองนี้ :
“ไม่มีพระบัญญัติ ก็ไม่มีพระกิตติคุณ (ไม่มีพระคัมภีร์เดิม ก็ไม่มีพระคัมภีร์ใหม่) และไม่มียอห์นผู้ให้บัพติศมา เรื่องการเสด็จมาของพระเมสซิยาห์ก็อาจประกาศไปไม่ถูกต้อง ดังนั้นไม่มีเรื่องบังเอิญ พระกิตติคุณทั้งสี่เล่มบันทึกงานของยอห์นผู้ให้บัพติศมาว่าเป็นผู้มาเตรียม ทางให้พระคริสต์ ยอห์นเป็นสาระสำคัญในเรื่องราวของพระเยซู ไม่ใช่แค่คนที่มาก่อน ที่จริงพระกิตติคุณยอห์น “ย้อนประวัติศาสตร์แห่งความบริสุทธิ์กลับมาอีกครั้ง” (Bonn., 31) หลังจากความเงียบที่ยาวนาน ยอห์นปรากฎมาเหมือนมหาปุโรหิตผู้ยิ่งใหญ่คนสุดท้ายของหนังสือฮีบรู และเหมือนพระบัญญัติของพระเจ้าที่มีชีวิตและเคลื่อนไหว เต็มด้วยหายนะและความบริสุทธิ์ และที่สุดของทุกสิ่ง ยอห์นผู้ให้บัพติศมาเป็นผู้นำหน้าพระคัมภีร์ใหม่สี่ครั้ง (จากพระกิตติคุณสี่เล่ม) เมื่อนำพระบัญญัติของพระเจ้ามาอยู่ข้างหน้าเราถึงสี่ครั้ง เรื่องการเสด็จมาของพระเยซูพร้อมกับข่าวประเสริฐก็สี่ครั้งเหมือนกัน ยอห์นคือพระบัญญัติของพระเจ้าในภาพบุคคล พระเยซูก็คือพระกิตติคุณของพระเจ้าในพระบุคคลเช่นกัน”8
ยอห์นผู้ให้บัพติศมาเป็นผู้เผยพระวจนะคนสุดท้ายของพระคัมภีร์เดิม ท่านไม่ได้ชักชวนมนุษย์ให้ “พยายามทำให้มากขึ้น” เพื่อเอาใจพระเจ้า แต่ให้สารภาพบาปของตน และเข้ามาวางใจในพระเมสซิยาห์ที่กำลังเสด็จมาช่วยให้รอด ถ้ามนุษย์จะได้รับความรอด พวกเขาต้องมองตัวเองให้เห็นว่าเป็นคนบาป ตกอยู่ภายใต้คำแช่งสาปของพระบัญญัติ หน้าที่ของพระบัญญัติคือประณามเราที่เป็นคนบาป และจำเป็นต้องได้รับพระคุณที่สุด ขอให้เราระวังที่จะไม่เหวี่ยงพระบัญญัติทิ้งไปราวกับหมดความหมาย ยังมีบทบาทที่เราต้องทำตาม9 หนึ่งในนั้นคือมองไปที่มาตรฐานความ ชอบธรรมของพระเจ้า มาตรฐานที่มนุษย์ไม่มีวันทำได้ ให้เราใช้พระบัญญัตินี้เพื่อเปิดเผยให้เห็นความบาปของเราเอง แน่นอนพระบัญญัติสิบประการกล่าวประณามและตัดสินพวกเราทุกคน ยอห์นพูดจากพระบัญญัติเพื่อเปิดเผยให้เห็นความบาปของมนุษย์ และแสดงให้เห็นว่าพระเยซูคือพระเมสซิยาห์ตามที่พระบัญญัติสัญญาไว้ว่าจะ เสด็จมา
ผมขอเจาะจงว่าผู้เป็นพ่อแม่สามารถนำพระบัญญัตินี้มาใช้สอนลูกๆได้ พวกเขาสามารถใช้พระบัญญัติเพื่อให้ลูกๆเห็นว่าเด็กๆเองก็เป็นคนบาปจำเป็น ต้องได้รับความรอดในพระเยซูคริสต์และสิ่งที่พระองค์ทำบนไม้กางเขนที่เนินหัว กระโหลก บ่อยครั้งเรานำเรื่องตื่นเต้นจากพระคัมภีร์เดิมมาเล่าให้เด็กๆฟัง เช่น “โยนาห์กับปลามหึมา” หรือ “ดาเนียลในถ้ำสิงห์” ซึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องเลวร้าย แต่บ่อยครั้งการนำมาใช้ไม่ได้ชี้ให้เด็กๆเห็นถึงความบาปของตนเอง และความบริสุทธิ์ของพระเจ้า ที่จริงบางคนเห็นว่าการนำพระวจนะมาใช้เป็นการเสริมสร้าง “คุณค่าในตัวเอง” ให้เด็กๆด้วยซ้ำ เด็กๆไม่จำเป็นต้องรู้สึกว่าตนเองดีพอ พวกเขาจำเป็นต้องตระหนักว่าเป็นคนบาป ไม่อาจยืนจำเพาะพระพักตร์ของพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ได้ พวกเขาจำเป็นต้องมองเห็นบาปของตัวเอง และรู้ว่าตนเองต้องได้รับความรอด สิ่งที่ยอห์นประกาศออกไป (ยังไม่รวมถึงสิ่งที่พระเยซูและพวกสาวกประกาศ) คือสิ่งที่เด็กๆจำเป็นต้องได้ยินด้วยครับ
พ่อแม่ที่ไม่สอนวินัยให้ลูกก็กำลังทำร้ายลูกตัวเองอย่างรุนแรง เราต้องแก้ไขประพฤติกรรมและความคิดของเด็กๆ ไม่ใช่ทำเป็นมองไม่เห็นหรือหาข้อแก้ตัวแทน เด็กๆจะต้องเรียนรู้จาก “ประสบการณ์” ว่าความบาปมีผลที่ต้องรับโทษ พวกเขาต้องเห็นว่าตัวเองก็ทำบาป และเมื่อมองเห็นบาปของตัวเอง สิ่งที่ยอห์นประกาศจะเป็นถ้อยคำหวานหูสำหรับพวกเขา เมื่อพระเจ้านำให้พวกเขาสำนึกผิดและกลับใจ การที่ไม่สามารถ (หรือปฏิเสธ) ลงวินัยเด็กๆก็เท่ากับเป็นการปฏิเสธพระกิตติคุณที่กล่าวว่ามนุษย์ทุกคนเป็น คนบาป ต้องได้รับความรอดจากพระเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์
ทั้งคำพูดและการกระทำของยอห์นเน้นไปที่ความสำคัญของพิธีบัพติศมาของ คริสเตียน ผมเรียนรู้ว่าบัพติศมาของยอห์นเป็นการเตรียมความพร้อม และเมื่อผู้ติดตามยอห์นกลับใจมาเป็นคริสเตียน พวกเขาต้องรับบัพติศมาอีกครั้ง แต่บัพติศมาเป็นส่วนสำคัญในคำพูดและการกระทำของยอห์น คนที่กลับใจจริงจะรับบัพติศมา (มัทธิว 3:11; มาระโก 1:5) คนไม่สำนึกก็ไม่กลับใจ (ลูกา 7:30) คนที่ติดตามพระเยซูคริสต์ก็จะรับบัพติศมา (มัทธิว 28:19; ยอห์น 3:22, 26; 4:1; กิจการ 2:38, 41; 8:12, 38; 10:47; 19:35) บัพติศมาจึงเป็นสัญลักษณ์ของการกลับใจและความเชื่อ ปัจจุบันคนที่ยังไม่รับบัพติศมาควรถามตัวเองว่า “ทำไม” ถึงไม่รับ?
คำเทศนาของยอห์นที่จริงแล้วเป็น “เทศนาพยากรณ์” ผมอยากบอกว่าแม้คำเทศนาพยากรณ์ของยอห์นนั้นจะโดดเด่น แต่มีบางสิ่งที่สอนเราเรื่องคำเทศนา สิ่งที่ยอห์นประกาศมาจากพระวจนะโดยตรง สิ่งแรกที่ท่านชี้ให้เห็นคือความบาปของมนุษย์ และชี้ไปที่ความรอดของพระเจ้าในองค์พระเยซูคริสต์ ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นถ้อยคำที่เป็นมิตรนัก เป้าหมายไม่ใช่สร้างความเพลิดเพลินเพื่อให้มนุษย์ยอมรับ แต่เป็นเป้าหมายที่ตีแผ่ความบาปของมนุษย์ และความจำเป็นที่ต้องมีพระเจ้า ถ้าถามให้ท่านเจาะจงลงไป ท่านยกตัวอย่างให้เห็นได้ (เช่นจากในลูกา) ในพระกิตติคุณมัทธิว ยอห์นผู้ให้บัพติศมามุ่งเน้นไปที่ความบาปและความชอบธรรมตามที่ผู้นำศาสนาคิด ขณะที่พระเยซูคริสต์นุ่มนวลกว่าเมื่อเทียบกับถ้อยคำที่ยอห์นใช้ แต่พระองค์ก็ไม่อ้อมค้อมเรื่องความบาป ความชอบธรรม และการพิพากษา (ยอห์ น 6:8-11) ยังจำเป็นที่ต้องสำนึกผิดกลับใจ ขณะยอห์นเป็นบุคคลที่มีเอกลักษณ์ และมีบทบาทที่โดดเด่นในสมัยของท่าน ท่านยังเป็นบุคคลที่สอนเรามากมายถึงการประกาศความจริง
เวลาอ่านเรื่องของยอห์นผมแน่ใจว่าพวกเราส่วนใหญ่คิดว่าท่านออกจะประหลาด แน่นอนท่านมีเอกลักษณ์ และนี่อาจเป็นสิ่งที่ดึงดูดให้ผู้คนสนใจ แม้ท่านจะไม่ได้ทำอัศจรรย์ใดๆ (ยอห์น 10:41) ที่แน่ๆท่านเป็นแบบอย่างของคนที่ “ปลีกตัว” ออกมาในแบบที่ดึงดูดความสนใจ สำหรับเราไม่จำเป็นต้องไปใส่เสื้อขนสัตว์ หรือไปอาศัยในถิ่นทุรกันดาร หรือกินตั๊กแตนน้ำผึ้งป่า แต่เราถูกเรียกให้มาเป็นคนที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น แตกต่างจากโลกนี้ ยอห์นเป็นบุคคลที่รู้ว่าจะยืนหยัดลำพังได้อย่างไร เป็นสิ่งที่พวกเราส่วนใหญ่รู้น้อยมาก
ขอให้เราเรียนรู้ที่จะอยู่ในโลกนี้ แต่ไม่เอนไปตามวิถีของโลก ให้เราแสวงหาการเตรียมชายและหญิงให้พร้อมรับการเสด็จกลับมาครั้งที่สองของ พระเยซู โดยสอนเรื่องความบาป เรียกร้องให้มีการสำนึกผิดกลับใจ หันกลับมาหาพระเยซูเพื่อรับความรอด ขอให้เราเป็นเหมือนท่านยอห์น คือชื่นชมยินดีเมื่อได้ชี้ทางให้ผู้คนไปหาพระคริสต์ แทนที่จะเรียกร้องความสนใจให้มาอยู่แต่ที่ตัวเอง
โดย : Robert L (Bob) Deffinbaugh
ได้รับอนุญาตและเป็นลิขสิทธิของ https://bible.org/
แปล : อรอวล ระงับภัย (Church of Joy)
1 บทเรียนต่อเนื่องบทนี้ปรับจากต้นฉบับเดิมของพระกิตติคุณมัทธิวบทเรียนที่ 4 จัดทำโดย อ. Robert L. Deffinbaugh วันที่ 9 มีนาคม 2003.
2 นอกจากที่กล่าวไปแล้ว พระวจนะที่นำมาอ้างอิงทั้งหมดมาจาก NET Bible (The NEW ENGLISH TRANSLATION) เป็น ฉบับแปลใหม่ทั้งหมด ไม่ใช่นำฉบับเก่าในภาษาอังกฤษมาเรียบเรียงใหม่ ใช้ผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการพระคัมภีร์มากกว่า ยี่สิบคน รวบรวมข้อมูล ทั้งจากภาษาฮีบรูโดยตรง ภาษาอาราเมข และภาษากรีก โครงการแปลนี้เริ่มมาจากที่เราต้องการนำ พระคัมภีร์ เผยแพร่ผ่านสื่ออีเลคโทรนิค เพื่อรองรับการใช้งานทางอินเตอร์เน็ท และซีดี (compact disk) ที่ใดก็ตามในโลก ที่ต่อเข้าอินเตอร์เน็ทได้ ก็สามารถเรียกดู และพริ้นทข้อมูลไว้เพื่อใช้ศึกษาเป็นการส่วนตัวได้โดยไม่คิดมูลค่า นอกจากนี้ ผู้ใดก็ตาม ที่ต้องการนำข้อมูลเกี่ยวกับพระคัมภีร์ไปเผยแพร่ต่อโดยไม่คิดเงิน สามารถทำได้จากเว็บไซด์ : www.netbible.org
3 ผมตระหนักว่าเพราะพระเยซูและยอห์นเป็นญาติกัน (ลูกา 1:36) หลายคนเลยคิดว่ายอห์นรู้ว่าพระเยซูเป็นพระเมสซิยาห์ตั้งแต่เด็ก แต่คำพูดของยอห์นผู้ให้บัพติศมาเองทำให้หมดข้อสงสัย เราจึงเชื่อตามที่ยอห์นพูด
4 ในมัทธิว 11:9-14 จะเห็นว่าพระเยซูโยงงานของยอห์นผู้ให้บัพติศมาเข้ากับพันธกิจของเอลียาห์ อย่างชัดเจนโดยอ้างจากมาลาคี 3:1 (ดูมาลาคี 4:5 ด้วย) ทูตของพระเจ้าบอกเศคาริยาห์ว่าลูกที่จะเกิดจากท่านและนางเอลีซาเบธ เขาจะนำหน้าพระองค์โดยน้ำใจและ ฤทธิ์เดชของเอลียาห์ ให้พ่อกลับคืนดีกับลูก และคนดื้อด้านให้กลับได้ปัญญา ของคนชอบธรรม เพื่อจัดเตรียมชนชาติหนึ่งไว้ให้สมแก่พระเจ้า (ลูกา 1:17)
5 นี่หมายถึงอาหารด้วยเหมือนกัน คนที่มีอาหารควรแบ่งปันคนที่ขาดแคลน (ลูกา 3:11)
6 เปรียบเทียบกับ ฟีลิปปี 3:5
7 Fredrick Dale Bruner, The Christbook: A Historical/Theological Commentary (Waco, Texas: Word Books, 1987), vol. 1, p. 71.
8 Fredrick Dale Bruner, The Christbook: A Historical/Theological Commentary (Waco, Texas: Word Books, 1987), vol. 1, p. 70.
9 ดูตัวอย่างเช่น โรม 15:4; 1โครินธ์ 9:9; 10:1-13; 2 ทิโมธี 3:16-17
Related Topics: Law
La Revue Internet Des Pasteurs, Fre Ed 20, Edition du l’été 2016
Edition d’été 2016
Auteur: Dr. Roger Pascoe, Président
de l’Institut pour la Prédication Biblique
Cambridge, Ontario, Canada
(http://tibp.ca/)

“Renforcer les capacités de l’Eglise
dans la Prédication Biblique et le Leadership”
Premiere Partie: La Puissance Dans La Predication, Pt. 3 Suite
“La Puissance du Saint Esprit”
Dans les trois dernières éditions de ce journal, nous avons élaboré sur le sujet concernant la puissance du Saint Esprit dans la prédication. Dans l’édition précédente, nous avons émis plusieurs interrogations telles que : (1) Qu’est-ce que la prédication accompagnée par l’onction de l’Esprit ? (2) Pourquoi certains prédicateurs semblent avoir la puissance de l’Esprit tandis que d’autres ne l’ont pas?
Au cours de cette présente édition, nous allons nous attarder sur une autre question que le sujet soulève: Quelle est la différence entre la « plénitude » de l’Esprit et « l’onction » de l’Esprit? Il est important de comprendre la différence qui existe entre les trois choses que sont le baptême, la plénitude et l’onction de l’Esprit (adapté de Dr. Stephen F. Olford).
1. The baptême de l’Esprit (1 Cor. 12:13) représente notre « position spirituelle » en Christ. Cela se produit une seule fois à l’occasion de notre régénération, moment auquel le Saint Esprit vient habiter en nous (1 Cor. 3:16; 6:19; 2 Tim. 1:14; Jacq 4:5). Tous les croyants ont reçu le baptême de l’Esprit/l’Esprit habite en eux.
2. La plénitude de l’Esprit (Eph. 5:18) révèle notre condition spirituelle en Christ. Il y a un seul baptême de l’Esprit, mais diverses plénitudes de l’Esprit. La plénitude signifie la saturation, c’est-à-dire qu’il n’y a point de place pour la chair, pour soi-même ou pour le péché. Ce n’est pas l’habitation de l’Esprit en nous (qui est la conséquence de la nouvelle naissance). C’est plutôt le fait pour nous d’être sous le control de l’Esprit comme nous l’avons dit plus haut. C’est la vie selon le principe de la nouvelle naissance. Cela implique l’obéissance, la soumission, la dépendance et prestation d’allégeance à l’Esprit dans la vie quotidienne. « C’est là la vie Chrétienne normale et à l’image de Christ. » (Olford, Anointed Expository Preaching, 216). Nous devons également être remplis du Saint Esprit (Eph. 5:18). Cela paraît presque grammaticalement impossible – un impératif à la voix passive; un ordre de poser une action à laquelle nous sommes nous-mêmes soumis ! Mais le problème se résout comme suit: nous obéissons au commandement en nous activant à débarrasser nos vies de tout ce qui pourrait affliger ou étouffer l’Esprit (par la vertu de notre manière de vivre, notre piété, etc.) et, en retour, nous sommes passivement (action à laquelle nous sommes soumis) contrôlés par l’Esprit qui œuvre en nous et à travers nous tant dans nos vies que dans nos ministères.
3. L’onction de l’Esprit (Actes 1:8) renforce notre « vocation spirituelle » en Christ. Pour que nos ministères soient efficaces pour Dieu, nous avons besoin d’être oint par l’Esprit (1 Cor. 2:1-5; 1 Thess. 1:5). Nous ne pouvons pas par nous-mêmes produire des résultats spirituels. Nous sommes engagés dans une vocation spirituelle qui requière l’autorisation et l’efficacité de l’Esprit pour aboutir avec succès. C’est pourquoi il est indispensable que nous soyons d’abord remplis de l’Esprit avant de pouvoir recevoir l’onction de prêcher avec efficacité la parole de Dieu. Et je soutiens que si nous sommes réellement remplis de l’Esprit, nous aurons également l’onction de l’Esprit.
Permettez-moi donc de poser la même question que la dernière fois: Pourquoi certains prédicateurs sont oints et d’autres non? La différence n’a rien à voir avec la présence de l’Esprit en eux, car le Saint Esprit habite en tous les croyants. La différence semble plutôt reposer sur le fait de « la plénitude » de l’Esprit. Certains prédicateurs sont « remplis » de l’Esprit, et par conséquent sont en mesure de servir dans la « puissance » de l’Esprit, tandis que d’autres ne le sont pas. Si un prédicateur n’a pas la plénitude de l’Esprit, il va de soi que sa prédication ne soit pas accompagnée par l’onction de l’Esprit. Certains vivent dans l’obéissance à l’Esprit tandis que d’autres non. Certains ont reçu par l’Esprit le don de la prédication, tandis que d’autres ne l’ont pas reçu. Tout cela est question de la manière dont nous vivons (si nous sommes soumis et dépendons de l’Esprit ou si nous vivons selon nos ressources propres) et du don que Dieu a déposé en nous.
C’est pourquoi, s’il existe dans votre vie des actions, des pensées, des désirs, etc., tout ce qui pourrait « attrister le Saint Esprit » (Eph. 4:10), alors, celui-ci ne sera pas actif dans votre vie ou dans votre ministère. C’est impossible. Je ne doute point de la souveraineté de l’Esprit qui peut utiliser même des ânes muets ou même des personnes qui n’ont point le salut pour accomplir ses desseins, mais le principe qui s’applique à la vie du croyant, c’est que l’Esprit n’agit pas pour notre bien dès lors que nos vies ne lui sont pas agréables. De même, s’il existe des choses qui étouffent l’Esprit dans votre vie, (1 Thess. 5:19), alors il ne saura s’activer à vous bénir ou à soutenir votre ministère par son onction.
Il est juste et légitime alors d’aspirer à l’onction de l’Esprit dans nos vies et dans nos différents ministères. En effet nous ne pouvons pas exercer un ministère utile et efficace sans l’onction de l’Esprit et sans la pleine liberté de l’Esprit de faire son œuvre en nous et au sein de notre public.
Pour prêcher avec puissance, il nous est indispensable de laisser l’Esprit de Dieu faire son œuvre en nous en nous sanctifiant (afin de nous rendre utilisables par Dieu), en nous illuminant (pour que nous comprenions d’une manière correcte la parole) et en nous revêtant de sa capacité (afin que nous sachions utiliser la parole convenablement). Aussi, l’Esprit de Dieu doit faire son œuvre au sein de nos publics, en les conduisant à la repentance, à la justice et en ouvrant leurs yeux sur le jugement à venir (Jean. 16:11), et en les transformant en des hommes et femmes de Dieu, disciples de Christ. Cela montre qu’il y a vraiment l’onction et, par conséquent la bénédiction de l’Esprit –Des vases qui sont propres à l’usage du Maître et des publics dont les vies sont radicalement transformées.
Permettez-moi à présent de donner à la fois un mot d’avertissement et un mot d’encouragement. Commençons par le mot d’avertissement : Gardez-vous « d’avoir une forme de piété qui pourtant fait fin de la puissance » (2 Tim. 3:5). Gardez-vous de penser qu’en raison du fait que vous arrivez à créer une certaine atmosphère au sein de votre congrégation ou parvenez à obtenir une certaine réaction de leur part, vous prêchez pour autant avec puissance. Prenez garde et ne vous concentrez pas sur les expériences, les phénomènes et les sensations subjectives en manquant l’œuvre véritable que l’Esprit accomplie. Ne confondez pas prêcher dans la chair et prêcher dans l’Esprit. « Lorsque vous prêchez dans l’élan de la chair, vous vous sentez exaltés, élevés. Mais lorsque vous prêchez avec la puissance de l’Esprit, vous êtes remplis d’humilité et d’étonnement devant l’œuvre de Dieu » (Martyn Lloyd-Jones, cité dans Arturio G. Azurdia III, Spirit Empowered Preaching, Christian Focus Publications, 2003, préface).
Nous devons à chaque fois que nous prêchons avoir la conviction que « le message que je prêche ne peut faire de bien à personne que lorsqu’il est pas accompagné par l’Esprit de Dieu » (Stuart Olyott, Preaching Pure and Simple, Wales, Bryntirion Press, 2005, 154). C’est uniquement l’onction de l’Esprit de Dieu peut produire des résultats spirituels. Nous ne pouvons rien accomplir par nous-mêmes.
Comment savoir donc si vous prêchez avec l’onction et la bénédiction de l’Esprit de Dieu? C’est lorsque la Parole de Dieu mise en action par l’Esprit de Dieu produit un effet manifeste au sein du public. Et vous savez qu’un changement est en train de s’opérer dans la vie des gens lorsque certains reçoivent le salut, lorsque des foyers sont restaurés, des relations sont rétablies, les gens deviennent des disciples dévoués de Christ, lorsque les gens sont absorbés dans la Parole, etc.
Maintenant, voici un mot d’encouragement: Cette analyse de “l’onction” de l’Esprit devrait être un grand encouragement pour les prédicateurs qui, jour et nuit, d’année en année servent silencieusement Dieu dans leurs ministères, décortiquent et mettent en application la Parole de Dieu en toute fidélité et droiture, ont la foi que l’Esprit de Dieu se saisit de Sa parole et l’utilise pour la conversion des âmes et la transformation des vies au point que bon nombre deviennent des disciples dévoués de Christ « jusqu’à ce que nous parvenions tous à l’unité de la foi et de la connaissance du fils de Dieu, à l’état d’homme fait, à la mesure de la stature parfaite de Christ » (Eph. 4:13).
C’est cela le ministère exercé sous l’onction de l’Esprit. C’est la prédication d’une personne qui a le désir de glorifier Dieu, de magnifier Christ et dont le but est de « présenter tout homme parfait en Jésus Christ » (Col. 1:29). Je soutiendrai que ce que nous devrions rechercher dans notre prédication c’est la bénédiction de Dieu, qui se manifestera par: (1) les fruits dans notre ministère (le salut des gens, la croissance des gens en Christ, etc.), (2) des fruits de l’Esprit dans nos propres vies (Gal. 5:22), (3) la déclaration des autorités de l’église qui nous consacrent pour le ministère et (4) le fait que Christ et la gloire de Dieu sont au centre de notre prédication.
Pour les pasteurs et les prédicateurs donc qui ne voient pas de résultats visibles avant, pendant ou après leur prédication, prenez courage. « Dieu a choisi les choses folles du monde pour confondre les sages, et Dieu a choisi les choses viles du monde, celles qu’on méprise, celles qui ne sont point, pour réduire à néant celles qui sont, afin que nulle chair ne se glorifie devant Dieu… afin comme il est écrit, que celui qui se glorifie se glorifie dans le Seigneur » (1 Cor. 1:27-29, 31).
Puisse cet article être pour nous tous en tant que prédicateurs, un encouragement en ce sens que nous ne pouvons pas (par nous-mêmes) accomplir les grands desseins de Dieu dans la vie de nos auditeurs, mais en ayant une vie de sainteté, de prières avec des supplications dans une entière soumission à l’Esprit de Dieu, nous pouvons être utilisés par Dieu pour atteindre son but souverain. Parfois il peut nous être donné de connaître certains de ces résultats (effets de notre prédication dans la vie de nos auditeurs), mais bien de fois nous n’en aurons pas la possibilité. Mais ce qui nous réconforte, c’est le fait que l’œuvre est celle de Dieu – lui seul peut sauver les âmes ; lui seul peut transformer la vie des gens. Sans cette assurance, notre ministère serait décourageant. Mais avec cette assurance, nous savons que notre ministère est en plein épanouissement.
Deuxième Partie: Preparer La Predication
Faire le plan du message
Jusqu’ici, dans notre discussion sur comment « préparer la prédication », nous avons parlé du choix des textes et des sujets, de l’étude du texte, de l’analyse et la compréhension du texte et de l’identification de la structure du texte. Ce processus peut être à la fois intéressant et décourageant – intéressant lorsque vous découvrez le flot de pensées que renferme le passage (c.-à-d. la structure du texte), mais décourageant lorsque vous y passez plusieurs heures sans parvenir à le déchiffrer. Peut-être cela vous permet de comprendre pourquoi la préparation du message est une tâche difficile.
Mais maintenant, enfin, vous êtes prêts pour préparer un plan de message à partir du texte. Peut-être vous vous demandez “quelle différence fait-on entre la structure du texte et le plan du message? N’est-ce pas la même chose?” Pour certains prédicateurs, il n’y a aucune différence. Beaucoup de prédicateurs construisent leur prédication selon la structure du texte – et ce n’est pas mal, mais ça ne va pas vraiment assez loin, parce que notre plan de message doit refléter les principes théologiques et le sens dans lequel le texte s’applique à nous aujourd’hui, de manière à ce que nos congrégations puissent voir comment il s’applique à elles. Une de nos responsabilités en tant que prédicateurs, c’est de créer un pont qui lie le texte, le peuple, la langue et la culture d’autre fois à notre temps présent.
Ainsi, quoique le plan du message suit et découle de la structure du texte, il est différent de la structure du texte dans ce sens qu’il détermine comment vous allez prêcher ce que le texte dit. Dès lors que vous déterminez la structure du texte, vous connaissez le sujet du passage et ce que l’auteur de l’écriture dit à propos de ce sujet (les compléments). En d’autres termes, vous savez de quoi l’auteur parle dans son écrit, et comment il a organisé ses idées. A partir de là, vous devez décider de la manière dont vous allez prêcher la théologie contenue dans le texte et l’adapter au contexte actuel de votre public. Je crois que c’est peut-être là, le rôle le plus important d’un prédicateur, parce que c’est quelque chose que nos publics n’ont pas l’habitude de faire pour eux-mêmes. Ils lisent la Bible et comprennent ce qu’elle dit, mais souvent ils ne comprennent pas le sens et ce qu’il implique, et dans quel sens il s’applique à nous aujourd’hui. C’est notre rôle de communiquer cela.
Une autre question qui peut nous venir à l’idée est la suivante: « Pourquoi nos messages ont-ils besoin d’avoir un plan? » Beaucoup de prédicateurs n’utilisent de plans et par conséquent ne parviennent pas à expliquer le sens théologique et les implications du texte, ainsi que son application au public d’aujourd’hui. Nos sermons ont besoin de structure parce que :
1. La Bible est entièrement structurée. Chaque auteur de la Bible a un but précis dans ses écrits. Aucune partie de la Bible n’est écrite au hasard (c.-à-d. sans structure et sans but).
2. Si vous n’avez pas un plan qui suit et découle de la structure du texte, votre message manquera de logique et le public ne pourra pas vous suivre.
3. Si vous n’avez pas une structure claire et biblique, vous ne pourrez pas pêcher un message clair et biblique.
Le plan d’un message est le « squelette » de celui-ci, le squelette sur lequel s’attache la chair de votre message ; le « cadre » sur lequel votre exposé est fixé. C’est les éléments principaux qui de parts et d’autres forment l’ensemble du corps de votre message.
Un bon plan de message rempli ce qui suit:
1. Scinde votre message en plusieurs « grands points » (c.-à-d. différentes parties du message).
2. Il vous permet d’exposer le flux de votre pensée avec clarté, de manière ordonnée, unie, progressive, complète.
3. Il vous permet de rester focalisé sur le sujet en vous évitant de divaguer ou d’oublier des points importants.
4. Il équilibre le message entre l’introduction, le corps (explication, application, illustration) et le résumé.
6. Il sert de feuille de route (table de matières) que la congrégation est appelée à suivre.
7. Il rend le message plus facile à mémoriser par les auditeurs.
Un plan de message divise le sujet du texte en plusieurs grands points qui forment les principales parties du message. Ainsi, les grands points peuvent à leur tour être subdivisés en sous-points, qui les étayent simplement en les éclatant en de plus petites unités de sens. Cependant, le niveau auquel vous subdivisez votre message est question de préférence individuelle. Je pense qu’il est plus simple pour le public de pouvoir suivre, si vous utilisez uniquement des grands points dans votre plan en prêchant les sous-points sous forme d’éléments explicatifs du grand point. Vous pouvez tout de même formuler vos sous-points de manière à ce qu’on puisse les distinguer, mais ils vont être utilisés comme éléments servant à expliquer le message sans être articulés comme des sous-points à part. Autrement, votre public peut facilement perdre le fil de votre message.
J’essaie de rendre mes grands points distinctifs en utilisant une formulation commune et en ne cessant de les répéter à mesure que j’avance. Par exemple, le passage de Philippiens 1 : 19-20 peut être découpé de la façon suivante:
1. Nous pouvons faire confiance aux prières disciples de Christ, (19a)
2. Nous pouvons espérer en l’assistance de l’Esprit de Christ (19b)
3. Nous pouvons espérer en la préservation du témoignage de Christ (20)
Votre plan de message ne doit pas dominer votre message ou servir à impressionner votre public. Il a le simple objectif de donner une structure à votre message. The point de départ du plan d’un message, c’est l’idée principale (le sujet) du passage. C’est important d’écrire l’idée principale et l’assertion faite à propos de cette idée (les compléments) formant le cœur du message.
Tout message doit avoir une structure. Les principaux éléments structurels que comporte tout message sont : (1) le début (introduction); (2) le milieu (exposition, corps); et (3) la fin (résumé, conclusion). A leur tour, ces éléments structurels doivent atteindre les objectifs suivants:
1. Votre introduction devrait…
a) Retenir l’attention de votre public
b) Créer un besoin que le message permettra de combler
c) Relier au passage de l’Ecriture
d) Enoncer le sujet
e) Enoncer votre thèse (c.-à-d. l’idée générale et l’enseignement que porte le passage)
f) Servir de transition vers le corps du message
2. Le corps du message c’est là où vous…
a) Exposez et expliquez vos grands points
b) Illustrez vos points là où c’est nécessaire et approprié.
c) Appliquez l’enseignement à votre public
3. Dans vos conclusions vous…
a) Faites le résumés des points que vous avez faits ressortir du passage.
b) Aidez votre public à se faire une image de la vérité que vous avez expliquée – c.-à-d. à voir à quoi cet enseignement s’applique dans la vie quotidienne.
c) Leur lancez le défi d’actualiser la vérité – c.-à-d. à mettre en pratique, répondre à la vérité qu’ils viennent d’entendre.
En commençant par l’édition suivante de ce journal, j’aborderai ces sections du plan de message dans l’ordre auquel vous les préparez (pas dans l’ordre auquel vous les prêchez) de la manière suivante :
1. Formuler les grands points.
2. Exposer la thèse – certains l’appellent la proposition, ou “la substance du message en une phrase”.
3. Rédiger le corps du message – l’explication (avec les illustrations) et les applications
4. Construire la structure de fin du message.
5. Concevoir l’introduction.
Troisième partie. Caractère de piété
“Le caractère de l’Evangile” (1 Cor. 1:18-25)
By: Dr. Stephen F. Olford
Nous venons maintenant à l’un des passages les plus révélateurs sur le sujet de l’évangile et la nature du ministère chrétien que nous trouvons partout dans le Nouveau Testament. Paul a beaucoup évoqué la malédiction liée aux divisions dans l’église, mais maintenant il entreprend de considérer les causes des divisions dans l’église ; et rien qu’à travers le chapitre 4, il dénonce deux fausses conceptions qui sont à la base de toute division. La première concerne la fausse conception autour du message Chrétien (1:18-3:4), et la seconde c’est la fausse conception sur le ministère chrétien (3:5-4:5). Tout d’abord, considérons la conception erronée du message de Christ. Dans un premier temps, cela implique la vision erronée sur le caractère de l’Evangile. C’est ici le point de notre message aujourd’hui, tiré de 1 Corinthiens 1:18-25.
Pendant que nous abordons ces versets que Paul a écrits à une église divisée, rappelons-nous, comme nous l’avons déjà observé, qu’il n’y avait pas moins de quatre bords, chacun avec son propre slogan. Une partie du problème était le fait que les croyants s’attachaient aux hommes plutôt qu’au Maître, mais il y avait également la tendance à exalter le messager au lieu du message. Pour cette raison, Paul s’est vu obligé de présenter un message clair sur le caractère de l’évangile. D’abord, il parle de :
I. L’EVANGILE COMME REVELATION PARFAITE DE DIEU A L’HOMME
“Car la prédication de la croix est une folie pour ceux qui périssent; mais pour nous qui sommes sauvés, elle est une puissance de Dieu” (1 Cor. 1:18). Ici, Paul ne met pas tant d’accent sur la présentation de l’évangile que sur le “message” de de l’évangile, qui se distingue de la sagesse des mots auxquels il est fait référence au verset 17. Son objectif suprême, est de faire ressortir l’unicité de l’évangile comme une révélation de la sagesse et la puissance de Dieu. C’était là les mots clés de l’antiquité. Les grecs recherchaient la sagesse sans répit, tandis que les juifs étaient obsédés par les signes. Par conséquent, Paul décrit le caractère particulier de l’évangile en observant:
1) La sagesse de Dieu comparativement à la sagesse humaine – « Christ la puissance de Dieu et la sagesse de Dieu » (1 Cor. 1:24). Paul ne nous laisse dans aucun doute sur ce qu’il entend par la sagesse de Dieu. Un peu plus loin dans le paragraphe, il dit ceci : «Or c’est… en Christ Jésus...lequel de par Dieu, a été fait pour nous sagesse, justice et sanctification et rédemption » (1 Cor. 1:30). Il n’y a pas de plus grande déclaration sur le message du plein salut que celle contenue dans ce verset. Premièrement, Christ est notre justice. En lui, et à travers lui Jésus Christ, nous avons été rendus justes ou irréprochables devant Dieu le Saint. Cet aspect de l’évangile répond à la question qui date de l’antiquité : « Comment l’homme peut-il être juste devant Dieu ? » (Job 25:4). Parce que Christ est mort pour nos péchés et ressuscité pour nous justifier, nous avons la grâce de connaitre la justice de Dieu qui nous est donnée par le moyen de la foi en son fils. Deuxièmement, Christ est notre sanctification. De par notre propre force, nous ne pouvions par parvenir à la sainteté, mais grâce à sa présence en nous, la sanctification est accomplie de jour en jour. Cette œuvre de la grâce nous met entièrement à part pour Dieu. En termes de comportement, cela implique que nous devons vivre à titre d’expérience ce que nous sommes en Christ. Troisièmement, Christ est notre rédemption. Ce mot signifie “libération” ou “délivrance”. Dans ce contexte précis, il fait allusion non seulement à la rédemption vis-à-vis des conséquences et du pouvoir du péché, mais aussi de la présence même du péché. Il s’agit de cet acte final de Dieu par lequel nous sommes amenés à être conforme à l’image véritable de Christ quand il viendra.
Quelle révélation de la sagesse de Dieu dans l’évangile de notre Seigneur Jésus Christ! Cependant, en comparaison à cette sagesse divine, Paul décrit la sagesse de l’homme. Avec l’apôtre Jacques, il convient que “la sagesse de l’homme… est terrestre, sensuelle, diabolique” (Jacques 3: 15). La sagesse humaine est terrestre. « Car puisque le monde dans sa sagesse n’a point connu Dieu dans la sagesse de Dieu, il a plu à Dieu de sauver les croyants par la folie de la prédication » (1 Cor. 1:21). A présent, voici un facteur très important qu’il faut retenir: c’est que Dieu dans sa sagesse a décrété que le monde, de par sa propre sagesse ne devrait, ni ne pourra connaître Dieu. Cela réduit à jamais au néant l’absurde idée selon laquelle l’homme de par son propre raisonnement ou de par ses percées intellectuelles peut trouver, voire connaitre Dieu. L’éducation humaine à son plus haut niveau et la meilleure qui soit est entièrement insuffisante. La sagesse humaine est sensuelle. C’est pourquoi Paul, avec une petite touche d’ironie affirme : « …Les grecques cherchent la sagesse » (1 Cor. 1:22). Il n’y a rien de plus attrayant pour les personnes sensuelles ou charnelles que la soi-disant « approche intellectuelle » des prédicateurs sophistiqués ou les orateurs à la parole facile. La sagesse humaine est diabolique. Elle est décrite comme tel, parce qu’elle est associée au diable qui est déchu à cause de l’orgueil. C’est pourquoi la philosophie humaine n’est rien de plus que de l’arrogance intellectuelle et de la suffisance. Tous mouvements qui ont remis en cause l’autorité des Ecritures – appelez-les comme voulez : le modernisme, le libéralisme ou l’humanisme – font tous partie de cette approche philosophique. A cause de l’orgueil humain, les hommes cherchent à être associés à des noms célèbres de personnalités incarnant l’approche philosophique, ignorant que la Bible condamne ce fait et le considère comme diabolique.
De ce fait, Paul rappelle aux Corinthiens “Il est écrit: je détruirai la sagesse des sages, et j’anéantirai l’intelligence des intelligents. Où est le sage? Où est le scribe? Où est le disputeur de ce siècle? Dieu n’a-t-il pas convaincu de folie la sagesse du monde? (1 Cor. 1:19-20). L’idée essentielle de ce passage, c’est de montrer que l’homme doit savoir que tous ses plans et ses efforts pour parvenir à son propre salut sont complètement vains. C’est Dieu seul qui sauve à travers le message de la croix (Esaïe 29:14). Le second passage tiré d’Esaïe 33:18 illustre la façon dont l’Eternel a complètement confondu tous les sages-conseillers des nations des dirigeants juifs. Et ce qu’il a fait en ces temps-là, il continuera de le faire tant que les hommes ne renonceront pas à leur raisonnement philosophique au profit de de la sagesse de Dieu. Mais en décrivant cette révélation claire de Dieu, Paul oppose non seulement la sagesse de Dieu à celle de l’homme, mais aussi:
2) La puissance de Dieu par opposition à celle de l’homme - “Car la prédication de la croix est une folie pour ceux qui périssent; mais pour nous qui sommes sauvés, elle est la puissance de Dieu” (1 Cor. 1:18). Cela nous rappelle bien cette puissante déclaration de Paul dans Romains 1:16: « Car je n’ai point honte de l’évangile de Christ: c’est une puissance de Dieu pour le salut de quiconque croit, du Juif premièrement, puis du Grec. » Au cœur de l’évangile se trouve la dynamique même de Dieu qui a le pouvoir de sauver et de délivrer. Dans tout l’univers, il n’existe rien d’autre qui puisse transformer la vie de l’homme en dehors de l’évangile de notre Seigneur Jésus Christ. La puissance de la croix est l’unique réponse au péché de l’homme.
A l’opposé, il y a cette puissance dont l’homme se vante. « Les Juifs demandent des miracles… » (1 Cor. 1:22). Comme le dit Léon Morris, “les Juifs ont été très pragmatiques tout au long de leur histoire. Ils ont éprouvé très peu d’intérêt pour les pensées spéculatives. Ils réclamaient l’évidence, et ne s’intéressaient qu’à ce qui est concret. Ils concevaient Dieu comme se manifestant au cours de l’histoire à travers des miracles et des prodiges. C’est pourquoi les Juifs demandaient toujours des miracles au Seigneur pendant son ministère sur la terre (Matthieu 12:38; 6:1, 4; Marc 8:11; Jean 6:30). Ils concevaient le Messie comme Celui qui manifeste son autorité par des démonstrations de puissances et de majesté. Pour eux, un Christ crucifié était une pure contradiction des termes.
Ainsi, Paul résume son analyse de la sagesse et la puissance divines par opposition à la sagesse et à la puissance de l’homme en ces merveilleux termes que l’on trouve dans les versets 22, 23, et 24: « Car les Juifs demandent des miracles, et les grecs cherchent la sagesse: nous, nous prêchons Christ crucifié ; scandale pour les Juifs et folie pour les païens, mais puissance de Dieu et sagesse de Dieu pour ce qui sont appelés tant Juifs que Grecs. »
La deuxième caractéristique de l’évangile dont Paul a fait cas était:
II. L’EVANGILE COMME APPEL A LA REDEMPTION DE L’HOMME PAR DIEU
« Mais puissance de Dieu et sagesse de Dieu pour ceux qui sont appelés tant Juifs que Grecs » (1 Cor. 1:24). Ici l’équilibre parfait de l’évangile de Christ est mis en valeur. Non seulement Dieu se révèle à nous, mais aussi il nous appelle à Lui. C’est au-delà de ce que peuvent accomplir la sagesse et la puissance humaines. Voyez donc
1) Le plaisir que Dieu se fait dans l’invitation de l’évangile – « …Il a plu à Dieu de sauver les croyants par la folie de la prédication » (1 Cor. 1:21). Le mot « prédication » ne revêt pas le même sens que celui évoqué au verset 18. L’accent est mis ici sur la proclamation du message glorieux de l’évangile. Paul nous apprend ici que le plaisir suprême de Dieu, ou plus littéralement “le bon plaisir de Dieu” c’est que les hommes et les femmes soient sauvés à travers la folie de la prédication. Y aurait-il quelque chose de plus majestueux et merveilleux que le fait que Dieu porte son cœur sur les fils des hommes et que par la folie de la prédication il leur communique le message rédempteur de la croix ? Mais considérez encore ce qui suit:
2) Le but de Dieu dans l’appel de l’évangile - “la prédication de la croix est une folie pour ceux qui périssent, mais pour nous qui sommes sauvés, elle est la puissance de Dieu” (1 Cor. 1:18) Voici un ensemble de mots qui englobe toute l’œuvre rédemptrice de Dieu en Christ. Rappelons-nous que tout homme en dehors de Christ est voué à la perdition. En effet, le verbe « périr » utilisé pour porter ce sens n’évoque pas la disparition, mais la ruine et la perte du bien-être. Une personne qui périt manque d’accomplir le but précis pour lequel Dieu l’a créée. Mais c’est dans ce sens que l’évangile de Jésus Christ lui est présenté pour la sauver et lui accorder la vie éternelle. L’idée derrière ce mot « sauvés » n’est pas seulement celle de la récupération mais aussi celle de la transformation. Mais remarquez une fois de plus ce que nous appelons:
3) Le processus divin dans l’appel de l’évangile - “Il a plu à Dieu de sauver les croyants par la folie de la prédication…Mais puissance de Dieu et sagesse de Dieu pour ceux qui sont appelés (1 Cor. 1:21, 24). Il y a deux mots qui résument le processus divin dans l’appel de l’évangile. L’un, c’est le mot « appel ». L’autre c’est le mot “croire”. L’un décrit l’offre de Dieu et l’autre évoque la réponse de l’homme. Jésus appelle toujours les hommes et les femmes à Lui ; et Dieu merci, les hommes et femmes de toute tribute, de toute langue et de toute lignée répondent à cet appel. Ce processus glorieux continuera jusqu’à ce que le corps de Christ soit complet.
Nous voyons donc que cet appel rédempteur de Dieu requiert un verdict. L’homme ne peut être confronté à la révélation et à l’appel de l’évangile sans donner une réponse. S’il croit, alors il est sauvé. S’il rejette l’appel, il périt.
Conclusion: Les croyants de Corinthe étaient divisés parce qu’ils avaient des notions erronées sur le message de l’évangile. C’est pourquoi Paul a pris la peine de définir clairement le caractère véritable de l’évangile dans le premier paragraphe. Après avoir suffisamment élaboré sur la question comme nous l’avons vu, il conclue en ces termes : «… la folie de Dieu est plus sage que les hommes, et la faiblesse de Dieu est plus forte que les hommes » (1 Cor. 1:25). Les philosophies et les démonstrations de puissance des hommes paraissent et disparaissent, mais l’évangile de Jésus Christ est et reste le même car il est le caractère de Christ Lui-même – “… le même hier, aujourd’hui et éternellement”.
Cinquième Partie: Plans de messages
Pour écouter la version audio de ces messages en Anglais, cliquez sur les liens suivants: Link 1 - Jn. 10:1-2; Link 2 - Jn. 10:3-4; Link 3 - Jn. 10:4-8; Link 4 - Jn. 10:9
Titre: Jésus est la porte (Jean. 10:1-9)
Point #1: Les faux leaders religieux sont des intrus (1-2)
1. Ils n’entrent pas par la porte mais par un quelconque autre moyen
2. Ils sont des voleurs et des brigands
Point #2: Les vrais leaders religieux sont des bergers (3-5)
1. Ils conduisent le peuple de Dieu en évoquant notre réponse (3a-b)
2. Ils conduisent le peuple de Dieu en nous lançant un appel (3c)
3. Ils conduisent le peuple de Dieu en nous donnant des directives (3d-4b)
4. Ils conduisent le peuple de Dieu en affermissant notre foi (4c-5)
5. Ils conduisent le peuple de Dieu nous conduisant à Christ (6-9)
a) Christ est la porte de la bergerie (7-8)
b) Christ est la porte du salut (9a)
c) Christ est la porte de la liberté (9b)
d) Christ est la porte du pâturage (9c)
Related Topics: Pastors
Jurnalul Electronic Al Păstorilor, Rom Ed 20, Editia de Vară 2016
Ediţia de Vară 2016
Autor: Dr. Roger Pascoe, Preşedinte,
Institutul de Predicare Biblică
Cambridge, Ontario, Canada
(http://tibp.ca/)

“Întărind Biserica în Predicare biblică şi conducere”
Partea I: Putere Pentru Predicare Pt. 3 Continuare
“Puterea Duhului Sfânt”
În ultimele trei ediţii ale acestui Jurnal am discutat despre puterea Duhului Sfânt în vederea predicării. În ultima ediţie am ridicat o serie de întrebări precum: (1) Ce înseamnă o predicare sub puterea Duhului? (2) De ce unii predicator par să aibă puterea Duhului în predicare, iar alţii nu?
În acest număr vom avea în atenție o altă întrebare: Care este diferența dintre ”umplerea” cu Duhul și ”împuternicirea” Duhului? Aici, este bine să reținem trei deosebiri între botezul, umplerea și împuternicirea Duhului (adaptare după Dr. Stephen F. Olford).
1. Botezul cu Duhul (1 Cor. 12:13) reprezintă ”poziția noastră spirituală” în Hristos. Acesta are loc o singură dată la nașterea din nou, atunci când suntem „locuiți” de Duhul Sfânt (1 Cor. 3:16; 6:19; 2 Tim. 1:14; Iacov 4:5). Toți credincioșii sunt botezați/locuiți de Duhul Sfânt.
2. Umplerea cu Duhul (Ef. 5:18) ne arată ”condiția noastră spirituală” în Hristos. Există un singur botez cu Duhul, dar mai multe umpleri cu El. Umplere înseamnă saturație, să nu mai fie loc pentru fire, pentru sine, pentru păcat. Nu e vorba despre venirea Duhului Sfânt (aceasta este o realitate a nașterii din nou). Mai degrabă înseamnă să fii controlat de Duhul, după cum am amintit deja. Este trăirea conform cu nașterea din nou și implică ascultare, supunere, dependență și credincioșie față de Duhul Sfânt, în fiecare zi. „Este trăire creștină normală și asemănare cu Hristos normală” (Olford, Predicarea expozitivă cu ungere, 216). Trebuie să fim „umpluți” de Duhul (Ef. 5:18). Aproape că avem o construcție imposibilă din punct de vedere gramatical – un imperativ la diateza pasivă; o poruncă să facem ceva ce ni se întâmplă nouă! Totuși, tensiunea aceasta se rezolvă astfel: noi ascultăm de poruncă îndepărtând în mod activ din viața noastră tot ceea ce ar întrista sau stinge Duhul (prin modul de viață, sfințenie etc.) și, în schimb, suntem controlați pasiv (ceva ce ni se face) de Duhul Sfânt pe măsură ce El lucrează în noi și prin noi, în viața și lucrările noastre.
3. Imputernicirea Duhului (Fapte 1:8) revigorează ”vocația noastră spirituală” în Hristos. Este nevoie de putere de la Duhul (1 Cor. 2:1-5;1 Tes 1:5) dacă dorim ca lucrările noastre să fie eficiente pentru Dumnezeu.
Noi nu putem să avem rezultate spirituale de unii singuri. Avem o vocație spirituală care presupune lucrarea Duhului, ca ea să fie eficientă. Deci, mai întâi trebuie să fim umpluți de Duhul înainte de a putea fi împuterniciți de El, astfel încât să fim eficienți în predicarea Cuvântului lui Dumnezeu. Aș spune că dacă suntem cu adevărat umpluți de Duhul, vom fi și împuterniciți de El.
Prin urmare, voi reveni la întrebare: De ce unii predicatori au împuternicirea Duhului, iar alții nu?Diferenţa dintre ei nu are nimic de-a face cu locuirea Duhului Sfânt, deoarece toți credincioșii sunt locuiți de Duhul Sfânt. Mai degrabă, diferența pare a fi făcută de ”umplerea” cu Duhul. Unii predicatori sunt ”umpluți” cu Duhul și, prin urmare, slujesc în ”puterea” Duhul, în vreme ce alții, nu. Dacă un predicator nu este ”umplut” cu Duhul, atunci este logic să deducem că predicat lui nu va fi însoțită de puterea Duhului Sfânt. Unii predicatori sunt dăruiți de Domnul să predice, în vreme ce alții nu. Totul ține de modul în care trăim (dacă ne supunem și suntem dependenți de Duhul, sau dacă trăim bazându-ne pe propriile resurse) și de darurile primite de la Dumnezeu.
Așadar, dacă în viața ta, în activități, în gânduri, dorințe etc. există ceva care l-ar ”întrista pe Duhul Sfânt” (Ef. 4:10), atunci Duhul Sfânt nu va fi activ în viața și lucrarea ta. Este imposibil. Nu neg suveranitatea și capacitatea Duhului de a folosi o măgăriță necuvântătoare, sau chiar oameni nemântuiți, pentru a-și îndeplini scopurile, însă principiul din viața credinciosului este că Duhul nu va lucra și nu va binecuvânta viețile noastre dacă nu sunt plăcute Lui. Tot astfel, dacă sunt lucruri în viața ta care ”sting Duhul” (1 Tes. 5:19), atunci Duhul nu va binecuvânta și nu va împuternici lucrarea ta.
Este corect și de așteptat să ne dorim împuternicirea Duhului în viețile și lucrările noastre. Într-adevăr, nu putem avea lucrări rodnice și semnificative fără împuternicirea Duhului și fără libertatea Lui de a lucra în noi și în viața ascultătorilor. Pentru a putea predica cu putere, trebuie să-i permitem Duhului să-și facă lucrarea în noisfințindu-ne (așa încât să fim folosiți de Dumnezeu), iluminându-ne (așa încât să înțelegem Cuvântul în mod corect) și împuternicindu-ne (așa încât să transmitem Cuvântul în mod corespunzător). Mai departe, Duhul lui Dumnezeu trebuie să-și facă lucrarea în ascultătoriconvingându-i în ce privește păcatul, judecata și neprihănirea (In. 16:11) și transformându-i în oameni ai lui Dumnezeu, în urmași ai lui Hristos. Aceasta este dovada împuternicirii și a binecuvântării Duhului Sfânt – vase folositoare Stăpânului și ascultători ai căror vieți sunt schimbate în mod radical.
Permiteți-mi să adaug un cuvânt de avertizare și unul de încurajare. Întâi de toate, un cuvânt de avertizare. Vegheați să nu „aveți o formă de evlavie, dar tăgăduindu-i puterea” (2 Tim. 3:5). Aveți grijă să nu credeți că dacă puteți crea o anumită atmosferă în adunare, sau dacă obțineți un anumit răspuns de la oameni, aceasta înseamnă că predicați cu putere. Luați seama să nu vă focalizați pe experiențe, fenomene și sentimente subiective, ratând adevărata lucrare a Duhului. Fiți atenți să nu confundați predicarea în puterea cărnii cu predicarea în Duhul. „Când predici în puterea cărnii, te simți înălțat și entuziasmat. Când predici în puterea Duhului ești umplut cu o uimire plină de smerenie la vederea lucrării lui Dumnezeu”(Martyn Lloyd-Jones, citat în Arturio G. Azurdia III, Predicarea sub puterea Duhului, Christian Focus Publications, 2003, prefață).
Trebuie să fim convinși, de fiecare dată, că „mesajul pe care îl predic nu va ajuta pe nimeni dacă nu este însoțit de Duhul lui Dumnezeu”(Stuart Olyott, Predicarea curată și simplă, Wales, Bryntirion Press, 2005, 154). Numai împuternicirea Duhului lui Dumnezeu poate produce rezultate spirituale. De unii singuri, nu putem face nimic!
Cum știi, așadar, dacă predici cu puterea și binecuvântarea Duhului lui Dumnezeu? Știi acest lucru atunci când Cuvântul lui Dumnezeu aplicat de Duhul lui Dumnezeu produce un răspuns din partea oamenilor. Știi că viețile oamenilor sunt schimbate atunci când unii sunt salvați, căsniciile sunt restaurate, relațiile sunt vindecate, oamenii devin ucenici mai devotați ai lui Hristos, oamenii devin mai preocupați de Cuvânt etc.
Acum, un cuvânt de încurajare. Această analiză a „împuternicirii” (ungere) Duhului trebuie să fie o mare încurajare pentru predicatori, care zi de zi și an de an îl slujesc pe Domnul în tăcere, care sunt credincioși, explicând și aplicând Cuvântul lui Dumnezeu cu acuratețe, care se încred în Duhul lui Dumnezeu că va lua Cuvântul și îl va folosi pentru convertirea sufletelor și transformarea vieților, așa încât oamenii să devină ucenici dedicați ai Domnului Isus ”până vom ajunge la unirea credinței și a cunoștinței Fiului lui Dumnezeu, la desăvârșire, la statura de om mare a plinătății lui Hristos (Ef. 4:13).
Aceasta este lucrarea împuternicită de Duhul. Ține de predicarea unei persoane a cărei singură dorință este să-l glorifice pe Dumnezeu, să-l înalțe pe Hristos, cu scopul de „a înfățișa pe fiecare persoană desăvârșită în Hristos Isus” (Col. 1:29). Ceea ce trebuie să căutăm în predicarea noastră este ca binecuvântarea lui Dumnezeu să fie manifestată în următoarele moduri: (1) roade în lucrare (oameni salvați; oameni care cresc în Hristos etc.) (2) roadă spirituală în viețile noastre (Gal. 5:22), (3) confirmarea liderilor bisericii în ceea ce privește lucrarea noastră (4) centralitatea lui Hristos și gloria lui Dumnezeu în predicare.
Acelor pastori și predicatori care nu văd rezultate înainte, în timpul sau după predicare, le spun să aibă îndrăzneală: „Dar Dumnezeu a ales lucrurile nebune ale lumii, ca să facă de ruşine pe cele înţelepte. Dumnezeu a ales lucrurile slabe ale lumii, ca să facă de ruşine pe cele tari. Şi Dumnezeu a ales lucrurile josnice ale lumii şi lucrurile dispreţuite, ba încă lucrurile care nu sunt, ca să nimicească pe cele ce sunt; pentru ca nimeni să nu se laude înaintea lui Dumnezeu…. pentru ca, după cum este scris: "Cine se laudă să se laude în Domnul." (1 Cor. 1:27-29, 31).
Fie ca aceasta să fie o încurajare pentru noi toți, ca predicatori, să știm că noi nu putem îndeplini mărețele scopuri ale lui Dumnezeu în viețile ascultătorilor; este necesar să avem vieți sfinte, să ne rugăm, să fim dependenți de Duhul lui Dumnezeu și atunci vom fi folosiți de Dumnezeu în scopurile Sale suverane. Uneori vom vedea clar aceste rezultate, dar de multe ori, nu. Mângâierea noastră este că lucrarea îi aparține lui Dumnezeu – numai El poate salva suflete, doar El poate schimba viețile oamenilor. Fără această asigurare, lucrarea noastră poate să fie descurajantă, însă știind aceste lucruri, putem să slujim cu împlinire.
Partea A II-A: Pregătire Pentru Predicare
Schiţa de Predică
Până în punctul acesta privitor la ”pregătirea pentru predicare” am discutat despre alegerea textelor și a subiectelor, despre studierea textului, despre anliza și înțelegerea textului și despre identificarea structurii textului. Acest proces poate fi atât entuziasmant cât și descurajator – entuziasmant atunci când descoperi dezvoltarea argumentului unui pasaj (de ex. structura unui text), iar descurajator, atunci când muncești ore întregi și nu reușești să o descoperi. Probabil că vă dați seama de ce pregătirea unei predici este o muncă dificilă.
În sfârșit, ești pregătit să pregătești schița unei predici, însă poate că întrebi: „Care este diferența între structura textului și schița unei predici? Nu sunt ele același lucru? Pentru unii predicatori ele constituie același lucru – mulți predicatori prezintă mesajele pe baza structurii textului, ceea ce este în regulă, însă nu tocmai cel mai bun lucru, întrucât schița de predică trebuie să reflecte principiile teologice și aplicațiile textului pentru noi astăzi, astfel încât ascultătorii să poată vedea cum li se aplică și lor. Una dintre slujbele noastre ca predicatori este să construim poduri între textul antic, oameni, limbaj, cultură și lumea noastră prezentă.
Astfel dar, deși schița unei predici decurge din structura textului, ea diferă de cea din urmă, prin aceea că va determina modul în care vei prezenta ceea ce spune textul. În momentul în care ai stabilit structura textului, știi subiectul pasajului și ceea ce spune autorul despre subiect (complementele). Cu alte cuvinte, știi ce a scris autorul și cum și-a aranjat el materialul. Acum, va trebui să decizi cum vei predica teologia din acel text, aplicând-o audienței de astăzi. Cred că probabil aceasta este cea mai importantă funcție a unui predicator, deoarece în general ascultătorii nu fac de unii singuri acest lucru. Ei citesc Biblia și înțeleg ce spune, însă adeseori nu înțeleg ce semnifică și ce implică (cum se aplică) textul pentru noi astăzi. Este datoria noastră să comunicăm acest lucru.
O altă întrebare la care ne gândim este „De ce e necesar ca predicile noastre să aibă o schiță?” Mulți predicatori nu folosesc schițele și, în consecință, nu reușesc să explice semnificația teologică și implicațiile textului, și nici aplicația contemporană pentru ascultători. Predicile noastre trebuie să fie structurate din următoarele motive:
1. Întreaga Biblie este structurată. Fiecare autor biblic urmărește un scop atunci când scrie. Nicio carte biblică nu este scrisă din întâmplare (fără structură și scop).
2. Dacă nu ai o schiță care să decurgă din structura textului, nu vei avea o predică logică pe care să o poată urmări oamenii.
3. Dacă nu ai o structură bibică și clară vei eșua în a predica un mesaj biblic și clar.
Schița unei predici constituie „scheletul” ei, iar pe acest schelet se va dezvolta întregul mesaj, ajungându-se la o structură potrivit pentru expunere. Conținutul predicii este divizat și prezentat pe baza punctelor principale.
O bună schiță de predică îndeplinește următoarele funcțiuni:
1. Împarte mesajul în ”puncte principale” (diviziunile predicii).
2. Te ajută să prezinți curgerea argumentului cu claritate, ordine, unitate, progres, bună acoperire.
3. Te menține pe traiectoria bună, fără a te lăsa să te pierzi, omițând aspecte importante.
4. Păstrează un echilibru între introducere, cuprins (explicație, ilustrație, aplicație) și încheiere.
5. Controlează lungimea mesajului, astfel încât acesta să nu fie prea lung sau prea scurt.
6. Slujește ca o hartă (sau cuprins) pe baza căreia ascultătorii pot urmări mesajul.
7. Ajută ca ascultătorii să poată memora mai ușor mesajul.
Schița unei predici împarte subiectul unei predici în diviziuni majori, care formează punctele principale ale predicii. Apoi, punctele principale pot fi împărțite mai departe în sub-puncte care au rolul de a clarifica diviziunile principale. Totuși, nivelul la care îți vei împărți mesajul ține de preferința personală. Cred că este mai ușor pentru ascultători să te urmărească dacă vei folosi doar puncte principale în schița ta și să predici sub-punctele doar ca pe un material explicativ al punctelor principale. Altminteri, audiența poate pierde ușor firul argumentării. Eu încerc să-mi formulez punctele principale folosind cuvinte comune și repetându-le pe măsură ce avansez. De exemplu, Filipeni 1:19-20 poate fi schițat în felul următor:
1. Putem avea încredere în rugăciunile poporului lui Hristos (19a)
2. Putem avea încredere în darurile Duhului lui Hristos (19b)
3. Putem avea încredere în păstrarea mărturiei lui Hristos (20).
Nu îți dorești niciodată ca schița de predică să fie mai importantă decât mesajul în sine, sau să fie doar pentru a-i impresiona pe oameni. Schița dă, pur și simplu, o structură mesajului.
Punctul de pornire pentru schița de predică îl constituie ideea principală (subiectul) pasajului. Este important să notați ideea principală și afirmațiile despre acea idee (complementele) pentru a alcătui nucleul predicii.
Fiecare predică trebuie să aibă o structură. Componentele structurale ale fiecărei predici sunt: (1) începutul (introducerea); (2) cuprinsul (expunerea) și (3) încheierea (concluzia, sumarul). La rândul lor, aceste elemente structurale trebuie să atingă următoarele obiective:
1. Introducerea trebuie…
a) Să atragă atenția audienței
b) Să creeze o nevoie la care va răspunde predica
c) Să facă o legătură cu textul Scripturii
d) Să afirme subiectul
e) Să afirme teza (ideea de bază a predicii)
f) Să facă tranziția către cuprinsul predicii
2. Cuprinsul predicii este locul în care….
a) vei afirma și vei explica punctele principale
b) vei ilustra punctele acolo unde este necesar și potrivit
c) vei aplica învățătura la viața ascultătorilor
3. în încheiere vei…
a) sumariza punctele prezentate în mesaj
b) ajuta audiența să vizualizeze adevărul prezentat – să înțeleagă cum se regăsește acel mesaj în viața de zi cu zi
c) provoca audiența să actualizeze mesajul – să îl pună în practică, să răspundă la mesajul pe care tocmai l-au auzit.
Începând cu următoarea ediție a Jurnalului, voi acoperi aceste secțiuni din schița unei predici, în ordinea în care trebuie să le pregătim (nu ordinea în care le predici), după cum urmează:
1. Alcătuirea punctelor principale.
2. Afirmarea tezei – unii numesc aceasta, propoziție, sau „predica într-o propoziție”
3. Schițarea cuprinsului predicii – explicația (inclusiv ilustrațiile) și aplicațiile
4. Structurarea încheierii predicii
5. Alcătuirea introducerii.
Partea A III-A. Devoțional
“Caracterul Evangheliei” (1 Cor. 1:18-25)
De: Dr. Stephen F. Olford
Ajungem acum la unul din cele mai revelatoarea pasaje despre Evanghelie și natura slujirii creștine, din Noul Testament. Pavel a tratat problema disensiunilor din biserică, iar acum prezintă cauzele acelor separări; până în capitolul 4 el răspunde la două înțelegeri greșite care sunt parte esențială în asemenea certuri. Prima, are de-a face cu o înțelegere greșită despre mesajul creștin (1:18-3:4), iar a doua ține de o înțelegere eronată despre slujirea creștină (3:5-4:5). Pentru început, să privim la erorile legate de mesajul creștin, mai precis este vorba despre deficiențe în înțelegerea caracterului Evangheliei. Acesta este mesajul nostru de astăzi, bazat pe 1Corinteni 1:18-25.
Să ne amintim că Pavel i se adresează unei biserici afectate de dezbinări. După cum am remarcat anterior, existau cel puțin patru partide cu propriile păreri. O parte din problemă o constituia faptul că cei credincioși era atrași spre oameni, mai degrabă decât spre Stăpân, însă exista și tendința de a-l înălța pe mesager în locul mesajului. Așadar, Pavel este obligat să facă o prezentare clară a caracterului Evangheliei. Întâi de toate el vorbește despre:
I. Evanghelia Ca Revelație Distinctă A Lui Dumnezeu Față De Om
„Fiindcă propovăduirea crucii este o nebunie pentru cei ce sunt pe calea pierzării; dar pentru noi, care suntem pe calea mântuirii, este puterea lui Dumnezeu.” (1 Cor. 1:18). Pavel nu accentuează aici atât de mult prezentarea Evangheliei, pe cât are în vedere „cuvântul” Evangheliei, ca ceva distinct de cuvintele de înțelepciune la care face referire în versetul 17. Obiectivul său major este să indice spre unicitatea Evangheliei ca fiind revelația înțelepciunii și puterii lui Dumnezeu. Acestea erau cuvintele cheie ale lumii antice. Grecii căutau întotdeauna înțelepciunea, în vreme ce evreii erau obsedați de semne. Astfel, Pavel delimitează caracterul distinctiv al Evangheliei arătând:
1) înțelepciunea lui Dumnezeu în contrast cu înțelepciunea oamenilor – „…Hristos, puterea și înțelepciunea lui Dumnezeu ” (1 Cor. 1:24). Pavel nu lasă nicio îndoială cu privire la ceea ce înțelege el prin înțelepciunea lui Dumnezeu. Puțin mai departe în paragraf, el spune: „… în Hristos Isus… Dumnezeu a fost făcut pentru noi înțelepciune, neprihănire, sfințire și răscumpărare.” (1 Cor. 1:30). Nu există o afirmație mai mare despre mesajul salvării depline decât ceea ce este cuprins în acest verset.
în primul rând, Hristos este neprihănirea noastră. Noi am fost îndreptățiți în fața unui Dumnezeu sfânt în și prin Hristos. Acest aspect al Evangheliei răspunde la vechea întrebare: „Cum poate fi omul îndreptățit înaintea lui Dumnezeu” (Iov 25:4). Noi cunoaștem dreptatea lui Dumnezeu, imputată nouă prin credința în Fiul Său, pe baza faptului că Hristos a murit și a înviat ca să ne îndreptățească.
În al doilea rând, Hristos este sfințirea noastră. Nu am putea niciodată să obținem sfințenia prin propria putere, însă sfințirea este obținută zi de zi prin faptul că Hristos locuiește în noi. Această lucrare a harului ne pune deoparte cu totul pentru scopurile lui Dumnezeu. În termenii comportamentului, aceasta înseamnă o trăire practică a ceea ce suntem deja la nivel pozițional în Hristos. În al treila rând, Hristos este răscumpărarea noastră. Acest cuvânt înseamnă „a elibera”, sau „a da drumul”. În contextul nostru se referă nu doar la eliberarea de sub pedeapsa și puterea păcatului, ci însăși de sub esența acestuia. Este actul final al lui Dumnezeu prin care vom fi făcuți asemenea lui Hristos, la venirea Sa.
Ce descoperire a înțelepciunii lui Dumnezeu în Evanghelia Domnului Isus Hristos! În contrast, Pavel descrie înțelepciunea oamenilor. El este de acord cu Iacov că înțelepciunea lumească este…„pământească, firească, drăcească” (Iacov 3:15). Înțelepciunea lumească este pământească. „…Caci intrucat lumea, cu intelepciunea ei, n-a cunoscut pe Dumnezeu in intelepciunea lui Dumnezeu, Dumnezeu a gasit cu cale sa mantuiasca pe credinciosi prin nebunia propovaduirii crucii.” (1 Cor. 1:21). Iată un aspect important pe care nu trebuie să îl uităm: Dumnezeu, în înțelepciunea Sa a decretat ca lumea, prin propria ei înțelepciune, să nu îl poată cunoaște pe Dumnezeu. Aspectul acesta înlătură pentru totdeauna noțiunea că omul, prin rațiunea sa și prin realizările sale intelectuale poate să îl găsească pe dumnezeu, să nu mai vorbim de cunoașterea Lui. Educația omenească, în cea mai bună formă a ei, este total inadecvată. Înțelepciunea lumească este firească. Acesta este motivul pentru care Pavel spune cu un iz ironic, „….grecii caută înțelepciunea„ (1 Cor. 1:22). Nu există nimic care să-i atragă pe oamenii firești, sau carnali, mai mult decât așa-numita „abordare intelectuală” uzitată de predicatorii sofisticați și de oratorii cu gură de aur. Înțelepciunea lumească este drăcească. Este descrisă așa din pricină că este asociată cu diavolul care a căzut din cauza mândriei. Acesta este motivul pentru care filosofia omenească nu este nimic mai mult decât aroganță intelectuală și îngâmfare. Fiecare mișcare ce a subestimat autoritatea Scripturii – numiți-o cum vreți: modernism, liberalism sau umanism – este parte a acestei abordări filosofice. Din cauza mândriei umane, oamenii caută să fie asociați cu nume faimoase ale abordărilor filosofice, fără a ține seama de faptul că Biblia le condamnă ca fiind drăcești.
Prin urmare, Pavel le reamintește corintenilor: „… Caci este scris: "Voi prapadi intelepciunea celor intelepti si voi nimici priceperea celor priceputi." Unde este inteleptul? Unde este carturarul? Unde este vorbaretul veacului acestuia? N-a prostit Dumnezeu intelepciunea lumii acesteia?” (1 Cor. 1:19-20). Scopul acestui citat este de a arătat că omul trebuie să învețe că toate planurile și eforturile sale de a-și realiza propria salvare sunt zadarnice. Dumnezeu salvează numai prin cuvântul crucii (Isaia 29:14). Al doilea citat din Isaia 33:18 ilustrează cum, în cele din urmă, Dumnezeu a adus confuzie în sfaturile omenești date de conducătorii evrei. Ceea ce el a făcut în acele zice din trecută, el va continua să lucreze și atunci când oamenii nu vor renunța la raționamentele lor filosofice în favoarea înțelepciunii lui Dumnezeu. Atunci când descrie această revelație distinctă a lui Dumnezeu, Pavel nu doar că pune în contrast înțelepciunea lui Dumnezeu cu cea a oamenilor, mai mult chiar:
2) Puterea lui Dumnezeu este pusă în contrast cu puterea oamenilor - „Fiindca propovaduirea crucii este o nebunie pentru cei ce sunt pe calea pierzarii; dar pentru noi, care suntem pe calea mantuirii, este puterea lui Dumnezeu.” (1 Cor. 1:18).Cât de mult ne amintește această afirmație de ceea ce spunea Pavel în Romani 1:16 „Căci mie nu mi-e rușine de Evanghelia lui Hristos, fiindcă ea este puterea lui Dumnezeu pentru mântuirea fiecăruia care crede; întâi a iudeului, apoi a grecului”. În inima Evangheliei se află însăși dinamica lui Dumnezeu care are putere de a salva și răscumpăra. Nu există nimic altceva în întreg universul care să poată transforma viețile oamenilor, așa cum o face Evanghelia Domnului nostru Isus Hristos. Puterea crucii este singurul răspuns pentru păcatul omenesc. În contrast cu acesta, există puterea vanitoasă a omului. „Evreii cer semne…” (1 Cor 1:22). După cum afirmă Leon Morris, „De-a lungul istoriei lor, evreii s-au axat pe fapte. Ei au manifestat un interes scăzut pentru gândirea speculativă. Ei cereau dovezi, iar interesul lor a fost pentru lucrurile practice. Ei se gândeau la Dumnezeu ca manifestându-se în istorie, prin semen și mari minuni”. Acesta este motivul pentru care evrei căutat în continuu semen din partea Domnului, în timpul lucării Sale terestre (Matei 12:38; 6:1, 4; Marcu 8:11; Ioan 6:30). Ei se gândeau la Mesia ca la Cineva care avea să-și demonstreze autoritatea prin manifestări izbitoare ale puterii și maiestății Sale. Pentru ei, un Hristos crucificat constituia o contradicție în termeni. Așadar, Pavel își sumarizează analiza sa în ce privește înțelepciunea și puterea divină, în contrast cu înțelepciunea și puterea lumească, prin cuvintele extradordinare din verstele 22, 23 și 24: „Iudeii, intr-adevar, cer minuni, si grecii cauta intelepciune; dar noi propovaduim pe Hristos cel rastignit, care pentru iudei este o pricina de poticnire, si pentru Neamuri, o nebunie; dar pentru cei chemati, fie iudei, fie greci, este puterea si intelepciunea lui Dumnezeu.”
A doua caracteristică a Evangheliei, despre care a vorbit Pavel, a fost:
II. Evanghelia Ca Invitație Răscumpărătoare Adresată De Dumnezeu Omului
„Dar pentru cei ce sunt chemați, atât iudei cât și greci, este puterea și înțelepciunea lui Dumnezeu ” (1 Cor. 1:24). Aici ne este prezentată balanța perfectă a Evangheliei creștine. Nu numai că Dumnezeu ne oferă o descoperire de Sine, El ne face și o invitație spre Sine însuși. Aceasta este mai mult decât pot face înțelepciunea și puteera omenească. Observați apoi:
1) Plăcerea lui Dumnezeu în invitația făcută de Evanghelie - …„Dumnezeu a găsit cu cale să mântuiască pe credincioși prin nebunia propovăduirii crucii” (1 Cor. 1:21). Cuvântul „predicare” nu este același cu cel găsit în versetul 18. Accentual cade aici asupra proclamării mesajului glorios al Evangheliei. Pavel ne spune aici că plăcerea supremă a lui Dumnezeu, literal, „buna plăcere a lui Dumnezeu” este ca prin nebunia predicării crucii, bărbații și femeile să poată fi salvați. Poate fi ceva mai minunat, decât ca Dumnezeu să-i iubească pe oameni și ca prin nebunia propovăduirii crucii să le vestească mesajul salvării? Gândiți-vă mai departe la:
2) Scopul lui Dumnezeu în invitația făcută prin Evanghelie - „Fiindca propovaduirea crucii este o nebunie pentru cei ce sunt pe calea pierzarii; dar pentru noi, care suntem pe calea mantuirii, este puterea lui Dumnezeu.” (1 Cor. 1:18). Aici găsim o combinație de cuvinte prin care se acoperă întreaga lucrare salvatoare a lui Dumnezeu în Hristos. Să ne amintim că fiecare persoană separată de Hristos este pierdută. Într-adevăr, cuvântul redat prin ”pierzare” denotă nu distrugere, ci ruina și pierdeera bunăstării. O persoană care piere, eșuează să împlinească scopul pentru care a creat-o Dumnezeu. Aici intervine Evanghelia lui Isus Hristos, cea care îl întâmpină pe om și în salvează, oferindu-i viață veșnică. Ideea din spatele termenul „salvat”, nu este doar una de îmbunătățire, ci de transformare.
Să luăm seama la ceea ce numim:
3) Procesul divin în contextul invitației făcute prin Evanghelie -…„Dumnezeu a găsit cu cale să mântuiască pe credincioși prin nebunia propovăduirii crucii”… dar pentru cei chemati, fie iudei, fie greci, este puterea si intelepciunea lui Dumnezeu.” (1 Cor. 1:21, 24). Există două cuvinte prin care se sumarizează procesul divin în privința invitației făcute prin Evanghelie. Unul dintre acestea este „chemare”, iar celălalt este „credință”. Primul descrie oferta lui Dumnezeu, în vreme ce al doilea pune în lumină răspunsul omului. Isus îi cheamă întotdeauna pe bărbați și femei la Sine și, slavă Domnului, oameni de orice neam, seminție și limbă, răspund. Acest proces glorios va continua până când Trupul lui Hristos va fi complet.
Astfel dar, vedem că această invitație răscumpărătoare făcută de Dumnezeu cere un verdict. Omul nu poate fi confruntat niciodată cu revelația și invitația Evangheliei fără a oferi un răspuns. Dacă crede, va fi mântuit, iar dacă o respinge va fi pierdut.
Concluzie: credincioșii corinteni erau dezbinați din pricină că aveau noțiuni greșite cu privire la mesajul Evangheliei. Acesta este motivul pentru care Pavel va face eforturi în acest prim paragraf, să prezinte adevăratul caracter al Evangheliei. După ce a abordat acest subiect, așa de cuprinzător după cum am remarcat, el concluzionează prin următoarele cuvinte: „nebunia lui Dumnezeu este mai înțeleaptă decât oamenii; și slăbiciunea lui Dumnezeu este mai tare decât oamenii” (1 Cor. 1:25). Filosofiile și demonstrațiile umane ale puterii pot veni și pleca, însă Evanghelia lui Isus Hristos rămâne neschimbată, din pricină că la baza ei se află însuși Hristos Domul, „Același ieri, azi și în veci.”
Partea A IV-A: Schițe De Predici
Pentru a asculta versiunea audio a acestor predici în limba engleză, vă rog să accesați următoarele link-uri: Link 1 - In. 10:1-2; Link 2 - In. 10:3-4; Link 3 - In. 10:4-8; Link 4 - In. 10:9
Titlu: Isus este Ușa (In. 10:1-9)
Punctul #1: Liderii religioși falși sunt niște intruși (1-2)
1. Ei nu intră pe ușă, ci prin altă parte
2. Ei sunt hoți și tâlhari
Punctul #2: Adevărații lideri religioși sunt păstori (3-5)
1. Ei conduc poporul lui Dumnezeu așteptând un răspuns din partea noastră (3a-b)
2. Ei conduc poporul lui Dumnezeu făcându-ne o chemare (3c)
3. Ei conduc poporul lui Dumnezeu oferindu-ne călăuzire (3d-4b)
4. Ei conduc poporul lui Dumnezeu câștigând încrederea noastră(4c-5)
5. Ei conduc poporul lui Dumnezeu atrăgându-ne spre Hristos (6-9)
a) Hristos este Ușa oilor (7-8)
b) Hristos este Ușa salvării (9a)
c) Hristos este Ușa libertății (9b)
d) Hristos este Ușa hranei (9c)
Related Topics: Pastors
The Net Pastors Journal, Rus Ed 20, Летнее издание 2016
Летнее издание 2016
Автор:
Др. Роджер Паскоу, президент
Институт Библейского проповедования
Кембридж, Онтарио, Канада
(http://tibp.ca/)

“Укреплять Церковь через Библейскую Проповедь и Руководство”
ЧАСТЬ I: СИЛА ПРОПОВЕДИ, Ч. 3 продолжение
“Сила Святого Духа”
В последних трех изданиях этого журнала мы обсуждали тему о силе Святого Духа для проповедования. В последнем издании, мы задали несколько вопросов, таких как: (1) Какая Проповедь является вдохновленной Богом? (2) Почему некоторые проповедники имеют силу Духа Святого, а другие - нет?
В этом выпуске мы будем рассматривать другой вопрос: В чем разница между «наполнением» Духом и «усилением» Духом? Здесь важно понимать три различия между крещением, наполнением и усилением Духа (адаптировано профессором Стивеном Ф. Олфордом).
1. Крещение Духом (1 Кор. 12:13) представляет нашу "духовную позицию" во Христе. Это происходит только один раз в момент нашего рождения заново, в это время мы как бы "живем внутри" Святого Духа (1 Кор. 3:16; 6:19; 2 Тим. 1:14; Иакова 4: 5). Все верующие крестятся / внутри них живет Святой Дух.
2. Наполнение Духом (Еф. 5:18) показывает наше «духовное состояние» во Христе. Существует одно крещение Духом, но много наполнений Духом. Наполнение означает насыщение, нет места ни для плоти, ни для себя, ни для греха. Это не просто присутствие Духа внутри (то есть факт нового рождения). Оно - под контролем Духа, как мы уже говорили. Это - функция жизни в соответствии с новым рождением. Это предполагает послушание кому-либо и подчинение, зависимость от кого-то и верность Святому Духу в повседневной жизни. "Это - обычная христианская жизнь и уподобление Христу" (Олфорд, Помазанная экспозиционная проповедь, с. 216). Мы должны "быть наполнены" Духом (Еф. 5:18). Это почти похоже на невозможность в грамматике - императив в пассивном залоге; команда сделать что-то, что уже сделано для нас! Но конфликт решается следующим образом: мы подчиняемся команде, активно избавляя свою жизнь от чего-либо, что может огорчить Святого Духа или затушит Его огонь (силой нашей жизни, святостью и т. д.) и, в ответ, мы пассивно (то есть это было сделано для нас) находимся под контролем Духа, по мере того, как Он действует в нас и через нас в нашей жизни и служении.
3. Усиление Духа (Деяния 1: 8) делает эффективным наше "духовное призвание" во Христе. Для того, чтобы наше служение было эффективным для Бога, мы должны быть наделены силой Духа (1 Кор. 2:1-5; 1 Фессалоникийцам 1:5). Мы не можем достигнуть духовных результатов своими силами. Мы вовлечены в духовное призвание, которое требует эффективности Духа в нас для того, чтобы мы были продуктивными. Таким образом, мы сначала должны быть исполнены Духом, прежде чем мы сможем быть наделены силой Духа для эффективной проповеди Слова Божьего. И я бы сказал, что если мы действительно наполнены Духом, то мы будем иметь и силу Духа в нашей проповеди.
Итак, позвольте мне задать тот же вопрос, как в прошлый раз: Почему некоторые проповедники наделены силой Духа, а другие - нет? Разница не имеет ничего общего с пребывающим Духом во всех верующих, в ком пребывает Дух. Скорее всего разница лежит в «наполненности» Духом. Одни проповедники "наполнены" Духом и, таким образом, могут служить в «силе» Духа, а другие - нет. Если проповедник не "наполняется" Духом, то само собой разумеется, его проповедь не будет сопровождаться силой Духа. Одни проповедники живут в послушании Духу, а другие - нет. Одни проповедники одарены Духом, чтобы проповедовать, а другие - нет. Это все вопрос в том, как мы живем (находимся ли мы в подчинении и зависимости от Духа, или мы живем своими собственными ресурсами) и какими дарами наделил нас Бог.
Поэтому, если есть в вашей жизни мысли, желания и т.д. - все, что может "оскорбить Святого Духа" (Еф. 4:10), тогда Святой Дух не будет активен в вашей жизни и в служении. Это невозможно. Я не отрицаю суверенитет Духа, в том чтобы использовать даже тупых ослиц или не спасенных людей для достижения своих целей, но принцип в жизни верующего тот, что Дух не действует для благословения, когда наша жизнь не соответствует, когда Он не может пребывать в нас. Точно так же, если есть вещи в вашей жизни, что могут "угасить Дух" (1 Фес. 5:19), то Дух не будет активен в том, чтобы благословить ваше служение Его силой.
Это справедливо и правильно, то, что мы должны хотеть силу Духа Святого в нашей жизни и в служении. Действительно, мы не можем вести значимое и плодотворное служение без силы Духа Святого и свободы Духа, чтобы делать свою работу в нас и с нашей аудитории.
Для того, чтобы проповедовать с силой, мы должны позволить Духу Божьему сделать Его работу в нас, освятить нас (так чтобы мы были угодны Ему), просвещая нас (так, что мы понимаем Слово правильно), и помогая нам (так что мы можем выразить Слово, как надо). И Дух Божий должен служить нашей аудитории, обличая их во грехе, праведности и о суде, что будет (Ин. 16:11), и преобразовывая их в народ Божий, последователей Христа. Это является свидетельством силы и, следовательно, благословения Духа Святого - сосуды, которые могут быть использованы для служения Учителем и людей, чья жизнь радикально изменилась.
А теперь позвольте мне сказать слово предупреждения и слова ободрения. Во-первых, предупреждение. Остерегайтесь "имеющих вид благочестия, силы же его отрекшихся" (2 Тим. 3: 5). Остерегайтесь того, чтобы думать, что вы можете создать определенную атмосферу в собрании или вытягивать определенный ответ из них, когда вы проповедуете с властью. Остерегайтесь опыта, явлений и личностных ощущений, в то время как можете упустить истинную работу Духа Святого. Помните, что вы не должны путать проповеди по плоти с проповедью в Духе. "Когда вы проповедуете по плоти, вы чувствуете себя возвышенно и приподнято. Когда вы проповедуете в силе Духа, вы наполнены в смирении трепетом от того, что делает Бог "(Мартин Ллойд-Джонс, цитирует в Arturio Г. Azurdia III, Проповедь в силе Духа, Издание Христианский Фокус 2003, предисловие).
Мы должны быть уверены каждый раз, когда мы проповедуем, что "послание, что я несу, не может сделать ничего хорошего, если оно не в силе Духа Божьего" (Стюарт Олиотт, Проповедуя чисто и просто, Уэльс, Bryntirion Press, 2005, 154). Только сила Духа Божьего может произвести изменения в духовной жизни. Своими силами, мы не сможем добиться ничего.
Как вы знаете что вы проповедуете с силой и благословением Духа Божия? Вы знаете это, когда Слово Божие применено в силе Духа Бога и производит реакцию на Слово в аудитории. И вы знаете, что жизнь людей изменяется, когда люди спасаются, браки восстанавливаются, отношения исцеляются, люди становятся более посвященными учениками Христа, люди становятся более поглощенными Словом и т.д.
Теперь, слово ободрения. Этот анализ «силы» (помазания) Духа должен быть большим стимулом для проповедников, которые изо дня в день, из года в год, тихо служат Богу, которые добросовестно и точно объясняют и применяют Слово Божье, которые доверяют Духу Божьему, принимают Его Слово и используют его для того, чтобы души спасались и жизни преобразовывались, таким образом, чтобы все становились преданными последователями Христа "доколе все не придем в единство веры и познания Сына Божия, в совершенного человека, в меру полного возраста Христова "(Еф. 4:13).
Это наполненное силой служение Духа. Это проповедь того, чье единственное желание - прославить Бога, возвеличить Христа, с целью "представить каждого человека совершенным во Христе Иисусе" (Кол 1:29). Я бы сказал, что мы должны искать в нашей проповеди Божьего благословения, которое будет проявляться следующим образом: 1. плодами нашего служения ( спасенными людьми, теми, кто возрастает во Христе и т.д.), 2. духовными плодами в нашей собственной жизни (Гал. 5:22), 3. подтверждением лидеров церкви нас для служения, и 4. Христос как центр нашей проповеди для Божьей славы.
Итак, для тех пасторов и проповедников, которые не видят видимых результатов до, во время или после проповеди, мужайтесь. "Бог избрал немудрое мира, чтобы посрамить мудрых, и Бог избрал немощное мира, чтобы посрамить сильное и незнатное мира и уничиженное и ничего не значащее, чтобы упразднить значащее, для того, чтобы никакая плоть не хвалилась пред Богом ... что, как написано: «Хвалящийся хвались Господом" "(1 Кор 1:. 27-29, 31).
Пусть эта статья быть стимулом для всех нас как проповедников, что мы не можем достичь великих целей Бога в жизни наших слушателей, но через живую святую угодную Богу жизнь, через молитву, и зависимость от Духа Божия, мы можем быть использованы Богом для Его суверенных целей. Иногда мы можем знать некоторые из этих результатов, но зачастую - не можем. Наш покой в том, что эта работа - Божья - только Он может спасти души; только Он может изменить жизнь людей. Без этой уверенности наше служение будет вялым. Но с этой уверенностью наше служение будет эффективным.
ЧАСТЬ II: ПОДГОТОВКА К ПРОПОВЕДИ
ПЛАН ПРОПОВЕДИ
До этого момента, в нашем обсуждении "ПОДГОТОВКИ к проповеди" мы говорили о выборе текста и темы, изучении текста, анализа и понимания текста, и определении структуры текста. Этот процесс может быть одновременно интересным и грустным - захватывающим, когда вы обнаруживаете поток мысли в Писании (то есть структуру текста), но разочарование наступает, когда вы работаете с ним в течение нескольких часов и не обнаруживаете его. Может быть, теперь вы понимаете, почему подготовка к проповеди - тяжелая работа.
Но вот, наконец, вы готовы к тому, чтобы подготовить план проповеди. Возможно, вы задаетесь вопросом: "В чем разница между структурой текста и набросками проповеди? Они - не то же самое? "Для некоторых проповедников обе вещи - одинаковы. Многие проповедники проповедуют структуру текста - и это нормально, но на самом деле, не очень глубоко, потому что план нашей проповеди должен отражать принципы богословия и применение текста Писания на сегодня, чтобы наши церкви могли видеть, как это относится к ним. Одна из наших задач, как проповедников заключается в том, чтобы преодолеть разрыв между древним текстом, людьми, языком и культурой на сегодня.
Таким образом, в то время как план проповеди следует и вытекает из структуры текстовой, она отличается от структуры текстовой в том, что она определяет, как вы собираетесь проповедовать то, что говорится в тексте. К тому времени, как вы определили структуру текста, вы знаете тему Писания и то, что автор говорит по этому вопросу (дополнения). Другими словами, вы знаете, что автор написал о том, как он и организовал свой материал. Теперь вам надо решить, как вы будете проповедовать богословие, содержащееся в тексте и как примените его к вашей аудитории. Я думаю, что это, пожалуй, самая важная функция проповедника, потому что люди обычно не делают этого для себя. Они читают Библию, и они понимают, что Он говорит, но часто они не понимают, что это значит и как это относится к нам сегодня. Это - наша задача в том, чтобы сообщить об этом.
Другой вопрос, который может прийти на ум, это "Зачем нам нужен план нашей проповеди?" Многие проповедники не используют план и в результате не в состоянии объяснить богословское значение и последовательность текста, а также как его применить сегодняшним читателям. Наши проповеди должны быть структурированы потому что
1. Вся Библия структурирована. Каждый библейский автор имел цель при написании своей книги. Все записи в Библии не случайны ( без структуры и цели).
2. Если вы не имеете плана проповеди, который следует и вытекает из структуры текста, то вы не будете иметь логическую проповедь, за которой смогут следовать люди.
3. Если у вас нет четкой, библейской структуры, вы не сможете проповедовать ясное, библейское послание.
План проповеди - это «скелет» проповеди - скелет, за который плоть вашего сообщения цепляется, "рамка", к которой крепится ваша проповедь. Это основные моменты, которые разделяют и держат вместе “тело” вашей проповеди.
Хороший план проповеди включает в себя следующие элементы:
1. Он делит послание на "основные моменты" (т. е. пункты проповеди).
2. Он помогает вам представить свой поток мыслей ясно, организованно, в единстве, в прогрессе, в полноте.
3. Он удерживает вас, предотвращая вас от отклонения от темы, или чтобы вы не забыли основных моментов.
4. Он уравновешивает послание между введением, основной частью (описанием, применением, иллюстрациями) и заключением.
5. Он регулирует длину послания, не позволяя ему быть слишком длинным или слишком коротким.
6. Он как дорожной карта (или оглавление) для направления по ней людей.
7. Он делает послание более запоминающимся для слушателей.
План проповеди разделяет тему на основные структурные разделы, которые формируют основные моменты проповеди. Затем основные моменты могут быть подразделены на подпункты, которые просто разъясняют те основные моменты и разделяют их на еще более мелкие подпункты. Однако, как вы структурируете ваше послание - это вопрос личный. Я думаю, что так проще для аудитории, если вы используете только ключевые моменты в вашей схеме и разъясняете свои подпункты в качестве пояснительного материала для основной темы. Вы можете по-прежнему озвучить свои пункты так, чтобы они акцентировались, но они будут звучать также наряду с пояснительным материалом проповеди и не будут сформулированы отдельно. В противном случае, ваша аудитория сможет легко потерять вас.
Я стараюсь, чтобы мои основные моменты выделялись с использованием общих формулировок и повторений. Например, Филиппийцам 1: 19-20 могли быть изложены так:
1. Мы можем быть уверены в молитвах христиан (19а)
2. Мы можем быть уверены в присутствии Духа Христа (19b)
3. Мы можем быть уверены в сохранении свидетельства Христа (20)
Вы никогда не захотите, чтобы план проповеди пересилил ваше послание или впечатлил вашу аудиторию. Он просто структурирует ваше послание.
Отправной точкой для проповеди является главная мысль (предмет) отрывка Писания. Важно записать главную мысль и высказывания об этой мысли (дополнительные пункты), чтобы сформировать ядро проповеди.
Каждая проповедь должна иметь структуру. Основными структурными компонентами каждой проповеди являются: (1) начало (суммирование, вывод). В свою очередь, эти основные структурные компоненты должны решить следующие задачи:
1. Ваше введение должно ...
а) Захватить внимание аудитории
б) Создать потребность в проповеди
в) Иметь соответствие с Писанием
г) Определить тему
д) Определить тезисы (В общем тему и изучение данного отрывка)
е) Перейти в основную часть проповеди
2. Основная часть проповеди, где вы ...
а) Объясняете основные моменты послания
б) Иллюстрируете ваши пунктики, где это необходимо и целесообразно
в) Применяете изучение материала к вашей аудитории
3. В заключении вы…
a) Суммируете пункты, что вы вынесли из вашего отрывка.
б) Помогаете аудитории визуально представить истину, что вы им объяснили - то есть, чтобы они увидели, как это учение можно применить в повседневной жизни.
в) Призываете их реализовывать правду - т.е. применить, ответить на истину, которую они только что услышали.
Начиная со следующего издания этого журнала, я покрою эти моменты плана проповеди так, как вы готовите их (не в порядке, в котором вы проповедуете их) следующим образом:
1. Формулировка основных моментов.
2. Выделив тезис - некоторые люди называют это проповедью в одном предложении".
3. Черновой вариант основной части проповеди - Объяснение (включая иллюстрации) и приложения
4. Структура заключительной части проповеди.
5. Набросок введения.
ЧАСТЬ III. ИЗУЧЕНИЕ СЛОВА
“Характер Евангелия” (1 Кор. 1:18-25)
Проф. Стивен Ф. Олфорд
Теперь мы подошли к одному из наиболее показательных отрывков на тему Евангелия и природы христианского служения, которое мы находим в любом месте Писания в Новом Завете. Павел говорит о проклятии разделения в церквях, но теперь он приступает к рассмотрению причин разделения в церкви; и вплоть до главы 4, он обращается к двум неправильным представлениям, которые являются основными для всех подразделений. Первым из них является неправильное представление относительно христианского послания (1: 18-3: 4), а во-вторых, ошибочное мнение относительно христианского служения (3: 5-4: 5). Для начала, рассмотрим неправильное представление относительно христианского послания. Прежде всего, это связано с неправильным представлением о характере Евангелия. Это наше сегодняшнее послание 1-е Коринфянам 1: 18-25.
Давайте вспомним, как мы обращаемся к этим стихам, что Павел пишет церкви, которая была разделена. Как мы наблюдали ранее, уже было не менее четырех партий с их соответствующими лозунгами. Часть проблемы заключалась в том, что верующие привязывались к людям больше, чем к Мастеру, но есть также тенденция возвеличивать посланника больше, чем послание. Таким образом, Павел вынужден изложить четкое заявление о характере Евангелия.
Он прежде всего говорит о том:
I. ЕВАНГЕЛИЕ, КАК ОТЛИЧНЫЙ ПЛАН ОТКРОВЕНИЯ БОГА
"Ибо слово о кресте для погибающих, юродство есть; а для нас, спасаемых, сила Божия "(1 Кор. 1:18). Павел делает акцент здесь не столько на презентации Евангелия, как на "слове" Евангелия, в отличие от мудрости слов, упомянутых в стихе 17. Его высшая цель состоит в том, чтобы указать на уникальность Евангелия, как откровение мудрости и силы Божьей. Это были ключевые слова древнего мира. Греки всегда ищут мудрости, в то время как евреи одержимы знамениями. Таким образом, Павел очерчивает отличительный характер Евангелия, наблюдая:
1) Мудрость Божья - не человеческая мудрость - Христос сила Божия и премудрость Божия "(1 Кор. 1:24). Павел не оставляет нам никаких сомнений относительно того, какую мудрость подразумевал Бог. Чуть дальше он говорит: "Но ... во Христе Иисусе ... Бог сделался для нас премудростью, праведностью и освящением и искуплением" (1 Кор. 1:30). Там нет большего заявления о послании об истинном спасении, чем того, что содержится в этом стихе. Во-первых, Христос - это наша праведность. Но через Иисуса Христа, мы стали оправданными, или правыми перед святым Богом. Этот аспект Евангелия отвечает на древний вопрос: "Как человек может быть оправдан Богом?» (Иов 25: 4). Потому что Христос умер за грехи наши и воскрес для оправдания нас, мы можем знать, что Божья праведность вменяется нам через веру в Его Сына. Во-вторых, Христос - наше освящение.
Мы никогда не могли достичь святости нашими собственными силами, но только через Его присутствие в нас и освящение каждый день. Это - работа Божьей благодати, она отделяет нас друг от друга исключительно для целей Бога. С точки зрения поведения, это значит жить экспериментально, то есть позиционно во Христе. В-третьих, Христос - это наше искупление. Это слово означает "освобождение" или "избавление". В данном конкретном контексте, это относится не только к искуплению от наказания и власти греха, но и от самого присутствия греха. Это - последнее действие Бога, посредством которого мы способны соответствовать самому подобию Христа, когда Он вернется.
Какое откровение мудрости Бога в Евангелии нашего Господа Иисуса Христа. Но в отличие от этого, Павел описывает также мудрость человека. В послании Иакова, он соглашается с тем, что человеческая мудрость ... "... земная, душевная, бесовская" (Иакова 3:15). Человеческая мудрость земная. "... Ибо когда в премудрости Божией, мир своею мудростью не познал Бога, то благоугодно было Богу юродством проповеди спасти верующих" (1 Кор. 1:21). Теперь важен тот момент, чтобы помнить, что Бог в Своей мудрости постановил, что мир в своей мудрости не должен и не может познать Бога. Это навсегда уничтожает понятие, что человек из своих собственных рассуждений или интеллектуальных достижений может найти Бога и также познать Бога. Человеческое образование по своему качеству совершенно недостаточно. Человеческая мудрость - чувственна. Вот почему Павел, с оттенком иронии, говорит: «... греки ищут мудрости" (1 Кор. 1:22). Там нет ничего, чтобы могло взывать к чувственным или плотским людям, как так называемый "интеллектуальный подход" умудренных проповедников или сладкоречивых ораторов. Человеческая мудрость - бесовская. Она описана так будто она связан с дьяволом, который пал от гордости. Вот почему человеческая философия - не что иное, как интеллектуальное высокомерие и тщеславие. Каждое движение, которое подрывает авторитет Писания - назовем это модернизмом, либерализмом, или гуманизмом - это все часть этого философского подхода. Из-за человеческой гордости, мужчины стремятся быть похожими на известных философов, не понимая, что Библия осуждает это как дьявольское.
Так Павел напоминает коринфянам "... написано, я погублю мудрость мудрецов, и разум разумных отвергну. Где мудрец? Где книжник? Где совопросник века сего? Не обратил ли Бог мудрость мира сего в безумие?"(1 Кор 1: 19-20.) Весь смысл этой цитаты в том, чтобы показать, что человек должен узнать, что все его приемы и усилия, идущие на достижение его спасения - совершенно бесполезны. Бог спасает только через слово креста (Исаия 29:14). Вторая цитата из Исаии 33:18 показывает, как Бог совершенно спутал советы умудренных еврейских правителей. И то, что он делал тогда еще, он продолжал делать, когда люди не отказывались от их философского рассуждения в пользу мудрости Бога. Но в описании этого своеобразного откровения Бога, Павел не только противопоставляет мудрость Бога против человеческой мудрости, но и:
2) Силу Божью против силы человеческой - "Ибо слово о кресте для погибающих юродство есть; а для нас, спасаемых, - сила Божия "(1 Кор. 1:18). Как это напоминает нам о великом утверждении Павла в Послании к Римлянам 1:16: "Ибо я не стыжусь благовествования Христова, потому что оно есть сила Божия ко спасению всякому верующему, во-первых, Иудею, а потом и Еллину ". В самом сердце Евангелия - динамика Бога, которая имеет власть, чтобы сохранить и донести. Нет ничего другого во всей вселенной, что могло бы преобразить жизнь человека, как Евангелие Господа нашего Иисуса Христа. Сила креста - единственный ответ для человеческого греха.
В отличие от этого, есть хваленная сила человека. "Евреи требуют знамения ..." (1 Кор. 1:22). Как говорит Леон Моррис, "Евреи, на протяжении всей своей истории, были прямыми по сути. Они не хотели спекулятивных мыслей. Они хотели доказательств, и их интерес был практическим. Они думали о Боге, как Он проявляет себя в истории, в знамениях и великих чудесах "Вот почему евреи вечно ищут знамения от Господа во время Его земного служения (Матфея 12:38;
6: 1, 4; Марка 8:11; Иоанна 6:30). Они думали о Мессии как о том, Кто демонстрировал свою власть путем проявления силы и величия. Для них, распятый Христос был противоречием терминов.
Таким образом, Павел подводит итог своему анализу божественной мудрости и силы против человеческой мудрости и силы в этих огромных словах, найденных в стихах 22, 23 и 24: "Ибо и Иудеи требуют чудес, и Еллины ищут мудрости; а мы проповедуем Христа распятого, для Иудеев - соблазн, а для Еллинов - безумие; для самих же призванных, Иудеев и Еллинов, Христа, Божию славу и Божью премудрость."
Вторая особенность Евангелия в том, что Павел говорил:
II. ЕВАНГЕЛИЕ, КАК БОЖЬЕ ПРИГЛАШЕНИЕ ИСКУПИТЬ ЧЕЛОВЕКА
"Для самих же призванных, Иудеев и Еллинов, Христа, Божию славу и Божью премудрость Божия" (1 Кор. 1:24). Здесь представлен идеальный баланс христианского Евангелия. Мало того, что Бог дал нам откровение о Себе, но и приглашение к Себе. Это больше, чем человеческая мудрость и сила может сделать. Рассмотрим затем:
1) Божье наслаждение в приглашении к Благой Вести - "... это благоугодно было Богу юродством проповеди спасти верующих" (1 Кор 1:21).. Слово "проповедь" не то же самое, что в стихе 18-м. Акцент здесь делается на провозглашение славного послания Благой Вести. Павел говорит нам здесь, что высшее удовольствие Бога, или более буквально, "Божье наслаждение," является тем, что посредством юродивой проповеди происходит спасение мужчин и женщин. Что может быть более величественно и прекрасно, чем то, что Бог возлюбил людей, и что юродством проповеди несет спасительное послание о кресте? Но подумайте еще раз о:
2) Божьем замысле в приглашении к Евангелию - "проповедь о кресте для погибающих юродство есть, а для нас, спасаемых, есть сила Божия" (1 Кор 1:18).. Вот это сочетание слов открывает нам общую работу по спасению людей Богом посредством Иисуса Христа. Давайте помнить, что каждый человек без Христа потерян. Действительно, глагол, переведенный как «погибающих» означает не исчезновение, но разрушение и потерю всей жизни, благосостояния. Человек, который погибает не выполняет саму цель, ради которой Бог сотворил его. Но это не происходит тогда, когда Евангелие Иисуса Христа встречает его и спасает его для вечной жизни. Идея этого слова "спасаемых" не только в восстановлении, но и в преображении людей.
Но давайте еще раз посмотрим на то, что мы называем:
3) Божий процесс в Приглашении к Евангелюя - "... то благоугодно было Богу юродством проповеди спасти верующих ... Но к ним, которые призваны... Христос есть сила Божия, и премудрость Божия" (1 Кор 1:. 21, 24). Есть два слова, которые подводят итог божественному процессу в приглашении к Евангелию. Одним из них является слово "призвать". Другое слово - "верить." Одно описывает предложение Бога, а другое - ответ человека. Иисус всегда призывает мужчин и женщин к Себе; и слава Богу, люди из всякого колена и языка, и наречия отвечают на призыв. Этот славный процесс будет продолжаться до тех пор, пока Тело Христово не станет полным.
Итак, мы видим, что это искупительное приглашение Бога требует решения. Человек никогда не может столкнуться с откровением и приглашением к Евангелию, не дав ответа. Если он верит, то он спасен. Если он не верит, он погибает.
Вывод: Верующие в Коринфе были разделены, потому что у них были ложные представления о послании Евангелия. Вот почему Павел трудится усердно, описывая в первом абзаце истинный характер благовествования. Рассмотрев его тщательно, мы уже увидели, что он приходит к выводу: "... немудрое Божие премудрее человеков, и немощное Божие сильнее человеков "(1 Кор. 1:25). Философии и человеческое проявление власти могут приходить и уходить, но Евангелие Иисуса Христа остается неизменным, и неизменно оно из-за его характера в Иисусе Христе - "... оно то же вчера, сегодня и навсегда."
ЧАСТЬ IV: ПЛАН ПРОПОВЕДИ
Для прослушивания аудио версии этих проповедей на английском языке, нажмите на эти ссылки: Link 1 - Jn. 10:1-2; Link 2 - Jn. 10:3-4; Link 3 - Jn. 10:4-8; Link 4 - Jn. 10:9
Заголовок: Иисус - Дверь (Ин. 10:1-9)
1: Ложные религиозные лидеры и злоумышленники (1-2)
1. В дверь не входят, перелазят инде
2. Они - воры и разбойники
2: Истинные религиозные лидеры - пасторы (3-5)
1. Они ведут народ Божий, призывая к ответу (3а-б)
2. Они ведут народ Божий, бросая вызов (3в)
3. Они ведут народ Божий, давая указания (3г-4б)
4. Они ведут народ Божий, выявляя доверие (4в-5)
5. Они ведут народ Божий, привлекая ко Христу (6-9)
а) Христос - дверь овцам (7-8)
б) Христос - дверь спасения (9а)
в) Христос - дверь свободы (9б)
г) Христос - дверь насыщения (9в)
Related Topics: Pastors
19. Marcas de Maturidade (Gênesis 18:1-33)
Related MediaIntrodução
Cresci numa região onde havia muitos cervos e, quando jovem, eu gostava de caçar. Nós, pessoas do campo, sempre ficávamos incomodados com a gente da cidade que vinha para atirar em nossos cervos, aqueles que tinham se alimentado em nossos pomares e mordiscado as nossas hortas durante o ano. Certa vez ouvi falar de um malandro que não sabia quase nada de caça e parou em um armazém local para perguntar como um veado se parecia. Se você não acredita, eu ouvi isso de um fazendeiro que estava tão preocupado que seu gado pudesse ser atingido durante a temporada de caça, que pintou a palavra VACA em letras garrafais em suas reses.
Uma vaca ser morta por um cara da cidade pode ser meio patético, mas não é o fim do mundo. Muitos cristãos, no entanto, estão em busca de maturidade, mas não sabem quais são suas marcas. Alguns acreditam que a maturidade esteja no conhecimento, enquanto outros a equiparam com experiência pessoal ou com obedecer algum tipo de regra ou usar algum método. Embora conhecimento e experiência sejam importantes, essas coisas por si só não são características pelas quais devemos lutar.
Em nosso estudo da vida de Abraão, no capítulo 16 nós o encontramos numa maré bem baixa. Ali, Abrão, pressionado por sua esposa, teve um vacilo na fé e tentou obter por meio de esforço humano o que Deus havia prometido. Uma criança nasceu de Agar, mas não o filho da promessa. O pecado de Abrão só resultou em dor de cabeça para ele, Sarai e Agar. Até onde a Bíblia nos diz, passaram-se treze anos até Deus falar com ele novamente. E então, no capítulo 17, Deus quebra o silêncio e reitera Sua aliança com Abraão, bem como a promessa do nascimento de um filho por meio de Sara dentro de um ano.
Em contraste com o capítulo 16, o capítulo 18 é o ponto alto da vida de Abraão. Embora sua fé não fosse infalível, ela se tornou mais forte. Suas atitudes e ações servem como exemplo de fé madura. A descrição da sua fé no capítulo 18 estabelece o cenário para o fracasso de Ló no capítulo 19, cujas sementes foram plantadas no capítulo 13. Essa história vamos guardar para a próxima lição, mas o contraste entre os dois homens nestes dois capítulos é evidente.
Portanto, no capítulo 18 vamos dar uma olhada mais de perto em Abraão e nas características da sua maturidade.
O Trio Celestial e a Hospitalidade de Abraão (18:1-8)
Embora esta não fosse a primeira aparição de nosso Senhor a Abraão, com certeza foi única. Antes, Deus tinha falado com ele diretamente (12:1-3; 13:14-17), por meio de um porta-voz (14:19-20), por uma visão (15:1 e ss) e em uma aparição, a qual talvez tenha sido acompanhada de glória e esplendor (17:1 e ss). Aqui, Deus veio a Abraão na forma de um homem comum, acompanhado por dois outros homens, os quais depois são identificados como seres angélicos (compare 18:2, 22; 19:1). Não se sabe o que poderia distinguir esses três “viajantes” de quaisquer outros:
Apareceu o SENHOR a Abraão nos carvalhais de Manre, quando ele estava assentado à entrada da tenda, no maior calor do dia. Levantou ele os olhos, olhou, e eis três homens de pé em frente dele. (Gênesis 18:1-2a)
Abraão, à típica maneira oriental, estava assentado à porta da sua tenda no maior calor do dia. Quem, como eu, vive em Dallas (Texas, EUA), após quarenta dias de temperatura na casa dos 37º C, ou mais, conhece a moleza resultante do sol do meio-dia. Esse horário tornava a necessidade de ser hospitaleiro ainda maior, pois os visitantes deviam estar sedentos e exaustos por causa do calor. A hospitalidade de Abraão ia ser colocada à prova, pois sua “siesta” precisava ser interrompida para ele poder atender suas visitas.
Mesmo que tal hospitalidade seja parte da cultura oriental, o cuidado de Abraão no desempenho da sua tarefa foi evidente:
Vendo-os, correu da porta da tenda ao seu encontro, prostrou-se em terra e disse: Senhor meu, se acho mercê em tua presença, rogo-te que não passes do teu servo; traga-se um pouco de água, lavai os pés e repousai debaixo desta árvore; trarei um bocado de pão; refazei as vossas forças, visto que chegastes até vosso servo; depois, seguireis avante. Responderam: Faze como disseste. Apressou-se, pois, Abraão para a tenda de Sara e lhe disse: Amassa depressa três medidas de flor de farinha e faze pão assado ao borralho. Abraão, por sua vez, correu ao gado, tomou um novilho, tenro e bom, e deu-o ao criado, que se apressou em prepará-lo. Tomou também coalhada e leite e o novilho que mandara preparar e pôs tudo diante deles; e permaneceu de pé junto a eles debaixo da árvore; e eles comeram. (Gênesis 18:2b-8)
Ele não foi descuidado nem negligente no cumprimento do seu dever. Ele reduziu ao máximo as provisões necessárias e as dificuldades para prepará-las — um pouco de água, um bocado de pão, um pequeno descanso e um momento para lavar os pés. No entanto, a refeição servida foi simplesmente suntuosa. Grande quantidade de pão foi feita na hora1, um novilho escolhido a dedo foi abatido e preparado, além de coalhada e leite. Esta não era, de forma alguma, uma refeição simples! E Abraão recusou-se a se sentar com seus convidados, ficando em pé para servi-los2.
Qualquer um ficaria feliz em preparar um banquete como aquele se soubesse a identidade de seus convidados; mas, ao que tudo indica, Abraão, naquele momento, não sabia. Sem dúvida, era sobre isso que o escritor aos Hebreus falava quando escreveu:
Não negligencieis a hospitalidade, pois alguns, praticando-a, sem o saber acolheram anjos. (Hebreus 13:2)
Mas que cena deve ter sido! Abraão, em pé, servindo seus convidados celestiais sem sequer saber sua identidade. Ao mesmo tempo, um pouco além e mais abaixo, as cidades de Sodoma e Gomorra, com suas festas e orgias, gozava o último dia da temporada de pecado, e Ló, em algum lugar por lá, ainda não sabia o que lhe reservava aquele dia.
A Promessa de Deus Confirmada, Embora Questionada (18:9-15)
Em lugar algum é dito em que momento ocorreu a Abraão que seus visitantes não fossem deste mundo; no entanto, pelo versículo 27 sabemos que este era um fato conhecido.
Creio que a promessa reiterada nos versículos 9 a 15 determinou a identidade daqueles homens quando os ligou à revelação do capítulo 17.
Então, lhe perguntaram: Sara, tua mulher, onde está? Ele respondeu: Está aí na tenda. Disse um deles: Certamente voltarei a ti, daqui a um ano; e Sara, tua mulher, dará à luz um filho. Sara o estava escutando, à porta da tenda, atrás dele. Abraão e Sara eram já velhos, avançados em idade; e a Sara já lhe havia cessado o costume das mulheres. Riu-se, pois, Sara no seu íntimo, dizendo consigo mesma: Depois de velha, e velho também o meu senhor, terei ainda prazer? Disse o SENHOR a Abraão: Por que se riu Sara, dizendo: Será verdade que darei ainda à luz, sendo velha? Acaso, para o SENHOR há coisa demasiadamente difícil? Daqui a um ano, neste mesmo tempo, voltarei a ti, e Sara terá um filho. Então, Sara, receosa, o negou, dizendo: Não me ri. Ele, porém, disse: Não é assim, é certo que riste. (Gênesis 18:9-15)
Era costume da época, e ainda é em algumas culturas, as mulheres não serem vistas nem ouvidas enquanto convidados do sexo masculino eram recebidos. Por isso, Sara preparou o pão longe da vista dos homens (cf. versículo 6); depois permaneceu dentro da tenda enquanto eles comiam. Embora ela se mantivesse cuidadosamente fora de vista, sua curiosidade falou mais alto. Talvez ela tenha espiado por entre as dobras da tenda, embora isso não seja afirmado em parte alguma. No entanto, ela realmente estava com o ouvido à porta, ansiosa para escutar a conversa lá fora. Duvido que qualquer um de nós também consiga resistir a essa tentação.
Quando perguntaram a Abraão onde Sara estava, ele respondeu que ela estava dentro da tenda. O Senhor, então, assegurou-lhe que dali a um ano ela teria um filho. A essência desta promessa pouco difere da promessa anterior, conforme registrado no capítulo 17 (versículos 19, 21). Para Abraão, isso deve ter resolvido a questão da identidade de seus visitantes.
Ao que parece, ou ele deixou de contar a promessa anterior a Sara ou não conseguiu convencê-la da sua exatidão. Creio que as palavras de nosso Senhor foram ditas mais para o benefício de Sara do que para o de Abraão. Era vital que ela, também, tivesse fé na promessa de Deus.
A reação de Sara foi quase a mesma do marido:
Então, se prostrou Abraão, rosto em terra, e se riu, e disse consigo: A um homem de cem anos há de nascer um filho? Dará à luz Sara com seus noventa anos? (Gênesis 17:17)
Riu-se, pois, Sara no seu íntimo, dizendo consigo mesma: Depois de velha, e velho também o meu senhor, terei ainda prazer? (Gênesis 18:12)
Humanamente falando, um filho estava fora de questão, tanto para Abraão quanto para Sara. A risada de ambos, creio, foi uma combinação de surpresa, choque, exultação e incredulidade. Como isso poderia suceder? Todavia, mesmo num momento tão estranho, Sara pensou em seu marido com respeito3. Ficamos nos perguntando se a risada de Sara não foi ouvida fora da tenda. O Onisciente teria percebido, mas isso não seria necessário.
Observe que a suave repreensão foi dirigida, inicialmente, a Abraão não a Sara: “Disse o SENHOR a Abraão: Por que se riu Sara…” (Gênesis 18:13).
Será que Abraão, deliberadamente, tinha escondido dela a promessa de Deus? Será que sua fé era tão fraca que ele não podia nem convencer a esposa? De alguma forma ele teve de prestar contas pela reação de Sara. O mais interessante é que a reação dela espelhava a reação dele. Ele deu a ela o exemplo.
As palavras ditas pelo Senhor soam tão fortes para os cristãos da nossa época quanto soaram para Abraão: “Acaso, para o SENHOR há coisa demasiadamente difícil?” (Gênesis 18:14a).
Eis uma questão fundamental. A única razão para tal desconfiança é não conseguir entender a extensão da capacidade de Deus de operar em nós e por meio de nós.
O outro lado da moeda é: se a questão de ter um filho não fosse impossível, a glória de tal milagre não seria dada a Deus. A demora no nascimento de Isaque foi intencionada tanto para tornar necessária a fé de Abraão e Sara, quanto para nutri-la.
Além de tranquilizar Abraão e (talvez) informar Sara sobre o nascimento do filho prometido, as palavras do Senhor nos versículos 10 e 14 serviram para confirmar a identidade do terceiro visitante como o próprio Senhor. No capítulo 17, Deus tinha prometido um filho a Abraão, por meio de Sara, falando na primeira pessoa (17:15-16, 19, 21). No capítulo 18, a promessa também é confirmada na primeira pessoa (versículos 10 e 14). Além disso, aquele “visitante” foi capaz de saber os pensamentos íntimos de Sara quando ela se riu dentro da tenda (versículo 13). Naquele momento, não restaram mais dúvidas acerca da identidade daquela Pessoa e de Seus companheiros de viagem.
Sara parece ter saído da tenda quando Abraão foi questionado a respeito da sua desconfiança. Temendo, ela negou ter rido consigo mesma. Curiosamente, ela não negou os pensamentos denunciados pelo Senhor. Sua negação foi logo tachada como falsa.
O Propósito de Deus Confiado a Abraão (18:16-21)
A hospitalidade de Abraão foi um ato magnífico de generosidade cristã, mas não foi (em minha opinião) a mais elevada expressão de serviço cristão neste capítulo. O ponto alto da sua vida espiritual se encontra na intercessão junto ao Senhor pela vida dos justos de Sodoma.
Algumas pessoas podem concluir que a preservação dos justos foi resultado da oração fervorosa de Abraão. Não penso assim, por mais nobre que tenham sido seus esforços. Creio que Deus propositadamente revelou Sua intenção de julgar aquelas cidades a fim de Abraão poder interceder por elas. Creio que a narrativa irá sustentar minha posição.
O Senhor e os dois anjos seguiram para Sodoma, escoltados em parte do caminho por Abraão. Parece que o Senhor havia se voltado para os dois anjos quando perguntou, quase de forma retórica:
Ocultarei a Abraão o que estou para fazer, visto que Abraão certamente virá a ser uma grande e poderosa nação, e nele serão benditas todas as nações da terra? Porque eu o escolhi para que ordene a seus filhos e a sua casa depois dele, a fim de que guardem o caminho do SENHOR e pratiquem a justiça e o juízo; para que o SENHOR faça vir sobre Abraão o que tem falado a seu respeito. (Gênesis 17:17b-19)
A intimidade da relação entre Deus e Abraão serviu como motivação para a revelação de Deus sobre os propósitos relacionados à Sodoma. Além disso, a base desse relacionamento encontrava-se na aliança abraâmica. No versículo 19 é acentuada a necessidade da fé professada por Abraão ser mantida e transmitida por seus descendentes4. Embora os propósitos de Deus sejam realizados, Seu povo é responsável por guardar Seus mandamentos.
Em contraposição à fidelidade dos descendentes de Abraão está a perversidade de Sodoma e Gomorra.
Disse mais o SENHOR: Com efeito, o clamor de Sodoma e Gomorra tem-se multiplicado, e o seu pecado se tem agravado muito. Descerei e verei se, de fato, o que têm praticado corresponde a esse clamor que é vindo até mim; e, se assim não é, sabê-lo-ei. (Gênesis 18:20-21)
Os versículos 20 e 21 retratam de forma dramática o pecado de Sodoma e a justa reação de um Deus santo. O pecado da cidade é tão grande que praticamente clama aos céus por retribuição (versículo 20). O interesse pessoal e a atenção de Deus são descritos como “descer”5 para tratar do assunto. Isso não significa que o texto esteja diminuindo a onisciência de Deus, pois Ele sabe de todas as coisas. Deus não está “descendo” para saber dos fatos, mas para cuidar pessoalmente deles e corrigir o problema. Foi assim que Abraão compreendeu que Deus ia destruir a cidade, embora isso não seja afirmado de modo específico.
Abraão Intercede junto a Deus por Sodoma (18:22-33)
Os dois anjos foram para Sodoma e deixaram nosso Senhor e Abraão a sós observando a cidade do alto (cf. 19:27,28). Mesmo falando com reverência, Abraão manifestou diante de Deus uma ousadia sem precedentes.
E, aproximando-se a ele, disse: Destruirás o justo com o ímpio? Se houver, porventura, cinquenta justos na cidade, destruirás ainda assim e não pouparás o lugar por amor dos cinquenta justos que nela se encontram? Longe de ti o fazeres tal coisa, matares o justo com o ímpio, como se o justo fosse igual ao ímpio; longe de ti. Não fará justiça o Juiz de toda a terra? (Gênesis 18:23-25)
Sem dúvida, a principal preocupação de Abraão era com Ló e sua família. Embora isso não esteja expresso, está implícito (19:27-29). Seu apelo tinha como base a justiça de Deus. A justiça não iria permitir que o justo sofresse o castigo devido ao ímpio (versículo 25). Abraão apelou para Deus poupar Sodoma a fim de poupar Ló6, não tanto para salvar a cidade ou os ímpios. Todavia, é possível que ele tivesse a esperança de que Ló fosse poupado junto com os ímpios a fim de que estes pudessem chegar à fé em Deus no devido tempo.
É preciso reconhecer que Abraão forçou um pouco a barra, mas não creio que tenha sido por isso que Deus garantiu a ele a concessão do seu pedido.
O fundamento da abordagem de Abraão era que Deus certamente, em justiça, não poderia tratar o justo e o ímpio de igual forma. O justo não merecia perecer junto com o ímpio. Por isso, o pedido feito foi para poupar o ímpio e o justo, caso fosse encontrado um número suficiente de justos. Aceito o pedido, teve início a barganha sobre quantos justos seriam necessários para salvar a cidade.
Deus concordou em poupar a cidade caso 50 justos fossem encontrados (versículo 26). Abraão deve ter desconfiado que tal número não pudesse ser alcançado, por isso, começou a pleitear uma quantidade menor.
Disse mais Abraão: Eis que me atrevo a falar ao Senhor, eu que sou pó e cinza. Na hipótese de faltarem cinco para cinquenta justos, destruirás por isso toda a cidade? Ele respondeu: Não a destruirei se eu achar ali quarenta e cinco. (Gênesis 18:27-28)
Abraão foi muito eloquente nestes versículos. Ele tinha recebido uma promessa acerca de 50 justos. A questão agora era se esse número era fixo ou não. Ele fez o teste diminuindo cinco dos cinquenta. Repare que ele apresentou o caso de tal forma que a destruição da cidade com 45 justos condenaria todos eles pela ausência de cinco cidadãos justos. Pela falta de cinco, quarenta e cinco seriam destruídos. Deus atendeu seu pedido, mas não devido à habilidade oratória de Abraão.
A partir dali, Abraão sentiu-se encorajado a tentar reduzir ainda mais o número mínimo de justos necessários para poupar Sodoma. Primeiro foram 40, depois 30, depois 20 e, finalmente, 10. Nesse ponto, quase soltamos um suspiro de alívio, temendo que Deus perca a paciência com ele. Pessoalmente, creio que o coração de Deus ficou enternecido com a compaixão e o cuidado demonstrados por Abraão. Aquela não era uma petição egoísta, mas uma intercessão por outras pessoas.
Por que, então, Abraão parou em dez? Por que não continuou até cinco, ou até mesmo um? Alguns pensam que ele não ousou pressionar Deus ainda mais. Pode ser, mas não creio que ele teria parado se não tivesse certeza de que Ló e sua família estavam a salvo da ira de Deus.
O número dez devia proteger Ló com alguma margem de segurança. Afinal de contas, pelo visto, só a família dele já era grande o suficiente para atingir esse número. Ló e sua esposa, duas filhas solteiras, suas filhas casadas e seus maridos e, quem sabe, algum filho (cf. Gênesis 19:12); dez justos certamente podiam ser encontrados. Abraão parecia satisfeito, e talvez outras pessoas também tivessem chegado à fé pelo testemunho de Ló.
No entanto, como somos informados no capítulo 19, as esperanças de Abraão eram maiores que a realidade. Isso seria uma tragédia, não fosse uma grande verdade divina: a graça de Deus sempre excede as nossas expectativas. Numa análise final, só havia três justos em Sodoma: Ló e suas duas filhas. Alguns podem questionar a retidão das filhas de Ló, devido ao seu comportamento no capítulo seguinte. Ainda assim, Deus lembrou-se do pedido de Abraão. Embora não tenha poupado a cidade de Sodoma, Deus poupou os justos. Ele é capaz e Se dispõe a fazer muito mais do que pedimos ou pensamos, como ensinam as Escrituras (cf. Efésios 3:20).
Conclusão
Esta passagem nos dá uma visão melhor da questão da maturidade cristã. Examinando mais uma vez estes versículos, muitos sinais de maturidade parecem emergir do texto.
(1) O cristão maduro se torna menos dependente das manifestações espetaculares de Deus e mais envolvido em íntima comunhão diária com Ele. Anteriormente, Deus tinha Se revelado a Abraão com mais esplendor e glória. Desta vez Deus não teria sido reconhecido não fosse o prévio conhecimento sobre Ele e os olhos da fé. Deus foi reconhecido pelas Suas promessas, pela Sua palavra, não por uma presença espetacular ou cheia de esplendor.
Será que pode haver comunhão mais íntima do que partilhar uma refeição com Deus?
Chegada a hora, pôs-se Jesus à mesa, e com ele os apóstolos. E disse-lhes: Tenho desejado ansiosamente comer convosco esta Páscoa, antes do meu sofrimento. (Lucas 22:14-15).
E aconteceu que, quando estavam à mesa, tomando ele o pão, abençoou-o e, tendo-o partido, lhes deu; então, se lhes abriram os olhos, e o reconheceram; mas ele desapareceu da presença deles. (Lucas 24:30-31)
Eis que estou à porta e bato; se alguém ouvir a minha voz e abrir a porta, entrarei em sua casa e cearei com ele, e ele, comigo. (Apocalipse 3:20)
Não é admirável que um dos pontos altos da semana do cristão seja a comunhão com o Senhor à Sua mesa? (1 Coríntios 11:23-26). Nem sempre devemos buscar a Deus de forma espetacular, mas sim nas coisas mais rotineiras da vida (1 Reis 19:11-14). Isso é sinal de maturidade.
Creio que um casamento ilustra bem este ponto. Quando encontramos “a mulher dos nossos sonhos”, queremos levá-la ao melhor restaurante ou fazer alguma coisa empolgante. Mais cedo ou mais tarde descobrimos que sentimos o mesmo prazer andando de mãos dadas no parque ou sentados na varanda. A emoção não está no lugar ou na atividade, mas na intimidade compartilhada por duas pessoas que se amam em tudo o que fazem. Com a maturidade cristã é a mesma coisa.
(2) A maturidade cristã desloca a nossa atenção de nós mesmos para os outros. Ló era alguém que estava sempre pensando em si mesmo. Os melhores momentos de Abraão neste capítulo são empregados em servir aos outros: primeiro na hospitalidade oferecida àqueles “estranhos”, depois na intercessão por Sodoma. O amor de Deus deve ser refletido na preocupação com os outros (cf. Mateus 23:37-39).
(3) A maturidade cristã equilibra atividade e passividade. Anteriormente neste estudo de Gênesis, havíamos falado sobre o problema de quando agir e quando esperar. Há tempo para ser ativo e há tempo para ser passivo. Abraão não deveria ter ido ao Egito quando a fome chegou a Canaã. Abraão não deveria ter armado um plano para proteger sua vida com uma mentira. Abraão foi passivo quando concordou com o plano de Sara para ter um filho.
Nos versículos 1 a 8, Abraão foi ativo, oferecendo hospitalidade a três estranhos, e agiu certo. Aquela era uma coisa que ele podia e devia fazer. Quanto a Sodoma, algumas pessoas teriam a tendência de serem passivas. Deus já tinha falado; a cidade ia ser destruída; o que Abraão podia fazer? Ele podia fazer o que eu e você podemos fazer quando não há mais nada a fazer — orar. Nada está além da capacidade de realização de Deus (18:14). Se Abraão fez sua súplica de acordo com a vontade e o caráter de Deus, nada poderia ser impossível. Quando alguma situação está fora do nosso controle, não está fora do controle de Deus. Cristãos maduros são aqueles que não deixam de suplicar a Deus mesmo quando as coisas parecem sombrias.
Isso, naturalmente, não quer dizer que devemos orar apenas em situações impossíveis. Devemos orar sempre. No entanto, cristãos maduros oram na confiança de que Deus irá agir de acordo com Seu caráter, e com poder infinito, e em resposta às nossas petições. Quando somos impotentes, não ficamos desesperados, pois muito pode, por sua eficácia, a súplica do justo (cf. Tiago 5:16).
(4) Cristãos maduros veem as profecias como incentivo para orar e servir com diligência, não como questão de mera curiosidade intelectual. Hoje em dia é muito comum cristãos ficarem fascinados por profecias como se isso fosse uma questão mais para agradar o intelecto do que para tocar o coração. Os propósitos proféticos de Deus são dados para fazer os homens agir. Esta é a resposta do cristão maduro (cf. Daniel 9; 2 Pedro 3:11-12).
(5) Cristãos maduros têm clara compreensão destas duas verdades eternas: a grandeza de Deus e a bondade de Deus. Estas verdades são o embasamento do capítulo 18 de Gênesis. A primeira se encontra na pergunta de nosso Senhor no versículo 14: “Acaso, para o SENHOR há coisa demasiadamente difícil”? A segunda é base da intercessão de Abraão no versículo 25: “Não fará justiça o Juiz de toda a terra”?
A primeira verdade reprova toda preocupação e falta de oração, pois “para Deus não haverá impossíveis” (Lucas 1:37). Toda vez que nos preocupamos com o futuro, deixamos de lado a verdade de que Deus é todo-poderoso.
A segunda verdade provê uma resposta para os problemas mais angustiantes e desconcertantes da vida. O Deus que é todo-poderoso também é amoroso, bondoso, justo, misericordioso, e assim por diante. Poder infinito age em conjunto com pureza infinita.
Nosso primeiro filho, e único menino, morreu com apenas três meses e meio de idade. Muitos anos depois, quando eu estava no seminário, durante uma aula surgiu a pergunta sobre o que acontece com quem morre ainda na infância. Diversas passagens da Bíblia foram sugeridas, mas alguns acharam que elas não eram suficientes. Finalmente, compartilhei a segurança que encontramos quando perdemos nosso garotinho. Embora fosse reconfortante termos as Escrituras para nos consolar, não precisávamos de textos específicos para responder às nossas perguntas. Deus é infinitamente maior do que é revelado sobre Ele nas Escrituras. O Juiz de toda a terra fará justiça. Essa era a nossa confiança. Você já perdeu alguém querido sobre cuja salvação não tinha certeza? Existem problemas e situações que você não consegue entender? Então, descanse nisto: nosso Deus é todo-poderoso; nada é impossível para Ele. Além disso, esse poder é sempre empregado com justiça, verdade, misericórdia e amor. Que consolo! Que incentivo para orar!
(6) Finalmente, a maturidade cristã é demonstrada quando nossos pensamentos são parecidos com os pensamentos de Deus. Abraão não mudou a opinião de Deus; ele a demonstrou. Deus não alterou repentinamente Seus propósitos; Ele os informou a Abraão para Abraão poder evidenciar a Sua misericórdia e justiça e compaixão. A revelação do que Deus ia fazer com Sodoma e Gomorra foi dada para que a fé de Abraão pudesse ser manifestada em um magnífico ato de intercessão. Devido ao grande conhecimento de Abraão sobre Deus, ele sabia que Deus não poderia destruir o ímpio com o justo. Maturidade é aquele ponto onde nossos pensamentos e ações se tornam mais parecidos com os de Deus.
… até que todos cheguemos à unidade da fé e do pleno conhecimento do Filho de Deus, à perfeita varonilidade, à medida da estatura da plenitude de Cristo (Efésios 4:13)
A fim de não começarmos a nos sentir culpados diante da percepção de que não estamos no mesmo patamar de Abraão, e muito menos de nosso Senhor, devemos nos lembrar de que o processo de maturidade leva muitos anos. É preciso ter em mente que Abraão em breve cometeria outro erro muito grave (capítulo 20). No entanto, sigamos em frente, na força de Deus, rumo à maturidade.
Tradução: Mariza Regina de Souza
1 “O pão do oriente é sempre preparado imediatamente antes de ser comido. Por isso, Sara teve de ir prepará-lo para aqueles convidados. Embora os visitantes fossem apenas três, a comida simples oferecida seria servida em grande abundância. “Três medidas” foram calculadas para fazer nove galões (Skinner). O que sobrou podia ser facilmente consumido pelos servos de um estabelecimento tão grande quanto o de Abraão”. H. C. Leupold, Exposição de Gênesis (Gran Rapids: Baker Book house, 1942), I, p. 538.
2 “A expressão idiomática ‘stand by’ (‘madh’al) implica em ficar à disposição para servir e pode até ser traduzida como ‘e eles os serviu’. Cf. 1 Samuel 16:22; 1 Reis 1:2; 1 Reis 17:1, na expressão ‘estar perante’”. Ibid, p. 539.
3 Cf. 1 Pedro 3:6
4 Cf. Salmo 132:11, 12
5 A primeira coisa que devemos entender é que a tenda de Abraão estava armada num lugar alto com vista para o vale onde Sodoma e Gomorra estavam localizadas (cf. 19:27, 28). Foi nesse sentido que os dois anjos “desceram” para Sodoma e Gomorra. No entanto, não creio que aqui seja este o significado principal das palavras do Senhor: “Descerei e verei se, de fato, o que têm praticado corresponde a esse clamor que é vindo até mim; e, se assim não é, sabê-lo-ei” (Gênesis 18:21). Em primeiro lugar, só os dois anjos realmente entraram em Sodoma, não nosso Senhor (cf. 19:1 e ss). Além disso, não havia necessidade de Deus fazer uma inspeção pessoal na cidade a fim de conhecer os fatos. A onisciência de Deus não é limitada pela distância. A solução para esse problema se encontra (para minha satisfação) nos outros usos da expressão “descer”. Em Gênesis 11:5, 7 ela é usada no envolvimento de Deus com Babel e a confusão de linguas. Em Êxodo 3:8 fala da intervenção de Deus no Egito para libertar Seu povo. Em todos esses exemplos, “descer” transmite a ideia de “envolver-se pessoalmente” ou de “intervenção pessoal”. Foi isso o que Deus fez, sem entrar fisicamente em Sodoma, Babel ou no Egito.
6 Inicialmente, todas as cidades do vale iam ser destruídas (cf. 19:17, 20-21, 25). Deus falou a Abraão sobre o julgamento de Sodoma e Gomorra (18:20). No entanto, Abraão suplicou apenas por Sodoma, “a cidade” (18:24, 26, 28).
Related Topics: Spiritual Life